เริ่มมาจากการที่คุณแม่ บอกว่ามีเพื่อนไปหาหมอที่มีพลังจิตรักษาอาการที่ขา - . -
เราก็เอ๊ะ พลังจิตเนี่ยนะ รักษาแล้วดีขึ้นจริงหรือหายจริงๆน่ะหรอ คนละสองนาที ความเชื่อละมั้ง
ส่วนตัวเราเป็นคนที่เชื่อว่าพลังจิตมีอยู่ในคนทุกคน คือสภาพจิตใจที่ประสานกับการทำงานของร่างกาย การสอดคล้องกัน
โดยที่ไม่ได้ทำไปเพราะความเคยชิน ถ้าเรานั่งสมาธิโดยการหลับตาแล้วรับรู้ความรู้สึกอื่นๆด้วยกระแสประสาทมันก็คล้ายกันนั่นแหละ
คล้ายกับการ Meditation ในสมัยโบราณ
จาก ข้อมูลที่ว่า พลังจิต (Gsychergy) หมายถึง คลื่นความถี่ของพลังงานความคิด เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้
จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขบวนการทางความคิด (Thinking Process)
ได้มีการค้นคว้าทางพลังจิต ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่า พลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ
เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่า พลังแห่งชีวิต (Life Force Energy) ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่า พลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism)
ชาวรัสเซียเรียกว่า พลังงานชีวภาพ (Bioplasmic Energy) นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่า
พลังชีวภาพ (Bio Energy) หรือ พลังแม่เหล็กไฟฟ้า (Electo Magnetic Force)
credit :
http://hq.prd.go.th/plan/download/article/article_20131216112327.pdf
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และเว็ปไซต์ http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23392.0;wap2 ที่กล่าวไว้ว่า
เมื่อเป็นขบวนการ ทางความคิด (Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆ ตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยัง ต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่า เกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้
บุคคลที่มีพลังจิตสูง คือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ
จิตจะทำงานได้ จิตต้องมีเครื่องมือคือ ร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมอง มีหน้าที่รับคำสั่ง ของจิตคือ ต่อมใพเนียล (Pinial Gland) ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆ (เท่าเม็ดถั่ว) เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้ อยู่ใน ส่วนกลางตอนบนของมันสมอง เมื่อ ต่อมไพเนียล รับคำสั่งของจิตต่อมนี้ จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่ จะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้ จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆ ทั่วร่างกาย (ซึ่งเราคิดว่าน่าจะคล้ายกับการทำงานของประจุไฟฟ้าต่อเนื้อเยื่อ)
เราก็เริ่มสงสัยว่า แล้วถ้าต่อมไพเนียลพังล่ะ
เลยเริ่มศึกษาเรื่องของ ต่อมไพเนียล(Pineal gland)
โดยเป็นต่อมเล็กๆที่อยู่ตรงกลางระหว่างสมอง (น่าจะเป็นส่วนแรกที่สร้างขึ้นตอนที่ปฏิสนธิ) โดยทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน
ควบคุมการหลับ อารมณ์ การเข้าสู่วัยหนุ่มสาว และการสืบพันธุ์ (ถ้าต่อมแตกก็ลำบากหน่อย)
โดยบทความกล่าวไว้เหมือนเป็นดวงตาที่สาม ซึ่งเราคิดว่ามันเชื่อมโยงกันกับระบบการนอนหลับและความฝัน
เนื่องด้วยเวลาที่เราคิดสับสนวุ่นวาย จิตฟุ้งซ่าน ผู้คนส่วนใหญ่จะนอนหลับและยังเห็นภาพในความฝันเป็นเรื่องราวมากมาย
คุณสมบัติของอิต่อมไพเนียลนี่คือช่วยให้หลับสนิท ลดอาการสับสนในเรื่องเวลาของสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หรืออาการออ่อนเพลียเมื่อเดินทาง ลดความเสื่อมของเซลล์และของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย
เป็นเหมือนกองบัญชาการใหญ่จุดรวมของสมองอีกทีนึง
บางศาสนาที่กล่าวถึงการแยกจิต ฝึกจิต โดยการนั่งสมาธิ แต่แท้จริงแล้ว Pineal gland นี่เองที่ทำหน้าที่กองบัญชาการที่ทั้งจดจำ
รับรู้ ถ่ายทอด และเป็นศูนย์กลางกองบัญชาการผลิตเคมีที่มีผลต่อการส่งต่อกระแสประสาทรับรู้ความรู้สึก
หรือคือตัวรักษาบาลานซ์ประจุและเคมีต่างๆของร่างกาย ซึ่งเราสามารถควบคุมต่อมไพเนียลได้โดย
1 อาหาร (Food)
การรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของ Fluoride และสาร Aspartame ซึ่งเป็นสารที่ให้ความหวาน
รวมทั้งอาหารผ่านกระบวนการ ฟอกสี ขัดเกลา กลั่น สกัด (refine) ส่งผลให้เกิดแคลเซี่ยมเกาะ Pineal gland ได้
ถ้าสภาพร่างกายเครียดก็อาจทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดและอาจเกี่ยวข้องกับสภาพวะแคลเซียมกับต่อมไพเนียลได้เหมือนกัน
ตามที่หลายบทความกล่าวไว้ว่าร่างกายควรมีสภาพเป็นด่างเล็กน้อยเพื่อให้ทำงานอย่างดีที่สุด
2 ทางความเชื่อ (Manipulation)
3 พลังงาน หรือสภาพแวดล้อมรอบตัว (Earth energy grid) สนามพลังงานเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น การอยู่กับคลื่นความคิด
คลื่นความถี่ที่เหมาะสม ทำให้สภาพร่างกายเรารับรู้ได้เช่นกัน
4 เสียง (Sound) การใช้เสียง หรือฟังเพลงเพื่อผ่อนคลายเพราะพลังงานเสียงที่มีความถี่ต่างกัน
5 ภาพโฮโลแกรม (Holografic) หรือสร้างเหตุการณ์ให้ดวงตาจดจำสถาณการณ์ใหม่ๆขึ้นมา
หรือก็คือการรับรู้ทั้งหมดของมนุษย์นั่นเอง (รวมจิตใจด้วย)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1. Fluoride (พบได้ในอุสาหกรรมเครื่องสำอางค์ ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก)
2. Aspartame (พบได้ในเครื่องดื่ม อาหารแห้ง กาแฟผสม ไอศกรีม เยลลี่ และขนมหวานต่างๆ)
สารนี้เคยพบจากผลการทดลองว่า สามารถทำให้เกิดความผิดปกติในสมองของสัตว์ทดลองที่มีการบริโภคแอสพาร์เทมในปริมาณมาก
และถกเถียงกันนานถึง10 ปี จนในที่สุดสารนี้ได้รับการอนุมัติให้ใช้ผสมในอาหารได้เมื่อปี พ.ศ.2524
โดยถือหลักว่าถ้าการนำแอสพาร์เทมมาใช้ในอาหาร"ต้อง" เป็นไปตามปริมาณและวิธีการที่บ่งไว้แล้ว
สารนี้จะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค (แต่อาหารการกินในบ้านเราในยุคสมัยนี้มันช่างเลวร้ายและตรวจสอบยาก)
แถมยังตรงกันกับที่บอกว่า ถ้ากินสารเหล่านี้จะทำให้เกิดแคลเซียมเกาะเพิ่มมากขึ้นที่ต่อมไพเนียล
Credit
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(Credit https://insurancethai.net/webboard/index.php?topic=1079.0 // 02 Sep 2018)
(Credit : Mr.Terran FanClub Facebook // 29 Nov 2013)
(บทวิเคราะห์) อาการทางจิตเกิดมาจากปัญหาที่ Pineal gland รึเปล่าคะ (ต่อมควบคุมอารมณ์)
เราก็เอ๊ะ พลังจิตเนี่ยนะ รักษาแล้วดีขึ้นจริงหรือหายจริงๆน่ะหรอ คนละสองนาที ความเชื่อละมั้ง
ส่วนตัวเราเป็นคนที่เชื่อว่าพลังจิตมีอยู่ในคนทุกคน คือสภาพจิตใจที่ประสานกับการทำงานของร่างกาย การสอดคล้องกัน
โดยที่ไม่ได้ทำไปเพราะความเคยชิน ถ้าเรานั่งสมาธิโดยการหลับตาแล้วรับรู้ความรู้สึกอื่นๆด้วยกระแสประสาทมันก็คล้ายกันนั่นแหละ
คล้ายกับการ Meditation ในสมัยโบราณ
จาก ข้อมูลที่ว่า พลังจิต (Gsychergy) หมายถึง คลื่นความถี่ของพลังงานความคิด เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้
จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขบวนการทางความคิด (Thinking Process)
ได้มีการค้นคว้าทางพลังจิต ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่า พลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ
เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่า พลังแห่งชีวิต (Life Force Energy) ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่า พลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism)
ชาวรัสเซียเรียกว่า พลังงานชีวภาพ (Bioplasmic Energy) นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่า
พลังชีวภาพ (Bio Energy) หรือ พลังแม่เหล็กไฟฟ้า (Electo Magnetic Force)
credit : http://hq.prd.go.th/plan/download/article/article_20131216112327.pdf
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราก็เริ่มสงสัยว่า แล้วถ้าต่อมไพเนียลพังล่ะ
เลยเริ่มศึกษาเรื่องของ ต่อมไพเนียล(Pineal gland)
โดยเป็นต่อมเล็กๆที่อยู่ตรงกลางระหว่างสมอง (น่าจะเป็นส่วนแรกที่สร้างขึ้นตอนที่ปฏิสนธิ) โดยทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน
ควบคุมการหลับ อารมณ์ การเข้าสู่วัยหนุ่มสาว และการสืบพันธุ์ (ถ้าต่อมแตกก็ลำบากหน่อย)
โดยบทความกล่าวไว้เหมือนเป็นดวงตาที่สาม ซึ่งเราคิดว่ามันเชื่อมโยงกันกับระบบการนอนหลับและความฝัน
เนื่องด้วยเวลาที่เราคิดสับสนวุ่นวาย จิตฟุ้งซ่าน ผู้คนส่วนใหญ่จะนอนหลับและยังเห็นภาพในความฝันเป็นเรื่องราวมากมาย
คุณสมบัติของอิต่อมไพเนียลนี่คือช่วยให้หลับสนิท ลดอาการสับสนในเรื่องเวลาของสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หรืออาการออ่อนเพลียเมื่อเดินทาง ลดความเสื่อมของเซลล์และของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย
เป็นเหมือนกองบัญชาการใหญ่จุดรวมของสมองอีกทีนึง
บางศาสนาที่กล่าวถึงการแยกจิต ฝึกจิต โดยการนั่งสมาธิ แต่แท้จริงแล้ว Pineal gland นี่เองที่ทำหน้าที่กองบัญชาการที่ทั้งจดจำ
รับรู้ ถ่ายทอด และเป็นศูนย์กลางกองบัญชาการผลิตเคมีที่มีผลต่อการส่งต่อกระแสประสาทรับรู้ความรู้สึก
หรือคือตัวรักษาบาลานซ์ประจุและเคมีต่างๆของร่างกาย ซึ่งเราสามารถควบคุมต่อมไพเนียลได้โดย
1 อาหาร (Food)
การรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของ Fluoride และสาร Aspartame ซึ่งเป็นสารที่ให้ความหวาน
รวมทั้งอาหารผ่านกระบวนการ ฟอกสี ขัดเกลา กลั่น สกัด (refine) ส่งผลให้เกิดแคลเซี่ยมเกาะ Pineal gland ได้
ถ้าสภาพร่างกายเครียดก็อาจทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดและอาจเกี่ยวข้องกับสภาพวะแคลเซียมกับต่อมไพเนียลได้เหมือนกัน
ตามที่หลายบทความกล่าวไว้ว่าร่างกายควรมีสภาพเป็นด่างเล็กน้อยเพื่อให้ทำงานอย่างดีที่สุด
2 ทางความเชื่อ (Manipulation)
3 พลังงาน หรือสภาพแวดล้อมรอบตัว (Earth energy grid) สนามพลังงานเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น การอยู่กับคลื่นความคิด
คลื่นความถี่ที่เหมาะสม ทำให้สภาพร่างกายเรารับรู้ได้เช่นกัน
4 เสียง (Sound) การใช้เสียง หรือฟังเพลงเพื่อผ่อนคลายเพราะพลังงานเสียงที่มีความถี่ต่างกัน
5 ภาพโฮโลแกรม (Holografic) หรือสร้างเหตุการณ์ให้ดวงตาจดจำสถาณการณ์ใหม่ๆขึ้นมา
หรือก็คือการรับรู้ทั้งหมดของมนุษย์นั่นเอง (รวมจิตใจด้วย)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Credit
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้