แชร์ประสบการณ์ผ่าตัดขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน แบบผ่าก่อนจัด

วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์การผ่าตัดขากรรไกรร่วมกับการจัดฟันให้เพื่อนๆ ได้ใช้ร่วมในการตัดสินใจสำหรับคนที่กำลังลังเลอยู่เนอะ ขอเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลยนะคะคือคุณแม่พาเราไปปรึกษาเรื่องจัดฟันกับทันตแพทย์มาประมาณ 2-3 ที่ตั้งแต่อายุประมาณ 8-9 ขวบได้ซึ่งทุกที่ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าสำหรับเคสแบบเราจะต้องได้รับการผ่าตัดร่วมด้วยจึงยังไม่ขอจัดให้ เคสของเราตอนนั้นเป็นเคสแบบฟันล่างครอบฟันบน ทำให้คางยื่นออกมา และพอดีไปที่คลินิคหนึ่งบอกว่าสามารถจัดฟันได้แต่ต้องเริ่มจัดตั้งแต่ตอนนี้เลย ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังเด็กเนอะพอได้ยินคำว่าผ่าตัดก็ส่ายหัวดุ๊กดิ๊กแล้วสุดท้ายเลยเลือกจัดฟันกับคลินิคสุดท้ายที่ไปมา ก็เริ่มจากการขยายกรามบนทำนู้นนี่นั่นเราใช้เวลาในการจัดฟันครั้งนี้ร่วม 10 ปี สิ่งที่ได้คือฟันบนกลับมาครอบฟันล่างสามารถใช้ชีวิตในการกินการกัดได้อย่างปกติแต่ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องคางยื่นได้ ทั้งผลที่ตามมาคือฟันหน้า 1 ซี่เราตายเพราะการสบฟันที่ไม่เหมาะสม คือฟันตัดด้านบนเราสบกับฟันเขี้ยวด้านล่างซึ่งฟันเขี้ยวมันจะมีความแข็งแรงกว่ามากเมื่อกระทบกันนานๆ ฟันตัดด้านบนเราเลยตายต้องทำการรักษารากฟัน

***จุดนี้อยากให้เพื่อนๆ ที่กำลังตัดสินใจอยู่คิดดีๆ นะคะ จะได้ไม่ต้องเสียซ้ำซ้อนแบบเรา***


     จากนั้นเราก็ใช้ชีวิตปกติ มีปมเรื่องคางยื่นให้เซงในอารมณ์บ้างแต่ไม่มาก จนมาถึงจุดที่เราอยู่ดีๆ ก็น้ำหนักลดจาก 50 ลงไปเหลือ 45 ในเวลาประมาณ 4 ปีจากที่ผอมอยู่แล้วเลยยิ่งผอมไปอีกหน้าตอบมากๆ แล้วญาติก็พูดขึ้นมาว่าเหมือนปีศาจ... ตอนนั้นจุกจ้าได้แต่ยิ้มๆ หลังจากนั้นก็เริ่มหาข้อมูลเรื่องการผ่ากรรไกรเลยจ้าาา 5555 ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเรียกว่าผ่าขากรรไกรด้วยซ้ำนึกว่าผ่ากราม 555 แต่พอเจอราคาก็สะอึกไปเหมือนกันนะ พอดีเราทำงานอยู่ในโรงพยาบาลอยู่แล้วเราเลยโทรไปสอบถามมาได้คำตอบว่า ราคาอยู่ที่ขากรรไกรละไม่เกิน 100000- OMG สิคะรออะไรคิดหนักไปแปบหนึ่งแต่เพราะปกติต้องจองคิวนานอยู่แล้วเราเลยตัดสินใจไปคุยเพื่อจองคิวเอาไว้ก่อน

     แต่...ตอนเราไปพอดี๊พอดีว่าทันตแพทย์ต้องการเคส ตอนนั้นน่าจะประมาณเดือน 8 ปี 60 นี่แหละพอคุยกับคุณหมอแล้วคุณหมอให้เลือกระหว่างผ่าก่อนจัด กับจัดก่อนผ่า ซึ่งเคสของเราถ้าจัดก่อนจะต้องทำการดึงฟันล่างที่เคยจัดให้กลับออกมา หน้าจะยื่นกว่าเดิมเหมือนมะม่วง ซึ่งเราผ่านการอ่านมาการผ่าก่อนจัดจะช่วยลดระยะเวลาจัดไปได้มากแต่ไม่ใช่ทุกเคสที่สามารถทำได้ เราก็เลยโอเคเลือกผ่าก่อนจัดหลังจากนั้นก็เคลียร์ช่องปากคุยกับหมอผ่าตัด(ซึ่งเป็นหมอคนละคนกันนะคะ) หลังคุยกับหมอผ่าถึงได้ทราบว่าเราต้องผ่า 2 ขากรรไกร(OMG อีกรอบ 555) เพราะการจัดฟันครั้งแรกของเราเป็นการดึงฟันบนออกและดึงฟันล่างเข้าทำให้ฟันบนยื่นออกมาจนผิดมุมทำให้ปากเราอูม(อันนี้ถ้าหมอไม่บอกเราก็ไม่รู้) เราไม่รู้ว่าถ้าเลือกจัดก่อนจะแก้จุดนี้ก่อนผ่าได้ไหมจะได้ผ่าขากรรไกรเดียว555 แต่ก็เลือกผ่าก่อนจัดไปแล้วละนะ หลังจากนั้นก็เทียวไปมาหาหมอทั้งสองท่านบ่อยอยู่เพื่อพิมพ์ฟันบ้าง x-ray บ้าง CT บ้าง เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วก็จองห้องหาวันผ่าตัดซึ่งได้วันที่ 21 มิ.ย. 61 ที่ผ่านมา(ตอนแรกได้ 6 หรือ 7 มิ.ย. เนี่ยะแหละแต่หมอไม่ว่างเลยโดนเลื่อนไป) หลังจากนั้นก็ไปตรวจเลือด แล้วติดเหล็กดัดฟันก่อนผ่าประมาณ 1 เดือนแบบติดเฉยๆ ไม่ได้มีการดึงฟันใดๆ ทั้งสิ้นเพราะตอนนี้ห้ามทำฟันเคลื่อนเด็ดขาดเพราะหมอผ่าตัดจะวางแผนผ่าจากโครงร่างที่สแกนไปตอนแรก ก่อนผ่าไม่กี่วันคุณหมอก็นัดมาอธิบายเรื่องการผ่าว่าเคสนี้จะผ่าแบบไหนจะเลื่อนเข้าเท่าไหร่ปรับมุมยังไง แล้วก็ถามเราว่าจะตัดคางด้วยไหมพอดีคางเรายาวน่ะค่ะ ปกติแล้วปากบนกับคางคนเราจะอยู่ที่อัตราส่วน 1:2 แต่ของเราเป็น 1:2.6 คือต้องตัดออกประมาณ 6 มิลฯ แต่หมอให้ตัดสินใจเองเพราะคนเราชอบไม่เหมือนกันเรามาคิดๆ แล้วเลยตัดสินใจไม่ทำเพราะรู้สึกว่าหน้าตรงของเราไม่ได้มีปัญหาอะไร สมัยนี้เขาก็ฮิตไปเสริมคางกันเลยตัดสินใจไม่ทำดีกว่า

     และแล้วก็มาถึงวันนัดเราก็จะทำการแอดมิดที่ร.พ. ก่อน 1 คืน ก็จะมีหมออีกท่านมาพูดคุยอธิบายให้ความรู้เราอีกครั้งแจ้งเรื่องผลข้างเคียงต่างๆ การปฏิบัติตัวก่อนและหลังผ่าเช่นจะมีอาการชายังไงบ้าง กินอะไรได้ ตอนสลบจะใส่ท่อช่วยหายใจ+สายปัสสาวะนะ มีประวัติคนในครอบครัวผ่าตัดใหญ่วางยาสลบไหม(เพื่อดูแนวโน้มการแพ้ยาสลบ ซึ่งครอบครัวเราไม่มี) อาจมีอาเจียรได้จากผลของยาสลบ หลังออกมาจากห้องผ่าก่อนเอาท่อช่วยหายใจออกเขาจะเรียกเราให้รู้ตัวก่อนให้ตั้งสติดีๆ อย่าดิ้น(หมอบอกว่าเคยมีคนดิ้นจนตกเตียงด้วย 555) บลาๆๆ โดยคืนนี้เราจะต้องงดอาหารหลังเที่ยงคืน เอาจริงๆ คืนนี้ยังซ่าอยู่ค่ะ 555 นั่งดูนู้นนี่กับพ่อ-แม่ อาบน้ำสระผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนผ่าตัด พอตกกลางคืนก็จะได้ยาคลายกังวลมาเพื่อให้หลับได้สนิท

     วันผ่านี่แหละทีเด็ด! ตื่นเต้นมากกกกกกพอถึงเวลาประมาณ 8 โมงเราก็ถูกเข็นไปห้องผ่าตัดซึ่งเจอคนรู้จักไปตลอดทางเลยจ้า 5555 พอดีเราผ่าที่โรงพยาบาลที่เราทำงานเข็นผ่านห้องทำงานด้วยเพื่อนร่วมงานออกมาให้กำลังใจจนยิ่งตื่นเต้นไปใหญ่เลยค่ะ พอเข้ามาห้องรอผ่าตัดก็ต้องเปลี่ยนเสื้อ-กางเกงเป็นชุดสีเขียวสำหรับผ่าตัด ใส่หมวกเก็บผมเรียบร้อย แล้วพยาบาลก็เข้ามาเจาะเข็มเพื่อเตรียมให้น้ำเกลือ(โดนไป 2 ทีเพราะเขาเจาะไม่ได้ 555) สักพักเขาก็เข็นเราเข้าห้องผ่าที่นี้ก็เจอหน้าหมอผ่าแวบหนึ่งเขาถามเราว่าจะทำคางไหม เราก็เลยบอกว่าไม่ค่ะ พยาบาลข้างๆก็บอกเดี๋ยวตื่นมาก็สวยแล้ว หมอบอกไม่ๆ ตื่นมาบวมอย่าหลอกคนไข้(- - ) แล้วเราก็วูบหลับไปเลยจ้ามีคนบอกว่าตอนฉีดยาสลบจะเจ็บมากแต่ของเราไม่รู้สึกเลยนะ มันเบลอๆแล้วก็หลับไปเลย ตื่นมาอีกทีก็อยู่ในห้องที่ตอนแรกรอเข้าห้องผ่าตัดแล้ว ความรู้สึกแรกคือเมื่อย! อยากขยับตัวมากแต่ทำไม่ได้ได้แต่ขยับขาไปมาเหมือนคนไม่สบายตัวแค่นั้น ซึ่งตอนนั้นท่อช่วยหายใจไม่อยู่แล้วนะจ้ะ งงอยู่ว่าเขาปลุกเอาออกไปตอนไหน(แต่หมอก็แจ้งอยู่ว่าส่วนใหญ่คนไข้จะจำไม่ได้เพราะยังเบลออยู่) นอนอยู่ในห้องนั้นไม่รู้นานแค่ไหนมารู้สึกอีกทีตอนเขากำลังเข็นกลับห้อง ถามพยาบาลว่ากี่โมงแล้วคะ เขาตอบจะ 4 โมงแล้วค่ะ 555(มารู้ทีหลังจากการอ่านเอกสารของหมอว่าเริ่มผ่า 8.30 เสร็จประมาณ 15.00 มั้งถ้าจำไม่ผิด หมอแจ้งไว้แล้วละคะว่าผ่าประมาณ 6 ชั่วโมง นานมากกกกก เพราะผ่าทั้ง 2 ขากรรไกร เสียเลือดไปประมาณ 1500cc)

     พอกลับมาที่ห้องสิ่งแรกที่พูดกับแม่คือน้ำค่ะ แบบต้องเข้าใจคนโดนอ้าปากนานๆ เนอะ กินน้ำไป 3-4 ไซริงค์ไม่แน่ใจแล้วก็ขอให้แม่ไปขอเจลประคบมาให้ หมอเข้ามาพูดคุยกับเราเรื่องการผ่าว่าเป็นยังไงบ้างเล็กน้อย แล้วก็จะมีพยาบาลคอยเข้ามาให้เราประเมินความปวดเอาจริงๆ ไม่ปวดหรอกค่ะเพราะมันชาไปทุกสัดส่วนเลย 555 แต่ก็แล้วแต่เคสนะคะ เห็นบางคนก็ปวดมาก ถ้าปวดทนไม่ไหวเขาก็จะให้มอร์ฟีนค่ะ พออาหารเย็นมาเป็นน้ำหวานจางๆ 1 แก้วกับน้ำขิงจางๆ อีก 1 แก้วค่ะ ณ จุดๆนี้ใครไม่กิน หรือกินไม่ลงไม่รู้แต่เราฟาดเรียบ 555 แม่ป้อนจนเกลี้ยงเลยค่ะ ตอนที่หาข้อมูลมาหลายๆ คนจะทานอะไรไม่ลง และบางคนพยาบาลห้ามทานเพราะกระเพาะยังไม่ปกติ แต่เราหิวมากคือไม่ได้ทานอะไรเลยมาทั้งวันถึงเขาจะให้น้ำเกลือผสมกลูโคส(น้ำตาล) แต่มันคงไม่พออาค่ะเราเลยฟาดเรียบ อ๋อแล้วก็อย่าลืมเตรียมพวกลิปมัน วาสลีนหรืออะไรก็ได้แล้วแต่จะสรรหามาไปด้วยเนอะเพราะจะเป็นช่วงที่ปากโดนกดบาง โดนแหกจนฉีกบาง ถ้ามันตกสะเก็ดก็จะเจ็บอะเนอะ ของเราใช้เป็น Lip Balm Himalaya ของอินเดียพอดีพี่เราไปมา ใช้ดีมากแม่พอก(ขอใช้คำว่าพอกเนอะมันมากกว่าทาไปเยอะเลย 555) ให้เราอย่างหนาตั้งแต่วันแรกที่ผ่าตัดเลย ปากไม่มีแผลฉีก หรือแผลตกสะเก็ดอย่างที่คนอื่นเขาเป็นเลยค่ะ แล้วเราก็ไม่มีอาการอาเจียรจากยาสลบด้วยค่ะถือว่าโชคดีมากๆ หมอยังบอกเลยค่ะว่าดีๆ

     สิ่งที่เผชิญในคืนแรกเลยก็คือน้ำลายไหลค่ะ ตอนนี้เรามีสายเดรนเลือดออกมาจากปากลงสู่ภาชนะภายนอกอยู่ 2 ข้างปิดปากได้ไม่สนิทรวมทั้งเป็นคนนอนตะแคงพอเคลิ้มๆ ก็จะสะดุ้งตื่นเพราะน้ำลายไหล สักพักน้ำลายปนเลือดออกมาเลยจ้าเตียงเต็มไปด้วยเลือดเห้อๆ ช่วงนี้ใช้กระดาษทิชชูเยอะมากเพราะเอามารองไว้ พักๆ ก็ต้องใช้เครื่องดูด ดูดเอาน้ำลาย น้ำเลือด แล้วก็เสมหะออกไป ตัวเสมหะเนี่ยถ้ากลืนได้ก็กลืนถ้ากลืนไม่ได้ก็พยายามใช้เครื่องดูดออกไป สรุปได้นอนน้อยมาก ราวๆ ตี 5 พยาบาลก็เริ่มเดินเข้าออกวัดความดัน วัดไข้ ให้ยาแล้วค่ะโดยจะมายาฆ่าเชื้อ ยาลดบวมแล้วก็ยาแก้ปวดค่ะ ทั้งหมดนี้ฉีดเข้าเส้นเลือดโดยตรง เอาจริงๆ ความทรมานของการอยู่โรงพยาบาลของเราคือตอนฉีดยาฆ่าเชื้อเข้าเส้นเนี่ยแหละค่ะมันปวดมากกกกกกกๆ แถมฉีดวันละ 4-5 รอบรอบละประมาณ 10 ซีซีได้ น้ำตาซึมเลย

     วันที่ 2 ช่วงสายๆ พยาบาลก็มาเอาสายปัสสาวะออกให้ค่ะ วันนี้จะเป็นวันที่หน้าบวมที่สุดแล้วก่อนจะค่อยๆ ยุบลง ซึ่งเพื่อนๆ ที่ทำงานก็มาเยี่ยมวันนี้กันอีก 555 เอาหน้าบวมๆ ไปโชว์ วันนี้หมอให้ฝึกหายใจเข้า-ออกเยอะๆ แบบเข้าให้สุดออกให้สุดเพราะตอนผ่าตัดเราใช้เครื่องช่วยหายใจนานปอดจะลดการทำงานลงถ้าปอดไม่กลับมาทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์เดี๋ยวจะไปลำบากตอนแก่ได้ แล้วก็อนุญาตให้ลุกเดินได้แล้วนะคะ เขากลัวเราจะติดเตียง แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ลุกเดินไปไหนเท่าไหร่นอกจากเข้าออกห้องน้ำเพราะยังติดสายน้ำเกลืออยู่แถมสายน้ำเกลือก็ต้องหิ้วเอาไม่ใช่แบบเสาที่ลากไปมาได้ แถมเดินแต่ละทีก็เซๆ จะล้มต้องให้แม่ช่วยประคองตลอดเวลา สุดท้ายก็เลยนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่เตียงมากกว่าพอบ่ายๆ ก็มาไข้ขึ้นอีกเห้อๆ เป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดในชีวิตเลยค่ะ แล้วก็ได้พาราน้ำมากินตอนกลางคืนไปตามระเบียบ คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ไม่ค่อยได้นอน

     วันที่ 3 วันนี้คุณหมอผู้ช่วยมาเอาสายเดรนเลือดออกให้ตอนเอาออกคุณหมอก็ตัดไหมที่พยุงสายเอาไว้ออกพยาบาลบอกตัดง่ายกว่าอีกเคสเยอะเลยค่ะ เราก็ใจชื้นนึกว่าเสร็จแล้วแต่เปล่าเลย แล้วคุณหมอก็บอกเจ็บนิดนะคะ แล้วก็พรวดดดดดดึงออกจ้ามันเจ็บๆ เสียวๆ วูบๆ แปลกๆ อะแบบรู้เลยว่าสายมันฝังเข้าไปตรงใต้กรามทั้ง 2 ข้างเพราะตอนดึงมันวูบบบบผ่านออกไป 555 พอเอาออกเสร็จก็คิดในใจว่าสบายแล้ว แต่เราคิดผิดค่ะ หลังจากนั้นคือความทรมานเพราะคุณหมอเอายางมามัดปาดของเราไว้โดยการยึดฟันบนกับฟันล่างของเราเข้าด้วยกันจนไม่สามารถอ้าได้เลยค่ะแถมตอนมัดยางก็เจ็บมากๆ ด้วยเพราะหมอดึงยางจนมันตึงสุดๆ แล้วเขาก็ต้องจับหน้าเราเป็นหลักในการดึงยางอะน้ำตาซึมอีกรอบ ทีนี้จากที่เคยพูดได้แต่ไม่ชัดกลายเป็นพูดอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่องเพราะเปิดปากไม่ได้ แล้วสักพักพยาบาลก็เอาน้ำเกลือออกให้แต่ยังคาเข็มไว้ให้ยาอยู่ วันนี้คุณหมอเจ้าของไข้มาหาตอนดึกๆเลยค่ะประมาณ 4-5 ทุ่มได้ บอกถ้าไม่มีอะไรแล้วพรุ่งนี้น่าจะกลับได้แล้วนัดมาอีกที 1 สัปดาห์ที่ผ่าตัด ซึ่งความทรมานแรกของการมัดปากคือหายใจไม่ได้ค่ะ เพราะเคสเราเป็นเคสที่ผ่าทั้งสองขากรรไกรปกติคนที่ผ่าขากรรไกรบนแล้วเลื่อนเข้าจะมีอาการหายใจไม่สะดวกอยู่แล้วเพราะมันจะเลื่อนไปทับช่องทางหายใจแต่จะค่อยๆ ดีขึ้น ช่วงแรกเราไม่ค่อยมีปัญหาเพราะหายใจทางปากได้แต่พอมัดปากมันหายใจไม่ได้ค่ะตอนนี้ปากเราถูกมัดติดกันโดดมีแผ่นพลาสติกที่ไว้รองฟันขั้นอยู่คือขนาดฉีดน้ำหวานเข้าไปยังลำบากเลยค่ะ อากาศนี่ถ้าไม่ตั้งใจสูดก็แทบไม่มีเข้าไปเลยเป็นช่วงที่ทรมานมากเพราะหายใจได้ไม่เต็มปอดสะดุ้งตื่นมาหอบหายใจทั้งคืนเลย ร้อนไปถึงคุณแม่ต้องไปขอยาหยอดโพล่งจมูกมาจากพยาบาล แต่เอาจริงๆ ก็ช่วยไม่ค่อยได้หรอกค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่