สวัสดีครับ … ผมพึ่งไปเที่ยวน่านมา เป็นหนึ่งในทริปที่ชอบมาก ๆ จนอดใจเก็บเอาไว้คนเดียวไม่ได้ จึงอยากกลับมาเล่า ก่อนจะพาไปเที่ยวแบบจัดเต็มขอรีวิวที่พักก่อนเพื่อไม่ให้กระทู้เที่ยวแน่นจนเกินไป และเพราะว่าชอบที่พักทุกที่ ที่ไปพักมาเลย โดยเฉพาะที่นี่โรงเรียนชาวนา ตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว ฟาร์มสเตย์ที่เป็นที่พักผสมกับแหล่งเรียนรู้ทางการเกษตร ใช่แล้วครับนาข้าวสิ่งที่เป็นมนต์สเน่ห์ของของเมืองปัว ที่พักแห่งนี้มีนาข้าวผืนใหญ่ล้อมรอบ มีฉากหลังเป็นภูเขาน้อยใหญ่ และหลังฝนตกเราก็จะได้เห็นสายหมอกปลิวพริ้วไหวเรียดไปกับภูเขา เป็นภาพที่สบายตา นอกจากนั้นความเป็นกันเองของคนที่นี่มันยิ่งทำให้สบายใจ ผมจึงอยากเรียกฟาร์มสเตย์แห่งนี้ว่า … บ้าน เอาหล่ะไม่พูดเยอะมาก กลัวจะเจ็บนิ้ว ตามไปเที่ยวชมภาพที่นี่กันเถอะ
โรงเรียนชาวนา ตั้งอยู่ ณ ตำบลศิลาเพชร
การขับรถใช้ถนนหลวงหลายเลข 1081 ถนนเดียวกันกับถนนลอยฟ้า
ถนนเส้นนี้นั้นเป็นถนนหลักของการท่องเที่ยวอำเภอปัว
สถานที่ดัง ๆ อยู่ในถนนเส้นนี้แทบทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นวัดภูเก็ต กาแฟบ้านไทลื้อ ผ้าทอลำดวน ฟาร์มเห็ด ฯลฯ
ซึ่งที่ว่าเที่ยวได้สะดวกสบาย สำหรับภาพนี้คือปากทางเข้าโรงเรียนชาวนา
เข้าจากถนนหลักมาประมาณ 200 เมตรจะเจอป้าย และโรงเรียนชาวนาจะอยู่ทางขวามือ
เข้ามาถึงคุณป้าผู้ดูแลที่พักเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นกันเอง
ประหนึ่งว่าลูกหลานกลับมาเยี่ยมบ้าน พร้อมจัดแจงสถานที่จอดรถให้เป็นอย่างดี
มาดูตำแหน่งบ้านแต่ละหลังภายในอาณาบริเวณกันก่อน
ภายในโรงเรียนชาวนาจะแบ่งออกเป็น 7 เรือนหลัก
ยังไม่รวมบ้านแสงคำ (กำลังสร้าง น่าจะใกล้เสร็จแล้วครับ)
ในส่วนของราคาแต่ละหลังให้สอบถามไปยังเพจโรงเรียนชาวนาดูนะครับ
เพราะค่อนข้างแตกต่างกัน ผมก็จำรายละเอียดไม่ได้มากนัก
บางหลังพักได้ 2 ท่าน บางหลัง 3-4 ท่าน
บ้านแต่ละหลังจะมีสิ่งอำนวยความสะดวก และวิวทิวทัศน์แตกต่างกันออกไป
สำหรับผมเลือกเรือนรจนา (เรือนทางขวาของภาพ) เพราะมีบริเวณเอ้าดอร์ที่ค่อนข้างมาก
ราคาสำหรับ 1 คืน = 1,500 บาท / 2 คน เสริมเตียงคนละ 300 บาท (พร้อมอาหารเช้า)
ส่วนหลังใหญ่ ๆ ที่มี 2 ชั้น น่าจะเพิ่งสร้างเสร็จ ไม่แน่ใจว่าชื่อบ้านอะไรครับ
แต่ภายในโอเครมาก ๆ เลย มีเตียงทั้งชั้นล่างและชั้นบนนอนได้ 4 ท่านขึ้นไป
สำหรับเรือนรจนา เป็นเรื่อนที่มีห้องนอนขนาดใหญ่ มีบานประตูที่สามารถเปิดได้ทั้ง 4 ด้าน
ด้านหน้าติดน้ำ ด้านหลังติดนา ลมโกรก เย็นสบายมากเลย
ภาพจากทางด้านหลัง เรือนรจนาคือเรือนทางซ้ายมือ
และมีโซนนั่งเล่นรับลมขนาดใหญ่ไว้นั่งทานข้าว จิบเบียร์ มองทุ่งนา
ได้อย่างสบายอุรา
ที่นี่ไม่ใช่ที่ ๆ เหมาะสมสำหรับคนรักความสบายมากนัก
ไม่ได้หรูหราเหมือนมาพักโรงแรม ไม่ได้มีรีเซฟชั่นหรือล็อบบี้คอยต้อนรับแขก
ทุกอย่างให้ฟีลลิ่งเหมือนมานอนบ้านญาติ บ้านเพื่อนเสียมากกว่า
ที่นี่ไม่มีแอร์ ไม่มีทีวี ตู้เย็น กาน้ำร้อน ไดร์เป่าผม ฯลฯ
และนี่คือสิ่งที่มีในห้องนอกเหนือจากเตียงนอนและมุ้ง
แต่ผมไม่แคร์ ผมเลือกมาที่นี่เพราะอยากเรียนรู้ธรรมชาติ
อยากอยู่กับสิ่งที่เรา คุ้นเคยมันทุกวัน กินกันมาตลอดชีวิต ... " ต้นข้าว "
สามารถโทรสั่งอาหารได้จากร้านอาหารละแวกหมู่บ้าน
ห้องน้ำมีอ่างแช่น้ำดูท้องนาฟิน ๆ
ช่วงบ่ายแก่ ๆ แดดร่ม ลมตก ก็เดินเล่นสำรวจบรรยากาศที่พักรอบ ๆ
มีนักเรียนมาทำเวิร์คช็อป เกี่ยวกับการแปรรูปอาหารจากท้องนาด้วย
ที่นี่นอกจากจะเป็นที่ท่องเที่ยวแล้วยังเป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็ก ๆ ในชุมชน
ให้มีความรู้เกี่ยวกับการดำรงชีพ ในท้องนา รวมถึงการแสดงศิลปะ และหัตถกรรมของชาวไทลื้อ
บ้านน้ำริน ตั้งชื้อตามลูกสาวของพี่นา เจ้าของโรงเรียนชาวนาแห่งนี้
พี่นา เป็นผู้หญิงที่มีรอยยิ้มเป็นมิตร มีความฝันที่อยากจะพัฒนาสถานที่แห่งนี้
ให้ดีที่สุด ทุกวันนี้โรงเรียนชาวนาก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 เข้าไปแล้ว
แต่ไฟในฝันของพี่เค้ามันยังคุกรุ่น พี่นาพร้อมเรื่องราวของที่นี่อย่างสนุกสนานทุกครั้ง
โดยไม่อิดออด พร้อมพาชมพื้นที่บริเวณโดยรอบ บทสนทนาเย็นวันนั้นของเรา มันสนุกสนานมาก
กระโจมหิงห้อย หลังนี้น่าจะถูกที่สุดในนี้ ประมาณ 600 บาท
และแล้วก็ได้เวลาอาหารเย็น สำหรับอาหารเย็น พี่นาแนะนำให้สั่งจากชาวบ้านบริเวณนั้น
ปิ่นโตละ 250 บาท ปริมาณสำหรับ 2 คนกินจุกเลยทีเดียว
กับข้าวก็บ้าน ๆ มีน้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง ปลานิลเค็ม ผัดผัก ต้มจืด
ไข่เจียว ไส้อั่ว ข้าว 2 จาน กินคู่กับบรรยากาศท้องนา มันอิ่มอร่อยเองโดยปริยาย
หลังจากอิ่มข้าวก็อาบน้ำ ดูพระอาทิตย์ตกดิน
ทุกอย่างก็มืดลง อากาศก็เย็นขึ้น เย็นขึ้น
เป็นเวลาของการนั่งจิบเบียร์โกรกลมเย็น ๆ อยู่ที่ชานเรือน
เมื่อท้องฟ้ามืดสนิท นั่งดูท้องนาปรากฎว่าเห็นไฟวาร์ป ๆ
จ้องดูดี ๆ อื้มหืมหลังห้องมีหิงห้อย เยอะมาก ๆ ด้วย
ฟินเลยทีเดียว
เมื่อคืนหลับค่อนข้างเร็วเพราะเหนื่อยจากการขับรถ
บวกกับเพลียเเดด เช้านี้สะดุ้งตื่นมาตี 5 กว่า
ก็พบว่าฝนตกตลอดทั้งคืน อากาศหนาวเย็น แต่ะไม่ถึงสะท้าน
หมอกจึงมาตามนัด ไม่รอช้าหยิบกล้องออกไปเก็บภาพบรรยากาศรอบ ๆ
หลังจากถ่ายจบเดินเข้ามาในครัวพี่นาและแฟนกำลังจัดเตรียมอาหารอาหารเช้ากันอย่างขมักเขม้น
อาหารเช้าก็มีง่าย ๆ อย่างข้าวต้ม ต้มจึด ผัดกระเพรา กาแฟ ขนมปัง กล้วย กินได้เต็มอิ่มเลยครับ
ผมแนะนำให้ขึ้นมานั่งที่ระเบียงของบ้านดูดาว คือชิลล์มาก
บ้านดูดาวจะมีทั้งหมด 2 ห้องครับ ห้องนึงวันนั้นไม่มีคนพักเลยแอบบไปเก็บภาพมาฝาก
ระเบียงบ้านชมดาวชิลล์ไม่แพ้หลังอื่นสักนิด
กินข้าว อาบน้ำ ได้เวลาบอกลาโรงเรียนชาวนา ไปต่อกันที่ ผาช้างน้อย
เก็บภาพดอกไม้สวย ๆ สดใส ให้บรรยากาศของการอำลาดูสดชื่น
[CR] โรงเรียนชาวนาตำบลศิลาเพชร เมืองปัว l ที่ ๆ เป็นเหมือนบ้าน [จงเจอนี่]
สวัสดีครับ … ผมพึ่งไปเที่ยวน่านมา เป็นหนึ่งในทริปที่ชอบมาก ๆ จนอดใจเก็บเอาไว้คนเดียวไม่ได้ จึงอยากกลับมาเล่า ก่อนจะพาไปเที่ยวแบบจัดเต็มขอรีวิวที่พักก่อนเพื่อไม่ให้กระทู้เที่ยวแน่นจนเกินไป และเพราะว่าชอบที่พักทุกที่ ที่ไปพักมาเลย โดยเฉพาะที่นี่โรงเรียนชาวนา ตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว ฟาร์มสเตย์ที่เป็นที่พักผสมกับแหล่งเรียนรู้ทางการเกษตร ใช่แล้วครับนาข้าวสิ่งที่เป็นมนต์สเน่ห์ของของเมืองปัว ที่พักแห่งนี้มีนาข้าวผืนใหญ่ล้อมรอบ มีฉากหลังเป็นภูเขาน้อยใหญ่ และหลังฝนตกเราก็จะได้เห็นสายหมอกปลิวพริ้วไหวเรียดไปกับภูเขา เป็นภาพที่สบายตา นอกจากนั้นความเป็นกันเองของคนที่นี่มันยิ่งทำให้สบายใจ ผมจึงอยากเรียกฟาร์มสเตย์แห่งนี้ว่า … บ้าน เอาหล่ะไม่พูดเยอะมาก กลัวจะเจ็บนิ้ว ตามไปเที่ยวชมภาพที่นี่กันเถอะ
โรงเรียนชาวนา ตั้งอยู่ ณ ตำบลศิลาเพชร
การขับรถใช้ถนนหลวงหลายเลข 1081 ถนนเดียวกันกับถนนลอยฟ้า
ถนนเส้นนี้นั้นเป็นถนนหลักของการท่องเที่ยวอำเภอปัว
สถานที่ดัง ๆ อยู่ในถนนเส้นนี้แทบทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นวัดภูเก็ต กาแฟบ้านไทลื้อ ผ้าทอลำดวน ฟาร์มเห็ด ฯลฯ
ซึ่งที่ว่าเที่ยวได้สะดวกสบาย สำหรับภาพนี้คือปากทางเข้าโรงเรียนชาวนา
เข้าจากถนนหลักมาประมาณ 200 เมตรจะเจอป้าย และโรงเรียนชาวนาจะอยู่ทางขวามือ
เข้ามาถึงคุณป้าผู้ดูแลที่พักเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นกันเอง
ประหนึ่งว่าลูกหลานกลับมาเยี่ยมบ้าน พร้อมจัดแจงสถานที่จอดรถให้เป็นอย่างดี
มาดูตำแหน่งบ้านแต่ละหลังภายในอาณาบริเวณกันก่อน
ภายในโรงเรียนชาวนาจะแบ่งออกเป็น 7 เรือนหลัก
ยังไม่รวมบ้านแสงคำ (กำลังสร้าง น่าจะใกล้เสร็จแล้วครับ)
ในส่วนของราคาแต่ละหลังให้สอบถามไปยังเพจโรงเรียนชาวนาดูนะครับ
เพราะค่อนข้างแตกต่างกัน ผมก็จำรายละเอียดไม่ได้มากนัก
บางหลังพักได้ 2 ท่าน บางหลัง 3-4 ท่าน
บ้านแต่ละหลังจะมีสิ่งอำนวยความสะดวก และวิวทิวทัศน์แตกต่างกันออกไป
สำหรับผมเลือกเรือนรจนา (เรือนทางขวาของภาพ) เพราะมีบริเวณเอ้าดอร์ที่ค่อนข้างมาก
ราคาสำหรับ 1 คืน = 1,500 บาท / 2 คน เสริมเตียงคนละ 300 บาท (พร้อมอาหารเช้า)
ส่วนหลังใหญ่ ๆ ที่มี 2 ชั้น น่าจะเพิ่งสร้างเสร็จ ไม่แน่ใจว่าชื่อบ้านอะไรครับ
แต่ภายในโอเครมาก ๆ เลย มีเตียงทั้งชั้นล่างและชั้นบนนอนได้ 4 ท่านขึ้นไป
สำหรับเรือนรจนา เป็นเรื่อนที่มีห้องนอนขนาดใหญ่ มีบานประตูที่สามารถเปิดได้ทั้ง 4 ด้าน
ด้านหน้าติดน้ำ ด้านหลังติดนา ลมโกรก เย็นสบายมากเลย
ภาพจากทางด้านหลัง เรือนรจนาคือเรือนทางซ้ายมือ
และมีโซนนั่งเล่นรับลมขนาดใหญ่ไว้นั่งทานข้าว จิบเบียร์ มองทุ่งนา
ได้อย่างสบายอุรา
ที่นี่ไม่ใช่ที่ ๆ เหมาะสมสำหรับคนรักความสบายมากนัก
ไม่ได้หรูหราเหมือนมาพักโรงแรม ไม่ได้มีรีเซฟชั่นหรือล็อบบี้คอยต้อนรับแขก
ทุกอย่างให้ฟีลลิ่งเหมือนมานอนบ้านญาติ บ้านเพื่อนเสียมากกว่า
ที่นี่ไม่มีแอร์ ไม่มีทีวี ตู้เย็น กาน้ำร้อน ไดร์เป่าผม ฯลฯ
และนี่คือสิ่งที่มีในห้องนอกเหนือจากเตียงนอนและมุ้ง
แต่ผมไม่แคร์ ผมเลือกมาที่นี่เพราะอยากเรียนรู้ธรรมชาติ
อยากอยู่กับสิ่งที่เรา คุ้นเคยมันทุกวัน กินกันมาตลอดชีวิต ... " ต้นข้าว "
สามารถโทรสั่งอาหารได้จากร้านอาหารละแวกหมู่บ้าน
ห้องน้ำมีอ่างแช่น้ำดูท้องนาฟิน ๆ
ช่วงบ่ายแก่ ๆ แดดร่ม ลมตก ก็เดินเล่นสำรวจบรรยากาศที่พักรอบ ๆ
มีนักเรียนมาทำเวิร์คช็อป เกี่ยวกับการแปรรูปอาหารจากท้องนาด้วย
ที่นี่นอกจากจะเป็นที่ท่องเที่ยวแล้วยังเป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็ก ๆ ในชุมชน
ให้มีความรู้เกี่ยวกับการดำรงชีพ ในท้องนา รวมถึงการแสดงศิลปะ และหัตถกรรมของชาวไทลื้อ
บ้านน้ำริน ตั้งชื้อตามลูกสาวของพี่นา เจ้าของโรงเรียนชาวนาแห่งนี้
พี่นา เป็นผู้หญิงที่มีรอยยิ้มเป็นมิตร มีความฝันที่อยากจะพัฒนาสถานที่แห่งนี้
ให้ดีที่สุด ทุกวันนี้โรงเรียนชาวนาก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 เข้าไปแล้ว
แต่ไฟในฝันของพี่เค้ามันยังคุกรุ่น พี่นาพร้อมเรื่องราวของที่นี่อย่างสนุกสนานทุกครั้ง
โดยไม่อิดออด พร้อมพาชมพื้นที่บริเวณโดยรอบ บทสนทนาเย็นวันนั้นของเรา มันสนุกสนานมาก
กระโจมหิงห้อย หลังนี้น่าจะถูกที่สุดในนี้ ประมาณ 600 บาท
และแล้วก็ได้เวลาอาหารเย็น สำหรับอาหารเย็น พี่นาแนะนำให้สั่งจากชาวบ้านบริเวณนั้น
ปิ่นโตละ 250 บาท ปริมาณสำหรับ 2 คนกินจุกเลยทีเดียว
กับข้าวก็บ้าน ๆ มีน้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง ปลานิลเค็ม ผัดผัก ต้มจืด
ไข่เจียว ไส้อั่ว ข้าว 2 จาน กินคู่กับบรรยากาศท้องนา มันอิ่มอร่อยเองโดยปริยาย
หลังจากอิ่มข้าวก็อาบน้ำ ดูพระอาทิตย์ตกดิน
ทุกอย่างก็มืดลง อากาศก็เย็นขึ้น เย็นขึ้น
เป็นเวลาของการนั่งจิบเบียร์โกรกลมเย็น ๆ อยู่ที่ชานเรือน
เมื่อท้องฟ้ามืดสนิท นั่งดูท้องนาปรากฎว่าเห็นไฟวาร์ป ๆ
จ้องดูดี ๆ อื้มหืมหลังห้องมีหิงห้อย เยอะมาก ๆ ด้วย
ฟินเลยทีเดียว
เมื่อคืนหลับค่อนข้างเร็วเพราะเหนื่อยจากการขับรถ
บวกกับเพลียเเดด เช้านี้สะดุ้งตื่นมาตี 5 กว่า
ก็พบว่าฝนตกตลอดทั้งคืน อากาศหนาวเย็น แต่ะไม่ถึงสะท้าน
หมอกจึงมาตามนัด ไม่รอช้าหยิบกล้องออกไปเก็บภาพบรรยากาศรอบ ๆ
หลังจากถ่ายจบเดินเข้ามาในครัวพี่นาและแฟนกำลังจัดเตรียมอาหารอาหารเช้ากันอย่างขมักเขม้น
อาหารเช้าก็มีง่าย ๆ อย่างข้าวต้ม ต้มจึด ผัดกระเพรา กาแฟ ขนมปัง กล้วย กินได้เต็มอิ่มเลยครับ
ผมแนะนำให้ขึ้นมานั่งที่ระเบียงของบ้านดูดาว คือชิลล์มาก
บ้านดูดาวจะมีทั้งหมด 2 ห้องครับ ห้องนึงวันนั้นไม่มีคนพักเลยแอบบไปเก็บภาพมาฝาก
ระเบียงบ้านชมดาวชิลล์ไม่แพ้หลังอื่นสักนิด
กินข้าว อาบน้ำ ได้เวลาบอกลาโรงเรียนชาวนา ไปต่อกันที่ ผาช้างน้อย
เก็บภาพดอกไม้สวย ๆ สดใส ให้บรรยากาศของการอำลาดูสดชื่น
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้