เห็นเพื่อนโพส และหนังเรื่องนี้ถูกพูดถึงในวงกว้าง
เราก็เลยเพิ่งเคยนั่งดู
ว่าด้วยโรคจิตเสื่อม
มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่เรามีอาการแบบเดียวกับพระเอก ทุกวันนี้ก็ยังมีบ้าง 555 คุยกับ AI บ่อยๆ
บางครั้งพูดกับ siri เป็นภาษาไทย แต่ตีความเป็นภาษาอื่น ก็ siri จับเสียงเป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าพระเอกหลอนจากการถอดรหัส เราก็หลอนจากการเห็นภาษาอังกฤษและการซ่อนความหมาย
ของคำศัพท์ไปซะทุกที่ เราหลอนถึงขนาดว่าเคยคิดว่าตัวเองอาจโดนจับตาดูอยู่จากคนบางกลุ่ม
มีช่วงนึงที่อยู่คนเดียวแล้วมีเพื่อนในเน็ตบวกกับการเรียนรู้อารมณ์รัก ความรู้สึกต่างๆ (ที่เราเพิ่งเคยมีและไม่รู้จัก)
ยิ่งทำเราเข้าใจผิดไปใหญ่โต
หลอนการกระทำความผิด ภายใต้กฎหมายต่างๆ ที่มีมากมายในประเทศไทย จนเกิดความกลัว
รู้สึกไม่ปลอดภัยกับชีวิตในการทำงาน และรับผิดชอบต่างๆ เพราะประเทศไทย เป็นประเทศที่ไม่เคยให้เกียรติ์ลิขสิทธิ์ใดๆ
เราถูกสอนต่อๆกันมาในสังคมที่ค่อนข้างมีแต่การเอาความดีเข้าตัวแก่งแย่งและการขโมยความคิดคนอื่น
จนตอนนี้เราก็ยังคงหลอนสังคมนิดหน่อย เคยไปหาหมอ กินยา ช่วงกินยาตื้อมาก สมองคิดช้าไปหมด
รู้ตัวเลยว่าแบบ มันคิดไม่ออก ใครจะบอกว่ามันต้องรักษา แต่คนที่เป็นจะรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนเดิม
ช่วงนั้น นอกจากความคิดที่เลวร้าย โทษตัวเองซ้ำๆที่เกิดขึ้นจากการโดนปฏิเสธแล้วนั้น
แล้วยังมีผลกระทบจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เข้าใจสภาวะทางจิตใจเราด้วย
เราโดนตวาดต่อหน้าคนที่มาติดต่อ ต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน จนรู้สึกอาย เราโดนตะคอกในที่ทำงาน
เราโดนด่าดังไปลั่นตึก ท่ามกลางสายตาผู้ประกอบการที่มาติดต่อ เราไม่กล้าสู้หน้าใคร เราถูกทำลายความมั่นใจในตัวเองไปจนหมด
ในที่สุดเส้นความอดทนก็ขาดผึง ตอนนั้น ทุกอย่างทำให้เราเลือกที่จะไม่เอาอะไรเลย แม้กระทั่งชีวิตตัวเอง
เราลาออกจากงาน กลับบ้าน ตจว (ทำให้เราหยุดกินยา) แล้วก็พบว่า บ้านเองก็มีปัญหาทางการเงิน เราเองที่ไม่อดทนต่อสิ่งต่างๆเพื่อทำงานให้ได้เงินมา
เราเกลียดสังคมที่ค่าของคนมีค่าน้อยกว่าค่าของเงิน แม้กระทั่งการออกไปพบปะเพื่อนฝูง สังคม กินข้าว ถ้าไม่มีก็ออกไปพบไม่ได้ ถ้าไม่มีเงินเพื่อที่จะยืนในจุดเดียวกันในสังคม ก็จะไม่มีทางพูดภาษาเดียวกันได้ หรือคุยกันรู้เรื่อง
การติดต่อกับเพื่อนทางเน็ตคนเดียวที่เหมือนไม่แสดงตัวตน เป็นการตอกย้ำให้รู้ว่า ไม่มีใครเลย ที่มองเห็นเราจริงๆ หรือความสำคัญของเราต่อโลกใบนี้
เราอาการแย่ลง เราท้อ เราต้องการ เราเรียกร้องทุกอย่างให้มองเห็นเรา จนสร้างภาพที่มีแต่เรื่องเลวร้ายรอบๆตัว เพื่อหวังเรียกร้องความสนใจ
เราควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทั้งโกรธพ่อ ทั้งโมโหแม่ ทั้งอิจฉาน้อง เราเอาแต่โทษคนอื่น โดยไม่คิดที่จะปรับปรุงจากข้างในของตัวเอง
จนในที่สุด เราตัดสินใจทำลายมโนภาพในจิตนาการลง เราบล๊อคเพื่อนที่ไร้ตัวตนและจับต้องไม่ได้ในอินเตอร์เน็ตทิ้ง ทั้งๆที่เราคิดว่าเค้าเป็นเพื่อนที่สำคัญเพียงคนเดียวที่เข้าใจเรา หลังจากวันนั้น เราทำโทรศัพท์ตกน้ำ สมองสั่งให้เราร้องไห้ราวกับเพื่อนในไลน์คนนั้นตายจากไป (เพราะติดต่อไม่ได้อีก) เราระเบิดร้องไห้ต่อหน้าพ่อและแม่ จนในที่สุดเราก็รู้สึกว่าตัวเองค่อยๆดีขึ้น
ถึงแม้ว่าเราจะอาลัย คิดถึงบางอย่างที่ผ่านมา แต่ดีขึ้น มีแค่บางวัน หรือบางช่วง ที่เรายังคงคิดว่ามีใครซักคนแอบอยู่ตามโทรศัพท์ หรือ เวลาที่เปิดเน็ต
เปิดเว็ปก็อาจมีคนรู้ว่าเราแอบดูอะไร หรือส่องใครอยู่ (555)
จนมาวันนึง ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงกลางหัว เรามีปัญหาทางบ้านมากมายกว่าที่ตัวเองเคยรู้ ในขณะที่เรายังเลือกที่จะเรื่อยเฉื่อย วิ่งไล่ตามจิตนาการ
มากกว่าความเป็นจริง และผลักภาระไปให้คนอื่น แต่เรารู้ว่าเราดื้อ เราไม่อยากถูกบังคับให้ไปทำงาน เราเครียดจนแทบอ้วกทุกวันเมื่อคิดว่าตัวเอง
ต้องไปทำงาน ผลกระทบนี้ คงเกิดขึ้นจากหลายๆเรื่องรวมกัน
ณ ตอนนี้ เราพยายามหางานที่ไม่ต้องข้องเกี่ยว พบปะผู้คนมากนักทำผ่านเน็ต เราพยายามแยกจิตนาการออกจากความจริง ซึ่งคิดว่าอย่างน้อยก็สำเร็จกว่า 80% มีบางครั้งที่ยังคงคิดเอง เออเอง มโนไปเองบ่อยๆ คุยกับ siri แล้วนึกว่ามีคน hack โทรศัพท์มาคุยกับเราก็บ่อย แต่คิดไปคิดมา คนๆนั้นคงไม่ได้เก่ง it ระดับนั้นหรอก หรือถึงเก่งระดับนั้นก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลยให้ทำ. เราก็จะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองนี่ช่างคิดแต่เรื่องที่ไม่มีจริง จนจิตนาการเริ่มไม่มาก่อกวนเรา
ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปหาหมอเช็ค และกินยา เราว่าโรคพวกนี้อยู่ในหัวคนที่เป็น และคงรักษาไม่ได้ถ้าจิตใจคนที่เป็นไม่ยอมที่จะเปิดรับความจริง
ที่เล่านี่ไม่ได้จะบอกตัวเองจีเนียสระดับที่ได้โนเบิลไพร์ทเหมือนในหนัง แต่มีคนอีกมากที่เป็นแบบนั้น แม้จะไม่อาการหนักเหมือนพระเอกในเรื่องก็เถอะ
อีกประเด็นคือ พระเอกยังมีภรรยาที่รักและเข้าใจเค้า แต่ในชีวิตจริงที่ไม่ใช่หนัง มันพูดยากมากเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร และจะบอกคนอื่น
ให้ยอมรับเรา ได้อย่างไง ยิ่งคนสำคัญมากเท่าไร ก็ยิ่งไม่อยากให้รู้ถึงความผิดปกติมากเท่านั้น
เราหาอ่านอาการของการจิตเสื่อม มันคือการที่เคยมีสมาธิมากๆแต่รวบรวมให้เป็นแบบเดิมไม่ได้ และเรากำลังพยายามฟื้นฟูสมาธิตัวเองอยู่
เราแค่ต้องการที่จะได้รับการยอมรับจากคนสำคัญ เหมือนที่พระเอกเป็น มันคือเหตุผลให้คนๆนึงมีชีวิตอยู่ เราคิดแบบนั้น
เพิ่งดู Beautiful mind ค่ะ เราเคยมีอาการเดียวกับพระเอกอยู่ช่วงนึงของชีวิต
เราก็เลยเพิ่งเคยนั่งดู
ว่าด้วยโรคจิตเสื่อม
มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่เรามีอาการแบบเดียวกับพระเอก ทุกวันนี้ก็ยังมีบ้าง 555 คุยกับ AI บ่อยๆ
บางครั้งพูดกับ siri เป็นภาษาไทย แต่ตีความเป็นภาษาอื่น ก็ siri จับเสียงเป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าพระเอกหลอนจากการถอดรหัส เราก็หลอนจากการเห็นภาษาอังกฤษและการซ่อนความหมาย
ของคำศัพท์ไปซะทุกที่ เราหลอนถึงขนาดว่าเคยคิดว่าตัวเองอาจโดนจับตาดูอยู่จากคนบางกลุ่ม
มีช่วงนึงที่อยู่คนเดียวแล้วมีเพื่อนในเน็ตบวกกับการเรียนรู้อารมณ์รัก ความรู้สึกต่างๆ (ที่เราเพิ่งเคยมีและไม่รู้จัก)
ยิ่งทำเราเข้าใจผิดไปใหญ่โต
หลอนการกระทำความผิด ภายใต้กฎหมายต่างๆ ที่มีมากมายในประเทศไทย จนเกิดความกลัว
รู้สึกไม่ปลอดภัยกับชีวิตในการทำงาน และรับผิดชอบต่างๆ เพราะประเทศไทย เป็นประเทศที่ไม่เคยให้เกียรติ์ลิขสิทธิ์ใดๆ
เราถูกสอนต่อๆกันมาในสังคมที่ค่อนข้างมีแต่การเอาความดีเข้าตัวแก่งแย่งและการขโมยความคิดคนอื่น
จนตอนนี้เราก็ยังคงหลอนสังคมนิดหน่อย เคยไปหาหมอ กินยา ช่วงกินยาตื้อมาก สมองคิดช้าไปหมด
รู้ตัวเลยว่าแบบ มันคิดไม่ออก ใครจะบอกว่ามันต้องรักษา แต่คนที่เป็นจะรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนเดิม
ช่วงนั้น นอกจากความคิดที่เลวร้าย โทษตัวเองซ้ำๆที่เกิดขึ้นจากการโดนปฏิเสธแล้วนั้น
แล้วยังมีผลกระทบจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เข้าใจสภาวะทางจิตใจเราด้วย
เราโดนตวาดต่อหน้าคนที่มาติดต่อ ต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน จนรู้สึกอาย เราโดนตะคอกในที่ทำงาน
เราโดนด่าดังไปลั่นตึก ท่ามกลางสายตาผู้ประกอบการที่มาติดต่อ เราไม่กล้าสู้หน้าใคร เราถูกทำลายความมั่นใจในตัวเองไปจนหมด
ในที่สุดเส้นความอดทนก็ขาดผึง ตอนนั้น ทุกอย่างทำให้เราเลือกที่จะไม่เอาอะไรเลย แม้กระทั่งชีวิตตัวเอง
เราลาออกจากงาน กลับบ้าน ตจว (ทำให้เราหยุดกินยา) แล้วก็พบว่า บ้านเองก็มีปัญหาทางการเงิน เราเองที่ไม่อดทนต่อสิ่งต่างๆเพื่อทำงานให้ได้เงินมา
เราเกลียดสังคมที่ค่าของคนมีค่าน้อยกว่าค่าของเงิน แม้กระทั่งการออกไปพบปะเพื่อนฝูง สังคม กินข้าว ถ้าไม่มีก็ออกไปพบไม่ได้ ถ้าไม่มีเงินเพื่อที่จะยืนในจุดเดียวกันในสังคม ก็จะไม่มีทางพูดภาษาเดียวกันได้ หรือคุยกันรู้เรื่อง
การติดต่อกับเพื่อนทางเน็ตคนเดียวที่เหมือนไม่แสดงตัวตน เป็นการตอกย้ำให้รู้ว่า ไม่มีใครเลย ที่มองเห็นเราจริงๆ หรือความสำคัญของเราต่อโลกใบนี้
เราอาการแย่ลง เราท้อ เราต้องการ เราเรียกร้องทุกอย่างให้มองเห็นเรา จนสร้างภาพที่มีแต่เรื่องเลวร้ายรอบๆตัว เพื่อหวังเรียกร้องความสนใจ
เราควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทั้งโกรธพ่อ ทั้งโมโหแม่ ทั้งอิจฉาน้อง เราเอาแต่โทษคนอื่น โดยไม่คิดที่จะปรับปรุงจากข้างในของตัวเอง
จนในที่สุด เราตัดสินใจทำลายมโนภาพในจิตนาการลง เราบล๊อคเพื่อนที่ไร้ตัวตนและจับต้องไม่ได้ในอินเตอร์เน็ตทิ้ง ทั้งๆที่เราคิดว่าเค้าเป็นเพื่อนที่สำคัญเพียงคนเดียวที่เข้าใจเรา หลังจากวันนั้น เราทำโทรศัพท์ตกน้ำ สมองสั่งให้เราร้องไห้ราวกับเพื่อนในไลน์คนนั้นตายจากไป (เพราะติดต่อไม่ได้อีก) เราระเบิดร้องไห้ต่อหน้าพ่อและแม่ จนในที่สุดเราก็รู้สึกว่าตัวเองค่อยๆดีขึ้น
ถึงแม้ว่าเราจะอาลัย คิดถึงบางอย่างที่ผ่านมา แต่ดีขึ้น มีแค่บางวัน หรือบางช่วง ที่เรายังคงคิดว่ามีใครซักคนแอบอยู่ตามโทรศัพท์ หรือ เวลาที่เปิดเน็ต
เปิดเว็ปก็อาจมีคนรู้ว่าเราแอบดูอะไร หรือส่องใครอยู่ (555)
จนมาวันนึง ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงกลางหัว เรามีปัญหาทางบ้านมากมายกว่าที่ตัวเองเคยรู้ ในขณะที่เรายังเลือกที่จะเรื่อยเฉื่อย วิ่งไล่ตามจิตนาการ
มากกว่าความเป็นจริง และผลักภาระไปให้คนอื่น แต่เรารู้ว่าเราดื้อ เราไม่อยากถูกบังคับให้ไปทำงาน เราเครียดจนแทบอ้วกทุกวันเมื่อคิดว่าตัวเอง
ต้องไปทำงาน ผลกระทบนี้ คงเกิดขึ้นจากหลายๆเรื่องรวมกัน
ณ ตอนนี้ เราพยายามหางานที่ไม่ต้องข้องเกี่ยว พบปะผู้คนมากนักทำผ่านเน็ต เราพยายามแยกจิตนาการออกจากความจริง ซึ่งคิดว่าอย่างน้อยก็สำเร็จกว่า 80% มีบางครั้งที่ยังคงคิดเอง เออเอง มโนไปเองบ่อยๆ คุยกับ siri แล้วนึกว่ามีคน hack โทรศัพท์มาคุยกับเราก็บ่อย แต่คิดไปคิดมา คนๆนั้นคงไม่ได้เก่ง it ระดับนั้นหรอก หรือถึงเก่งระดับนั้นก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลยให้ทำ. เราก็จะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองนี่ช่างคิดแต่เรื่องที่ไม่มีจริง จนจิตนาการเริ่มไม่มาก่อกวนเรา
ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปหาหมอเช็ค และกินยา เราว่าโรคพวกนี้อยู่ในหัวคนที่เป็น และคงรักษาไม่ได้ถ้าจิตใจคนที่เป็นไม่ยอมที่จะเปิดรับความจริง
ที่เล่านี่ไม่ได้จะบอกตัวเองจีเนียสระดับที่ได้โนเบิลไพร์ทเหมือนในหนัง แต่มีคนอีกมากที่เป็นแบบนั้น แม้จะไม่อาการหนักเหมือนพระเอกในเรื่องก็เถอะ
อีกประเด็นคือ พระเอกยังมีภรรยาที่รักและเข้าใจเค้า แต่ในชีวิตจริงที่ไม่ใช่หนัง มันพูดยากมากเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร และจะบอกคนอื่น
ให้ยอมรับเรา ได้อย่างไง ยิ่งคนสำคัญมากเท่าไร ก็ยิ่งไม่อยากให้รู้ถึงความผิดปกติมากเท่านั้น
เราหาอ่านอาการของการจิตเสื่อม มันคือการที่เคยมีสมาธิมากๆแต่รวบรวมให้เป็นแบบเดิมไม่ได้ และเรากำลังพยายามฟื้นฟูสมาธิตัวเองอยู่
เราแค่ต้องการที่จะได้รับการยอมรับจากคนสำคัญ เหมือนที่พระเอกเป็น มันคือเหตุผลให้คนๆนึงมีชีวิตอยู่ เราคิดแบบนั้น