ร้านล้างรถในไทย


สวัสดีครับขอเกริ่นนำนิดนึงนะครับ กระทู้นี้จะสอดแทรกความรู้และข้อมูลของวงการcar detailing ของเมืองไทย
หรือคาร์แคร์นั้นแหละครับว่ามีความแตกต่างกันยังไง จากความรู้งูๆปลาของผมอันน้อยนิด

car care กับ car detailing แตกต่างกันมั้ย ?

-ตอบ แตกต่างซิครับ
car care แค่ล้างรถ หรือ ล้างสีดูดฝุ่นทั่วไปนั้นแหละครับ เริ่มต้นตั้งแต่คันละหลัก ร้อยถึงหลักพัน อาจจะมีการลงแว๊กซ์บ้างขัดบ้างนิดหน่อยครับ ซักพรม นู้นนี้นั้น ไม่ได้เจาะลึกถึงขั้นขัดหรือเคลือบแก้วครับ


car detailing(หรือเปล่า)ทำความเข้าใจก่อนว่า ตอนนี้ในไทยเริ่มหาร้านแบบนี้จริงๆเริ่มง่ายแล้ว(หรือเปล่า)หลังๆ บางร้านที่เป็น ล้าง อัด ฉีด ทั่วไป อาจจะเพิ่มคำว่า detaining  พ่วงท้ายด้วย ทำให้หาร้านแบบนี้จริงๆยาก แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป

car detailing (จริงๆ) ส่วนมากร้านแนวนี้จริงๆ จะไม่รับล้างรถนะครับ  จริงครับ  ถ้าล้างปกติร้านเหล่านี้มักจะล้างรถของลูกค้าตัวเองเท่านั้น ที่ผ่านการขัด หรือเคลือบด้วยวิธีการใดๆจากทางร้าน แบบนี้ส่วนมากร้านเค้าจะเรียกว่า safe wash ครับ คือล้างด้วยแชมพูชนิดพิเศษ มีค่า Ph ที่เหมาะสมไม่ทำลาย สารที่พวกเขาได้เคลือบไปหรือแม้แต่กระทั่ง ล้างเพื่อไม่ให้เกิดรอยขนแมว รอยริ้วแสง หรือแล้วแต่จะเรียกก็แล้วกันครับ

  ต่อไปนี้ผมจะพูดถึงร้านcar detailing นะครับขอข้ามร้านล้างรถทั่วไปก่อน

ทำไมราคาของร้านเหล่านี้ถึงมีหลายแพ็คเกจหลายราคาตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นเหรอครับ ?

เริ่มต้นตั้งแต่การขัด
ถ้าเราเห็นรถคันไหน เป็นรอยคลื่นๆวงๆโดยเฉพาะรถสีดำเห็นง่ายเมื่อออกแดด ให้รีบถามเจ้าของรถให้ได้ว่าไปทำร้านไหนมา จะได้หลีกเลี่ยงทัน
นั้นคือผิดพลาดมาก โดยส่วนมากจะพบกับคนขัดที่ใช้เครื่องขัดโรตารี่ และเกิดจากอู่สี หรือร้านล้างรถที่ขัดรถแบบผิดวิธี (เครื่องDaก็ทำให้เกิดรอยแบบนี้ได้แต่จะยากกว่านิดนึง)

ในส่วนของการขัด น้ำยาขัดมีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักหลายพันจนเฉียดหมื่นต่อลิตรครับหรือหลักหมื่นต่อลิตรก็มี
ขอพูดสั้นๆถึงน้ำยานะครับ น้ำยาเทพๆดีๆ ก็จะทำให้รถที่ผ่านการขัด สวยใสจริงครับโดยที่ไม่ใช่แค่การ กลบ(โดยน้ำยาขัดที่มีส่วนผสมของน้ำมันจะทำการกลบมากกว่า)
หลายร้านใช้ของถูก หลายร้านใช้ของแพง เจ้าของรถหลายท่านไม่เคยถามด้วยซ้ำว่าร้านเหล่านี้ใช้น้ำยาอะไรขัดหรือใช้เครื่องอะไรขัด
เจอร้านดีๆใช้ของดี คนขัดมีประสบการณ์ก็นับว่าโชคดีไปครับ เจอบางร้านขัดไม่เป็นทำสีเปิด รถเป็นรอยก็ซวยซิครับ แถมบางร้านยังแค่กลบรอย ไม่ได้ลบรอยจริงๆซึ่งการขัดแต่ละครั้งทำให้แลคเกอร์บางลงนะครับ(ไว้อธิบายกระทู้หน้าครับ)


แล้วเคลือบแก้วหล่ะทำไมแพงจัง ?
แน่นอนครับหลายคนยังไม่รู้วิธีและขั้นตอนการทำด้วยซ้ำมันแพงกับอะไร ทั้งๆที่เดี๋ยวนี้มีน้ำยาเคลือบแก้ว และสเปรย์ขายเยอะแยะ
-คำว่าสเปรย์เคลือบตัดทิ้งไปเลยนะครับ เกิดมาผมยังไม่เคยเจอ สเปรย์เคลือบแก้วครับ
ซึ่งเคลือบแก้วที่แท้จริงเนี่ยมันจะต้องแข็งตัวนะครับแล้วคุณผู้อ่านลองนึกดูถ้าเกิดว่าเราเอาสเปรย์เคลือบแก้วมาฉีดแล้วสายข้างในฟ็อกกี้เนี่ยมันจะอุดตันหรือเปล่าครับลองนึกดูนะครับ ที่มันแข็งตัวเพราะมีส่วนประกอบหลักๆคือพวก  ซิลิก้า หรือ sio2ครับ ใครลองซื้อมาก็ลองเททิ้งไว้ดูนะครับว่าแข็งหรือเปล่า นั้นคือเหตุผลที่ว่าผมยังไท่เคยเจอสเปรย์เคลือบแก้วจริงๆครับ
ปกติสเปรย์พวกนี้ที่ไล่น้ำได้เพราะมันมีความ มัน ครับ ไม่เชื่อคุณลองเอาน้ำมันพืช หรือวาสลีนมาถูบนผิวรถดูครับ ไล่น้ำดีกว่าสเปรย์หลายๆตัวอีก

ส่วนน้ำยาเคลือบแก้ว มีทั้งของจีน ของยุโรป ของญี่ปุ่น (อาจจะผลิตจีนหมดแล้วด้วยซ้ำ)
ราคามีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักหมื่นต่อขวดครับ การเคลือบแก้วขั้นตอนเตรียมผิวสำคัญที่สุดครับ
กระทู้หน้าอาจจะมาบอกวิธีแบบละเอียดครับการขัดเตรียมผิวเนี่ย ใช้เวลาตั้งแต่4-8 ชั่วโมงเลยนะครับ แล้วแต่ร้านไหนมีความชำนาญและใช้น้ำยาขัดหรือเครื่องขัดตัวไหนครับ ถ้าจับจุดได้ก็จบงานได้ไวครับ

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของวงการนี้ออกมาแพร่หลายมากโดยที่ไม่มีการควบคุมแต่อย่างใด โฆษณาเกินจริงบ้างเอย ใช้คำที่ดูดีและสวยหรู
แค่ติดข้างขวดว่า made in นู้น นี้ นั้น โดยที่ไม่มีเว็บไซค์หรือที่อยู่อ้างอิงด้วยซ้ำ ง่ายๆหน่อยก็เอาธงชาติประเทศโน้นประเทศนี้มาใส่ไว้ในสินค้าหน่อย ง่ายจะตาย มาจากญี่ปุ่นบ้าง มาจากอเมริกาบ้าง แต่เว็บหลักอย่างเป็นทางการ หรือหาใน google กลับไม่เจอยี่ห้อเหล่านี้ในต่างประเทศเลย

วันนี้มาแชร์ประสบการณ์เท่านี้นะครับ กระทู้หน้า จะมาพูดเรื่องอะไรกำลังคิดอยู่ในหัวครับ

อาจจะอธิบายเรื่อง 9H ว่าแท้จริงแล้วมันหนายังไง
หรือความหนาเป็นไมครอนมันจริงมั้ย

โปรดติดตามชมตอนต่อไปครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่