ชวิตยิ่งกว่าละครมีจริง อยู่ที่ว่าใครคนนั้นต้องเจออะไรมาบ้าง เจ้าของกระทู้เจออะไรมาค่อนข้างเยอะครับ ( เล่าในมุมของผม )

ผมเป็นลูกคนที่ 2  ผมเกิดที่กรุงเทพแต่ต้องไปโตแบบที่จำความได้ที่ต่างจังหวัด  ยายเป็นคนเลี้ยง ตอนเด็กๆสับสนมากว่าใครเป็นพ่อแม่ของตัวเอง จะเล่ายังไงดี คือแบบนี้ครับ ผมมีพ่อ 2 คน และ แม่ 2 คน  พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงคือมีศักดิ์เป็นลุงและป้า  เพราะพ่อทั้ง 2 คนเป็นพี่น้องกัน พ่อจริงผมเป็นน้องของพ่อเลี้ยง  แม่เลี้ยงเคยเล่าให้ผมฟังว่า แม่ที่แท้จริงของผมเค้าทิ้งผมไว้ที่โรงพยาบาล 5 วัน และตอนที่ท้องผมได้ 4 เดือนแม่ก็พยายามจะกินยาขับผมออกมา โดยที่แม่กินยาทัมใจไปหลายๆซองพร้อมกินเหล้าขาว แม่จริงเค้ามาปรึกษาแม่เลี้ยงในฐานะที่แม่เลี้ยงเป็นพี่สะใภ้เรื่องเอาลูกออก แต่แม่เลี้ยงของผมเค้าแนะนำว่าอย่าทำเลย มันบาป  ต้องบอกก่อนเลยว่า ลูกคนแรกของแม่จริงผม แม่ก็ทำแท้งมาแล้ว 1 ครั้ง ก่อนจะที่มีพี่ชาย และมีผมที่แม่พยายามขับออกแต่ดันไม่ออก นี่เป็นเหตุผลที่แม่ทิ้งผมไว้ที่โรงพยาบาล 5 วัน ถ้าทุกคนคิดว่านี่ดราม่ามากแล้ว สิ่งต่อไปที่ผมจะเล่าให้ฟัง มันดราม่ากว่านี้อีกหลายเท่า
           แม่เลี้ยงรับผมมาเลี้ยงจนโตพอจะเข้าอนุบาลได้ ช่วงนั้นเศรฐกิจค่อนข้างแย่ แม่เลี้ยงจึงไปปรึกษาแม่จริงว่า อยากจะส่งผมไปเลี้ยงที่ต่างจังหวัด ทั้งแม่จริงและแม่เลี้ยงเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ผมไปเรียนต่างจังหวัดกับยาย ยายมีหลานที่คอยดูแลคือ พี่ชายผม ผม และลูกพี่ลูกน้องผมอีก 1 คน  ผมจำความได้ว่า ตอนอนุบาลหลานยายทุกคนตื่นเช้ามาจะลงมาอาบน้ำแปรงฟันกินข้าวและได้เงินไปโรงเรียนคนละ 2 บาท  จะมีผมคนเดียวที่ต้องตื่นพร้อมยาย ตี 5 เพื่อไปรดน้ำต้นพริกที่ยายปลูกไว้ที่นาปลัง  ระยะทางไปกลับประมาณ 5 กิโลเมตร คือถ้าวันไหนผมไม่ไปช่วยยาย ยายก็จะไม่ให้เงินไปโรงเรียน ตกเย็นถึงเลาเลิกเรียน หลานๆยายทุกคนก็จะได้ไปเล่นกับเพื่อนในหมู่บ้าน หรือจะทำการบ้านที่ครูสั่งมา  ส่วนผม จะต้องรอเอาปลาที่ อาน้องของแม่จริงผมไปหามาเพื่อเอาไปขายในหมู่บ้าน  ผมจำได้เลยว่า ปลาที่ยายร้อยตอก ( ไม้ไผ่ที่เอามาตัดให้บางใช้แทนเชือก )เข้ากับเหงือกปลานั้นแล้วทำเป็นห่วงให้ผมถือไปขาย ผมต้องยกมาระหัวไหล่ เพราะถ้าถือปกติมันจะลากกับถนนซึ่งเป็นถนนลูกรังสีแดง ถ้าปลาลากกับถนนมันจะดูไม่สวยไม่น่าซื้อ  ผมเดิอนขายปลารอบหมูบ้านทุกวัน ผ่านบ้านไหนที่มีคนอยู่ก็เดินเข้าไปถามว่าจะเอาปลาไหม? ขายทุกวัน หมดทุกวัน หลังๆมาผมจะมีลูกค้าประจำและรู้ว่าต้องมุ่งไปทางบ้านไหนก่อน ยายเลี้ยงผมมาแบบ 2 มาตรฐานแบบนี้จนโต  มีครั้งหนึ่งผมจำความได้ว่า ผมอยู่ ป 1  เย็นวันนั้นทุกคนมานั่งล้อมวงกินข้าว การกินข้าวของทางภาคอีสานที่ผมอยู่ คือการเทกับข้าว ใส่ถาดกลมขนาดใหญ่ จากนั้นเราต้องปั้นข้าวเหนียวให้พอดีคำ แล้วเอาข้าวเหนียวคีบเอาเนื้อปลาให้ติดกับข้าวเหนียวจากนั้นประคองเอาเข้าปาก วันนั้นผมโดนยายตบที่หน้า ยายบอกว่า กินโผล่ ภาษาอีสาน หมายถึงกินกับข้าวเยอะเกินไป มันเป็นฉากที่ผมจำได้ขึ้นใจเลยว่า การที่ข้าวที่ผ่านการเคี้ยวไปสองสามครั้งกระเด็นออกจากปากพร้อมกับหน้าชา มันเป้นยังไง  ตัดเรื่องกลับชีวิตวัยเด็กจนถึง ป 5 ทุกๆอย่างก็เหมือนเดิม แต่จะเพิ่มในส่วนของ ทุกเสาร์ อาทิตย์ หลานคนอื่นจะได้ดูการ์ตูนช่อง 9 ของน้าต๋อย ซึ่งตอนนั้นทีวีที่ใช้ยังเป็นทีวีที่เวลาเปลี่ยนช่องต้องบิดที่ปุ่มบิดและถ้าสัญญาณไม่ค่อยดี ทุบ 1-2 ทีจะได้สัญญาณภาพที่ดีกลับมา ฮ่าๆ  หลานคนอื่นได้ดูการ์ตูน  ส่วนผม ต้องไปกับยาย เตรียมข้าวเหนียว กับข้าว และน้ำ เข้าป่าไปหาหน่อไม้ หาเห็ด  หาฟืน แบกฟืน และถ้าช่วงไหนเป็นหน้าของ จิโปม ( ลักษณะเหมือนจิ้งหรีด แต่ใหญ่กว่าจิ้งหรีด สีน้ำตาล ) ก็เตรียมเสียมไปขุด  แต่ถ้าช่วงไหนเป็น ฤดูของ เบ้า ( เบ้าคือ หนอนตัวใหญ่ๆอยู่ในลูกกลมที่แมงกุดจี่ปั้นมาจากขี้ควายฝังอยู่ใต้ดิน ) ยิ่งไปกว่านี้ที่ทำให้ผมรู้สึกว่ายายเลี้ยงหลาน 2 มาตรฐานเพราะ ทุกครั้งที่ประกาศผลสอบแล้วครูจะให้สมุดพกกลับบ้าน คือลูกพี่ลูกน้องผมสอบได้ที่ 5 ส่วนพี่ชายได้ที่ 10 สองคนนี้ก็จะได้ไปกินไอติม ไม่ก็ได้จักรยานใหม่ที่ต้องพาไปซื้อในตัวเภอซึ่งหางจากหมู่บ้านไป 30 กิโลเมตร ( น้าคนที่เป็นแม่ของลูกพี่ลูกน้องผมพาไป )  ส่วนผมสอบได้ที่ 1 ทุกปี ตั้งแต่ ป 1 ถึง ป 5  มีโมเม้นที่ดีใจแค่ตอนคุณครูประกาศผล ส่วนกลับมาบ้านนั้นก็ต้องวางสมุดพก ถือเสียม ถือตะกร้าเข้าป่าไปหาของมาขายกัยกับยาย ยายไม่แม้จะถามว่าผมสอบได้ที่เท่าไหร่ ฮ่าๆ  วันดีคืนดี ถ้าทะเลากกับยาย ยายไม่พอใจก็ไล่ให้ไปอยู่กับพ่อแม่เลี้ยงที่กรุงเทพ ผมโดนยายตีอยู่หลายครั้ง จนป้าที่เป็นลูกสะใภ้ยายมาห้ามแล้วเอาผมไปอยู่ด้วย  อยูไปซัก 2-3 วัน ยายก็ให้คนมาตาม เพราะไม่มีใครช่วยรดน้ำผัก ไม่มีใครช่วยเอาปลาไปขาย ผมก็ต้องกลับไปอยู่ที่เดิม จนกระทั่งผมอยู่ ป 5 ช่วงปิดเทอม ผมก็มีโอกาศได้กลับมาเยี่ยมพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง ซึ่งสภาพการเงินตอนนั้นพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเค้าพอจะมีเงิน เลยให้ผมย้ายมาอยู่ด้วยกัน ผมเรียน ป.6 และ ม 1 ที่กรุงเทพ ส่วน ม. 2 ต้องกลับไปเรียนที่ต่างจังหวัด กลับไปอยู่กับยาย เพราะอะไร เดี๋ยวผมมาเล่าใหม่นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
น่าสงสารจริงๆนั่นแหละ อ่านแล้วสะเทือนใจตอนตบทั้งๆที่ข้างอยู่ในปาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่