เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราตื่นกันแต่เช้า อาจเป็นเพราะพวกเราเพลียจากการเดินทาง
จึงหลับกันตั้งแต่หัวค่ำ ... เช้าหกโมงยังไม่ครึ่ง ก็ลงมาเตรียมพร้อมจะเดินทางกันแล้ว
แต่ก่อนที่จะออกเดินทาง ไอ้ตี๋ เสนอให้หาข้าวกินกันก่อนเพราะหิวข้าวจนแสบท้อง
เราไปกินข้าวราดแกงในร้านใกล้ใกล้โรงแรม สั่งแล้วสั่งอีกกินกันแล้วกินกันอีก
จนป้าเจ้าของร้านร้องบอกว่า ข้าวหมดแล้วพร้อมยกหม้อใส่ข้าวขนาดใหญ่ให้เราดู
ไอ้ตี๋ ร้องอุทธรณ์ “โห ... ป้ายังไม่อิ่มเลย หมดแล้วเหรอ”
ป้าเจ้าของร้านค้อนใส่ “เออ ... หมดแล้วกินกันยังกะตายอดตายอยากมาจากไหน”
เสียงหัวเราะของพวกเราดังขึ้นอีกครั้ง ... เมื่อชำระเงินเรียบร้อยแล้วก็มุ่งตรงไปสถานีรถไฟ
ค่าตั๋วรถไฟไปจังหวัดสงขลาสามบาท แต่ปัจจุบันนี้ทางรถไฟสาย หาดใหญ่-สงขลา ไม่มีแล้ว
***********************************************
เป้าหมายแรกเมื่อเราไปถึงสงขลานั่นคือ หาดสมิหรา นางเงือก ที่เห็นจากรูปภาพจนติดตา
หาดสมิหรา นาทีนั้น บริสุทธิ์เหลือเกินหาดทรายละเอียดและขาวสะอาด เป็นแนวยาวสุดตา
หลังจากถ่ายรูปคู่กับนางเงือกคนละภาพสองภาพ เราก็ออกเดินเลาะหาดทรายกันไปเรื่อยเรื่อย
ขวามือคือทะเลสาบสงขลา ซ้ายมือคือสวนสน เดินไปสักพักหนึ่งเราก็พบห้องน้ำสาธารณะ
จึงตัดสินใจกันว่าจะแวะอาบน้ำและทำกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนก่อน
ในเวลานั้นห้องน้ำที่เราพบเป็นห้องน้ำที่สะอาดมากจนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นห้องน้ำสาธารณะ
จำไม่ได้เหมือนกันว่าค่าใช้ห้องน้ำเท่าไหร่ แต่ไม่น่าจะแพงนัก เพราะตลอดเวลาที่เราอยู่สงขลา
ห้องน้ำนี้คือที่อาบน้ำประจำของพวกเรา ... ปัญหาต่อมาของพวกเราคือสัมภาระ
เฉพาะเต็นท์นอน สองเต็นท์ใหญ่ก็แบกกันไหล่หลู่แล้วต้องพลัดกันแบก
แต่ปัญหาก็แก้ไขได้เมื่อเดินมาสุดหาดทราย ... เบื้องหน้าเราเป็นแนวเขื่อนกันน้ำทะเลหนุน
เราตัดสินใจยึดทำเลตรงนี้เป็นที่กางเต็นท์นอน สำหรับสัมภาระทั้งหลายตกลงกันว่า
จะเอาไปฝากวัดที่เห็นอยู่ในหมู่บ้านชายทะเลเบื้องหน้าด้านซ้ายมือ
แต่จะเริ่มต้นเอาไปฝากในวันรุ่งขึ้นเพราะวันนี้ก็บ่ายมากแล้ว
วัดที่พูดถึงนี้ชื่อ “วัดแหลมทราย”
***********************************************
เราเดินเข้าหมู่บ้านประมงที่เห็นเพื่อหาซื้อเบ็ดและสายเอ็นกะว่าคืนนี้จะตกปลากันที่ริมเขื่อน
เพราะเท่าที่สำรวจเขื่อนที่ว่านี้สามารถเดินเลาะขอบของเขื่อนที่ยื่นออกไปในทะเลได้
หลังจากที่กินข้าวกินปลากันแล้วพวกเราจึงย้อนกลับมาที่ริมเขื่อนอีกครั้ง
เพื่อตั้งเต็นท์ ในขณะที่ ไอ้ตี๋ กับ ไอ้จุ่น เดินย้อนกลับมาที่หมู่บ้านเพราะลืมซื้อไม้มาก่อกองไฟ
กว่าที่อะไรจะเรียบร้อย ฟ้าก็มืดเต็มทีแล้วเสียงคลื่นซัดซ่าซ่า เมื่อเอาไฟฉายส่องไปที่พื้นทราย
ก็ เห็นพรายน้ำเรืองรองขึ้นมาเป็นจุดจุด ... ปูลม จำนวนมากวิ่งเล่นแสงไฟฉายที่ส่องล้อ
ปูเสฉวน ที่เคือบคลานอย่างช้าช้าออกมาจากรูให้เราจับเอาไปทำเหยื่อตกปลา
สนุกสนานกับการวิ่งไล่จับปูลม เอาไปทอดกรอบเป็นของว่างยามดึกอีกถุงใหญ่ใหญ่
คืนวันนั้นได้ปลามาเสียบไม้ย่างสี่ห้าตัว ไอ้จุ่น ลงทุนกระโดดลงทะเลเพื่อลากเอาปลาขึ้นฝั่ง
***********************************************
ก่อกองไฟย่างปลา ทอดกรอบปูลม มี แม่โขง ผสมโซดาที่หมกไว้ในทรายใต้น้ำทะเล
นอนคุยกันสบายสบาย สายตาจับไปที่ท้องฟ้าสดใสดาวรายล้อมไปทั่ว
เหมือนเทวดาเอาผ้าสีดำแต้มด้วยกากเพชรที่วับวาวไปทั่วมาขึงไว้
ไอ้ตี๋ ส่งเสียงขึ้นมา “ตีดัมมี่กันไหม?”
ไอ้จ๋อ สวนขึ้นมา “นี่หยาบคายกับธรรมชาติสวยสวยเหลือเกิน ... เอาดิ ไพ่อยู่ไหนล่ะ”
วงดัมมี่เริ่มขึ้น ไอ้จุ่น ขอเป็นผู้สังเกตุการณ์ นอนจิบเหล้าเคี้ยวปูลมทอดกรอบ
คอยชะโงกดูไพ่ คนนู้นที-คนนี้ที เชียร์ให้ ไอ้ตี๋ ทิ้งไพ่ใบนู้นใบนี้
ปรากฏว่า ไอ้ตี๋ ตีโง่สามตาติด ... ไอ้ตี๋ เริ่มโวย “เฮ้ย ... เงียบหน่อยได้ไหมวะ ไอ้จุ่น”
”ไม่ได้โว้ย ... กูพอใจ” ไอ้จุ่น เริ่มกวนตีน ... “งั้น มาชกกับกู ไอ้จุ่น”
ไอ้ตี๋ กับ ไอ้จุ่น ออกไปนอกเต็นท์ ... ไอ้ป๊อก กระซิบถาม ไอ้จ๋อ “ไม่ห้ามเหรอวะ”
ไอ้จ๋อ หัวเราะ “กูว่ามันไม่ชกกันหรอกว่ะ เคยเห็น ไอ้ตี๋ ชกกันกับพวกเราหรือเปล่าวะ?”
“ไม่เคยว่ะ” ไอ้จ๋อ ถามเอง-ตอบเอง “มันรักเพื่อนจะตายไป ไอ้ตี๋ อ่ะ”
จริงอย่างที่ ไอ้จ๋อ ว่า ... ไอ้จุ่น กับ ไอ้ตี๋ ออกไปสักพักก็กลับมาพร้อม ปูลม ถุงใหญ่
เสียงหัวเราะครื้นเครงดังไปทั่ว ทะเลสาบสงขลา
ตะนิ่นตาญี
ขาสั้น-ขนยาว โบกรถ ตอนที่ ๓
จึงหลับกันตั้งแต่หัวค่ำ ... เช้าหกโมงยังไม่ครึ่ง ก็ลงมาเตรียมพร้อมจะเดินทางกันแล้ว
แต่ก่อนที่จะออกเดินทาง ไอ้ตี๋ เสนอให้หาข้าวกินกันก่อนเพราะหิวข้าวจนแสบท้อง
เราไปกินข้าวราดแกงในร้านใกล้ใกล้โรงแรม สั่งแล้วสั่งอีกกินกันแล้วกินกันอีก
จนป้าเจ้าของร้านร้องบอกว่า ข้าวหมดแล้วพร้อมยกหม้อใส่ข้าวขนาดใหญ่ให้เราดู
ไอ้ตี๋ ร้องอุทธรณ์ “โห ... ป้ายังไม่อิ่มเลย หมดแล้วเหรอ”
ป้าเจ้าของร้านค้อนใส่ “เออ ... หมดแล้วกินกันยังกะตายอดตายอยากมาจากไหน”
เสียงหัวเราะของพวกเราดังขึ้นอีกครั้ง ... เมื่อชำระเงินเรียบร้อยแล้วก็มุ่งตรงไปสถานีรถไฟ
ค่าตั๋วรถไฟไปจังหวัดสงขลาสามบาท แต่ปัจจุบันนี้ทางรถไฟสาย หาดใหญ่-สงขลา ไม่มีแล้ว
***********************************************
เป้าหมายแรกเมื่อเราไปถึงสงขลานั่นคือ หาดสมิหรา นางเงือก ที่เห็นจากรูปภาพจนติดตา
หาดสมิหรา นาทีนั้น บริสุทธิ์เหลือเกินหาดทรายละเอียดและขาวสะอาด เป็นแนวยาวสุดตา
หลังจากถ่ายรูปคู่กับนางเงือกคนละภาพสองภาพ เราก็ออกเดินเลาะหาดทรายกันไปเรื่อยเรื่อย
ขวามือคือทะเลสาบสงขลา ซ้ายมือคือสวนสน เดินไปสักพักหนึ่งเราก็พบห้องน้ำสาธารณะ
จึงตัดสินใจกันว่าจะแวะอาบน้ำและทำกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนก่อน
ในเวลานั้นห้องน้ำที่เราพบเป็นห้องน้ำที่สะอาดมากจนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นห้องน้ำสาธารณะ
จำไม่ได้เหมือนกันว่าค่าใช้ห้องน้ำเท่าไหร่ แต่ไม่น่าจะแพงนัก เพราะตลอดเวลาที่เราอยู่สงขลา
ห้องน้ำนี้คือที่อาบน้ำประจำของพวกเรา ... ปัญหาต่อมาของพวกเราคือสัมภาระ
เฉพาะเต็นท์นอน สองเต็นท์ใหญ่ก็แบกกันไหล่หลู่แล้วต้องพลัดกันแบก
แต่ปัญหาก็แก้ไขได้เมื่อเดินมาสุดหาดทราย ... เบื้องหน้าเราเป็นแนวเขื่อนกันน้ำทะเลหนุน
เราตัดสินใจยึดทำเลตรงนี้เป็นที่กางเต็นท์นอน สำหรับสัมภาระทั้งหลายตกลงกันว่า
จะเอาไปฝากวัดที่เห็นอยู่ในหมู่บ้านชายทะเลเบื้องหน้าด้านซ้ายมือ
แต่จะเริ่มต้นเอาไปฝากในวันรุ่งขึ้นเพราะวันนี้ก็บ่ายมากแล้ว
วัดที่พูดถึงนี้ชื่อ “วัดแหลมทราย”
***********************************************
เราเดินเข้าหมู่บ้านประมงที่เห็นเพื่อหาซื้อเบ็ดและสายเอ็นกะว่าคืนนี้จะตกปลากันที่ริมเขื่อน
เพราะเท่าที่สำรวจเขื่อนที่ว่านี้สามารถเดินเลาะขอบของเขื่อนที่ยื่นออกไปในทะเลได้
หลังจากที่กินข้าวกินปลากันแล้วพวกเราจึงย้อนกลับมาที่ริมเขื่อนอีกครั้ง
เพื่อตั้งเต็นท์ ในขณะที่ ไอ้ตี๋ กับ ไอ้จุ่น เดินย้อนกลับมาที่หมู่บ้านเพราะลืมซื้อไม้มาก่อกองไฟ
กว่าที่อะไรจะเรียบร้อย ฟ้าก็มืดเต็มทีแล้วเสียงคลื่นซัดซ่าซ่า เมื่อเอาไฟฉายส่องไปที่พื้นทราย
ก็ เห็นพรายน้ำเรืองรองขึ้นมาเป็นจุดจุด ... ปูลม จำนวนมากวิ่งเล่นแสงไฟฉายที่ส่องล้อ
ปูเสฉวน ที่เคือบคลานอย่างช้าช้าออกมาจากรูให้เราจับเอาไปทำเหยื่อตกปลา
สนุกสนานกับการวิ่งไล่จับปูลม เอาไปทอดกรอบเป็นของว่างยามดึกอีกถุงใหญ่ใหญ่
คืนวันนั้นได้ปลามาเสียบไม้ย่างสี่ห้าตัว ไอ้จุ่น ลงทุนกระโดดลงทะเลเพื่อลากเอาปลาขึ้นฝั่ง
***********************************************
ก่อกองไฟย่างปลา ทอดกรอบปูลม มี แม่โขง ผสมโซดาที่หมกไว้ในทรายใต้น้ำทะเล
นอนคุยกันสบายสบาย สายตาจับไปที่ท้องฟ้าสดใสดาวรายล้อมไปทั่ว
เหมือนเทวดาเอาผ้าสีดำแต้มด้วยกากเพชรที่วับวาวไปทั่วมาขึงไว้
ไอ้ตี๋ ส่งเสียงขึ้นมา “ตีดัมมี่กันไหม?”
ไอ้จ๋อ สวนขึ้นมา “นี่หยาบคายกับธรรมชาติสวยสวยเหลือเกิน ... เอาดิ ไพ่อยู่ไหนล่ะ”
วงดัมมี่เริ่มขึ้น ไอ้จุ่น ขอเป็นผู้สังเกตุการณ์ นอนจิบเหล้าเคี้ยวปูลมทอดกรอบ
คอยชะโงกดูไพ่ คนนู้นที-คนนี้ที เชียร์ให้ ไอ้ตี๋ ทิ้งไพ่ใบนู้นใบนี้
ปรากฏว่า ไอ้ตี๋ ตีโง่สามตาติด ... ไอ้ตี๋ เริ่มโวย “เฮ้ย ... เงียบหน่อยได้ไหมวะ ไอ้จุ่น”
”ไม่ได้โว้ย ... กูพอใจ” ไอ้จุ่น เริ่มกวนตีน ... “งั้น มาชกกับกู ไอ้จุ่น”
ไอ้ตี๋ กับ ไอ้จุ่น ออกไปนอกเต็นท์ ... ไอ้ป๊อก กระซิบถาม ไอ้จ๋อ “ไม่ห้ามเหรอวะ”
ไอ้จ๋อ หัวเราะ “กูว่ามันไม่ชกกันหรอกว่ะ เคยเห็น ไอ้ตี๋ ชกกันกับพวกเราหรือเปล่าวะ?”
“ไม่เคยว่ะ” ไอ้จ๋อ ถามเอง-ตอบเอง “มันรักเพื่อนจะตายไป ไอ้ตี๋ อ่ะ”
จริงอย่างที่ ไอ้จ๋อ ว่า ... ไอ้จุ่น กับ ไอ้ตี๋ ออกไปสักพักก็กลับมาพร้อม ปูลม ถุงใหญ่
เสียงหัวเราะครื้นเครงดังไปทั่ว ทะเลสาบสงขลา
ตะนิ่นตาญี