มีใครเคยรู้สึกอยากตายในวันเกิดบ้างมั้ย?

เรากำลังจะอายุ 26 ในไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว
ดูเหมือนก็อายุยังน้อย ยังเด็ก ไม่น่าคิดอะไรแบบนี้เลย
แต่สำหรับเรามันไม่ใช่ค่ะ .

-เกริ่นชีวิต คำเตือน ยาวมาก-
เราเป็นลูกคนเล็ก มีพี่น้อง 1 คน
เราโตมาในครอบครัวที่ไม่ค่อยจะอบอุ่นสักเท่าไหร่
มันเริ่มมาตั้งแต่วันที่เราลืมตาดูโลกขึ้นมาแหละค่ะ
พ่อแม่ที่มีพี่สาวอยู่แล้ว อยากได้ลูกชาย แต่เราดันเป็นผญซะงั้น
จากปกติที่ฐานะทางบ้านก้พอเชิดหน้าชูตาสังคมได้
ก้กลายเป็นเริ่มจะลดระดับลงมาเยอะพอสมควร

ความทรงจำในวัยเด็กของเราก้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
เราถูกจับแต่งตัวให้เป็นผู้ชาย ตัดผมลองทรง
ถูกเลี้ยงมาแบบแมนๆ ลุยๆ (ก็เค้าอยากได้ผชนี่เนอะ)
แล้ววันๆ พี่สาวเอาแต่พูดว่าเราเป็นลูกคนข้างบ้านบ้าง เกิดจากไม้ไผ่บ้าง
แถมพ่อกับแม่ยังทะเลาะกันหนักมาก บ่อยมาก
ย้ายบ้าน ย้ายที่อยู่เป็นว่าเล่น
เดียวก้ไปอยู่กับแม่บ้าง ไปอยู่กับพ่อบ้าง

ส่วนใหญ่เราก้ไม่มีอะไรที่อยากได้หรอก
จำได้ว่าช่วงประถม ก็เก็บเงินจากค่าขนมที่พ่อแม่ให้มานี่แหละ
เก็บไปเรื่อยๆ จนนำไปจ่ายเงินค่าเทอมรร.รัฐบาลแถวบ้านได้
ในขณะที่พี่เรา เรียนรร.หญิงล้วนชื่อดังของจังหวัด

ป.4 เราก้ย้ายไปอยู่รร.เดียวกับพี่
เพราะย้ายบ้านไปอยู่ในเมือง(อยู่กับพ่อ แยกกับแม่)
จำได้ว่าตอนนั้นดูแลตัวเองได้ดีเลยแหละ
ขี่มอไซให้พี่ซ้อนไปรร.งี้ 55555

เวลาผ่านไปตอนจะขึ้นม.4
ทางรร.จะแจกซองขาวให้นร.ม.3
ว่าผลการเรียนของเรา เลือกเรียนสายไหนได้บ้าง
ซึ่งเกรดเรา ไม่สามารถเรียนวิทย์-คณิตได้
เรียนได้มากสุดคือศิลป์คำนวน(ศิลป์ภาษานั่นแหละ)
ซึ่งในตอนนั้น เราก้ยังไม่รู้ตัวว่าเราอยากเรียนอะไร อยากเป็นอะไร
รู้แค่ว่า เราชอบเรียนภาษาอังกฤษก็แค่นั้นเอง
แต่พ่อกลับบอกว่า ลองไปสอบรร.(รัฐบาล)อื่นมั้ย
เรียนวิทย์-คณิตทางเลือกเยอะกว่านะ
(คือจริงๆ เรียนรร.เดิมก้ได้ แต่ต้องยัดเงินเยอะมาก)
ซึ่งเราก้ไปสอบ แล้วเราก้ได้เรียนในรร.รัฐบาลชื่อดังของจังหวัด
แต่สำหรับเรา ระบบการเรียนการสอนที่นั่นมันไม่โอเคมากๆ เลย
ช่วงแรกๆ เราร้องไห้ คิดถึงรร.เก่ามาก แต่ก้คิดว่าคงเป็นช่วงปรับตัว

พอถึงเวลาสอบเข้ามหาลัย เราสอบโควต้า
เลือกคณะด้านสายวิทย์ให้สมกับที่เรียนมา
ทั้งๆที่ตอนเรียน3ปี เราไม่เข้าใจเคมีเลย ฟิสิกส์ก้ลอกการทดลองเพื่อน
มีแค่ชีวะที่พอถูไถไปได้นิดหน่อย
ทันตะ, พยาบาลงี้ สอบไม่ได้ไง คะแนนห่างไกลมาก
พอตอนแอดมินชัน เราตัดสินใจใส่คณะที่เราแอบเลือกไว้ในใจนานแล้ว
คือมนุดอิ้ง อยู่อันดับที่สอง ซึ่งเราติดมนุดอิ้ง!
เป็นอะไรที่จำได้ว่าดีใจมากๆ ดีใจที่สุดในชีวิต
แต่โมเม้นนั้นที่บอกพ่อแม่ เขากลับบอกแค่ว่า
“อ้าวหรอ นึกว่าติดเภสัช”

เวลา 4 ปีในมหาลัย มีความสุขมาก
เราอยู่ในที่ๆ แวดล้อมไปด้วยเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆที่น่ารัก
มีประสบการณ์อะไรใหม่ๆ หลายอย่างผ่านเข้ามาในชีวิต
ถึงแม้ว่าช่วงเวลาแย่ๆ ช่วงนึง จะเกิดเรื่องราวที่มันไม่โอเคกับเรามากๆ
แม่ไล่พ่อออกจากบ้าน เพราะจับได้ว่าพ่อยังติดต่อกับใครบางคนอยู่

เข้าสู่ปีที่ 2 พี่สาวเราเพิ่งเรียนจบ และตัดสินใจทำงานที่ตัวเองอยากทำ
นั่นก้คือ “แอร์โฮสเตส”
พี่ไปอยู่ที่ตปท.ได้ประมาณปีกว่าๆ
ก้กลับมาอยู่สายในประเทศแทน
นับตั้งแต่วันนั้น พี่ก้จะคอยถามเราตลอดว่า
อยากเป็นอะไร? จบมาจะทำงานอะไรรู้รึยัง?
ถ้ายังไม่รู้ก้มาเป็นแอร์แบบชั้นสิ
ซึ่งพ่อและแม่เรา ก้สนับสนุนความคิดพี่เหมือนกัน

ปีที่ 3 เรารู้สึกเริ่มอยากลองทำขนม
เลยหาสูตรต่างๆ จากในเวบ และซื้อเตาอบ
(จริงๆ แฟนซื้อแหละ ช่วยๆกันทำ)
พอลองทำแล้วเห็นว่ามันอร่อย ก้เลยเอาไปขายให้เพื่อนๆ ที่คณะ
จำได้ว่าตอนนั้นมีความสุขมากกกกก
เหนื่อยแต่สนุก โมเม้นที่ได้ทำสิ่งที่ชอบมันเป็นแบบนี้นี่เอง

(ทั้งๆที่มีเรื่องแย่ๆคือ จู่ๆ ธนาคารมายึดบ้านที่เราอยู่
เพราะพ่อเราไม่ส่งเงินมาหลายเดือนแล้ว
ทำให้เราต้องย้ายของออกจากบ้านกระทันหัน
ไปอยู่บ้านใหม่ ที่ไกลจากตัวเมืองมากๆ
เป็นบ้านที่พ่อเราสร้างไว้ กะจะอยู่เอง
แต่เรากับแม่ต้องมาอยู่แทน เพราะเกิดเรื่องแบบนี้
ตอนแรกที่เข้าไปอยู่ น้ำ ไฟ ยังเข้าไม่ถึง
ไฟ ต้องไปขอดึงมาจากบ้านใกล้ๆ น้ำก้ใช้น้ำบาดาล
เราอยู่กับแม่แค่สองคนในที่ๆ เปลี่ยวมากๆ)

กลับมาที่ขนม เราขายดีมากๆ คนเริ่มรู้จักขนมเราเยอะขึ้น
เริ่มได้ไปวางขายที่ร้านกาแฟ ทำให้เราเริ่มนึกถึงอนาคตกับแฟน
ที่มีบ้านติดริมน้ำอีกจังหวัดหนึ่ง
เราแพลนกันคร่าวๆ ว่าหลังจากเรียนจบ จะไปเปิดร้านอยู่ที่นั่น
แล้วทุกอย่างก้พัง . . . เมื่อเราเลิกกัน

เราเคยปรึกษาแม่แบบจริงๆ จังๆ ว่า
เราอยากเปิดร้านกาแฟ ทำขนม
แม่เราไม่สนับสนุน บอกว่าคนทำเยอะแยะ
เราไม่มีจุดขาย เดียวทำแล้วก้เจ๊ง
ไปสมัครแอร์แบบพี่สิ ดูแล้วก้โอเคนะ

แล้วเราก้เริ่มไปสอบโทอิค ไปลงสนามสอบแอร์
ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบนั้นแหละ
มีสายไหนเปิด เราไปหมดทุกสาย ทั้งในและนอกปท.
เราไปโดยที่ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเราอยากเป็น
ในใจตอนนั้นคิดแค่ว่า ก้พี่กะแม่อยากให้เป็น
แต่พอมันตกรอบ มันก้เฟลตามประสาแหละ
เราถูกกดดันจากพี่ ว่าต้องตอบคำถามแบบนั้นสิ
ทำตัวแบบนั้นสิ ยิ้มแบบนั้นสิ พูดแบบนั้นสิ บลาๆๆ
ถึงขั้นไปเรียนภาษาจีน เพราะคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์กับการสมัครแอร์

แล้วเราก้เรียนจบ มีเพื่อนสมัยมอปลาย
ชวนเรามาทำงานที่สนามบินที่กรุงเทพ
ซึ่งเราก้เห็นว่ามันเป็นงานบริการ
ที่น่าจะเพิ่มประสบการณ์ในเรซูเม่เราให้ดูดีขึ้น
(ซึ่งตอนแรกก้เป็นห่วง เพราะแม่ต้องอยู่บ้านคนเดียว)
เราทำงานหนักมาก ทำเป็นกะ ต่อกะไม่หยุดไม่หย่อน
ในขณะเดียวกัน ก้ยังสมัครแอร์ไปเรื่อยๆ
แต่ก้ไม่ติดสักที ตกไฟนอลบ้าง ตกตั้งแต่รอบแรกนี่เรื่องปกติ

ตอนนั้นก้รู้สึกอยากพอละนะ เริ่มท้อละ
แม่กับพี่ก้คงเห็นว่าเราพยายามแล้วแหละ
แต่มันก้ไม่ได้ไง ยังไงก้ไม่ได้อยู่ดี ไม่เข้าใจเหมือนกัน

ตอนที่ตัดสินใจจะลาออกจากงานแรกหลังจากที่ทำมาปีกว่าๆ
เพราะมันไม่ไหวแล้ว เงินก้น้อย บริษัทก้ดูแลไม่ดี
ทั้งๆที่ทำงานหนักมากๆ
ตอนนั้นก้ลังเล ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี
เหมือนก้ยังหาตัวเองไม่เจออยู่ดี
ก็ไปได้งานที่ใหม่ แต่ในสนามบินเหมือนกัน
ที่งานโอเคกว่า สังคมดีกว่า เงินดีกว่า งานก้ไม่หนักเท่าไร
มันดีถึงขนาดที่ทำให้เราคิดว่า
ไม่สมัครแอร์มันละ สงสัยดวงคนมันจะไม่ได้เป็นจริงๆ เหนื่อย !!
“เราจะทำงานนี้ตลอดไปแหละ”
เงินเดือนมันก้ไม่น่าเกลียดสำหรับเรา 30-35k
ค่าครองชีพแถวที่เราอยู่มันไม่สูง
เรามีเงินเก็บ มีเงินให้แม่บ้าง ไปเที่ยวบ้าง
แค่นี้ก้มีความสุขแล้ว

ความสุขมันก้อยู่กับเราได้ไม่นานหรอกเนอะ
จู่ๆ ก้ได้รับสายโทรศัพท์จากแม่ว่ามีตำรวจมาจับแม่ที่บ้าน
สรุปคือ พ่อเรา ไปเปิดบริษัท แล้วไปหลอก ไปโกงเงินคนอื่นเค้ามา
เอาชื่อแม่ ชื่อผญคนนั้น ไปเป็นกรรมการบริษัท
ปลอมลายเซ็นเป็นเรื่องเป็นราว
จนตำรวจเค้าสืบเจอว่าพ่อย้ายที่อยู่เข้ามาในทะเบียนบ้านเรา
เลยทำให้เค้าหาเราเจอ แต่ดันเจอแม่แทน

ชีวิตมันพังไปหมด จากที่เคยติดต่อพ่อตลอด
เคยคิดว่าชีวิตพ่อน่าสงสาร ตั้งแต่วันที่โดนแม่ไล่ออกจากบ้าน
พ่อต้องทำงานหนัก ทำทุกอย่างที่ได้เงิน
เพราะพ่อเป็นคนดูแล ส่งเงินให้เราตลอดตอนที่เราเรียนอยู่
เราโกรธพ่อมาก เสียใจมากที่เคยเชื่อใจ
มันเป็นอะไรที่รุนแรงและแย่มากสำหรับเรา
เราต้องกลับบ้านเพื่อพาแม่ไปขึ้นศาล
ต้องเตรียมเงินเพื่อไปจ้างทนายความ
ในแต่ละครั้งที่ไปฟังคำพิพากษา ก้จะต้องจ่ายให้ทนายตลอด
ซึ่งตอนนั้น ไม่รู่ว่าคดีจะจบเมื่อไร
แล้วจะจบลงด้วยดีรึป่าว ?

แล้วจู่ๆวันนึง โชคชะตาเล่นตลกอะไรก้ไม่รู้
อีเมลจากสายการบินนึง ส่งมาให้เราไปสัมภาษณ์
ทั้งๆที่ใบสมัครที่เราเคยยื่นไป มันผ่านมาตั้งปีนึงแล้ว
เราก้ไปแบบ ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย
ไปตายเอาดาบหน้าอย่างนั้นแหละ
แล้วจู่ๆ ก้ได้สัมภาษณ์เดี่ยว เขียนเอสเส ว่ายน้ำ ตรวจสุขภาพ
เอ้าาาา ! นี่ได้เป็นแอร์เต็มตัวแล้วหรอเนี่ย
ตอนเทรนก้เทรนแบบงงๆ ว่านี่ฝันไปรึป่าว ?
เอ้ะ นี่คิดถูกแล้วใช่มั้ยที่ออกจากที่ทำงานเก่า ?

ก้นั่นแหละ ชีวิตก้ดำเนินมาถึงจนตอนนี้ ปัจจุบัน
เราทำงานที่นี่มาได้ 6 เดือนนิดๆ แล้ว
เงินเดือนมันเยอะเป็น 2 เท่าจากที่เก่าเลย
เราคิดว่าเรายังมีแรง เรายังทำไหว
เราเลยรับบินๆ บินหนักมาก จากตารางปกติหยุด 2 วัน/ครั้ง
เราก้หยุดแค่วันเดียว ใช้ซักผ้า ทำความสะอาดห้องก้พอ
จนตอนนี้ ร่างกายเราเริ่มแสดงอาการจากการใช้งานหนักแล้ว

สุขภาพจิตเรา ก้ไม่ได้ดีเหมือนสุขภาพกายนั่นแหละ
พอวันหยุดเรา เราจะเริ่มคิดถึงอนาคต
หลังๆ มานี้ เราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“เราเกิดมาทำไม, เรามีชีวิตเพื่ออะไร?”
ตอนนี้เรากำลังตัดสินใจซื้อบ้านกับพี่
ซึ่งพี่เราเห็นว่า มาอยู่กรุงเทพตั้งนาน
ควรจะมีทรัพย์สินเป็นของตัวเองบ้าง
นอกจากบ้านที่แม่อยู่ เราก้ต้องผ่อน
เพราะพ่อเอาไปเข้าแบงค์ แล้วใช้ชื่อพี่
รายรับเยอะขึ้น รายจ่ายก้เยอะขึ้นเป็นธรรมดานี่เนอะ
ทั้งๆที่จริงๆ แล้ว เราไม่ได้ต้องการอะไรแบบนี้เลย

เราคิดแค่ว่า ทุกวันนี้ เรามีชีวิตอยู่เพื่อหาเงิน
เราไม่ได้รู้สึกว่าเราอยากทำอะไรในอนาคต
ไม่ได้มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตต่อไป
เราตั้งคำถามให้ตัวเองมาสักพักนึงแล้ว
และเราก้ยังไม่เจอคำตอบที่มันน่าพอใจที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่
เหมือนที่ผ่านมา ชีวิตเรามันก้ไม่ได้ทำตามที่เราอยากทำแล้ว
มันก้ไม่ได้สำคัญอะไรอีกต่อไป
โอเค ใครอยากให้เราทำอะไร ถ้าเราทำได้ เราทำให้หมด

เรามีชีวิตอยู่ตัวคนเดียว
ทั้งๆที่เรามีแฟนที่คบกันประมาณปีนิดๆ
แต่เค้าอยู่ไกล อยู่จังหวัดเดียวกับแม่
มันก้ดีที่มีเค้าคอยดูแลแม่ในเวลาที่เราไม่อยู่
แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่า เราไม่อยากสานสัมพันธ์ต่อไป
เพราะเราไม่ได้มีความรู้สึกอยากแต่งงาน เราไม่อยากมีลูก
ในเวลาที่เราเฟล เราแย่ เราแค่อยากมีใครสักคนที่เข้าใจเรา
อยู่ข้างๆ เราในวันที่อ่อนแอ
แต่เค้าไม่สามารถเป็นคนๆ นั้นให้เราได้
เราเลยรู้สึกว่า ทุกวันนี้มันก้เหมือนเราอยู่คนเดียว
เรามองภาพในอนาคตของเรากับเค้าไม่ออกเลย

ชีวิตเรามันดูไม่มีความหมายเลย
ทั้งๆที่ตอนนี้เรากำลังจะมีทุกอย่างที่มันลงตัวดี
งานดี เงินดี ชีวิตดี ความรักดี อะไรที่ผ่านมาในอดีต ก้เคลียร์หมดแล้ว
แต่เรากลับไม่ได้แฮปปี้ ไม่ได้ดีแบบที่คนภายนอกเห็นเลย

เราคิดเรื่องการจากไปของเรามาสักพักแล้ว
แต่เราก้ยังเป็นห่วง เพราะเรายังมีภาระ เรารู้สึกว่าเรายังไปไม่ได้
แต่ถ้าวันไหนที่เราไม่มีภาระ ไม่มีอะไรที่กังวลแล้ว
เราอยากไปให้เร็วที่สุด

เราก้ไม่รู้ว่าเพราะเราทำอาชีพนี้รึป่าว
มันเลยทำให้เราสุขภาพจิตย่ำแย่แบบนี้
แต่พอลองมองย้อนกลับไปตั้งแต่เราเกิด
เราก้รู้สึกว่า มันไม่มีสักครั้ง ที่เราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ
เราเลยรู้สึกเหนื่อยมั้ง อยากพอ อยากหยุดแล้ว
นี่มันอาจจะเป็นสิ่งที่เราต้องการทำมากที่สุดในชีวิตก้ได้

ความรู้สึกแบบนี้มันหนักเรื่อยๆ ในวันที่เราหยุดอยู่เฉยๆ
เราหยุดคิดเรื่องพวกนี้ไม่ได้เลย
แต่พอวันที่ทำงาน เราก้เฉยๆ ปกติ
พอเราเล่าให้แฟน แฟนก้ไม่เข้าใจเรา
ถึงแม้เค้าจะพยายามเข้าใจ และรับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของเราได้ก้ตาม
แต่เราไม่อยากให้เค้าต้องมาอยู่กับเรา
อยู่กับคนที่ไม่มีอนาคต (ไม่ได้หมายถึงไม่มีหน้าที่การงานนะ)
เพราะเราก้ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะตัดสินใจจากไปเมื่อไหร่

พอเราเล่าให้พี่ฟัง พี่ก้จะมองว่าเราไร้สาระ
ให้หาอะไรทำ อย่าฟุ้งซ่าน
ทำตัวเป็นเด็ก ไม่โตสักที คิดอะไรง่ายๆ
ซึ่งคำพูดของพี่ มันทำให้เราตัดสินใจง่ายขึ้น
ทำให้เรารับรู้ว่าการมีชีวิตอยู่ของเรา
มันมีค่าแค่การหาเงินมาผ่อนบ้าน มาช่วยพี่ก้เท่านั้น

มันไม่ผิดใช่มั้ย ถ้าเราคิดจะจากไป?
เราจะดูเป็นคนเห็นแก่ตัวมั้ยที่หนีปัญหาไป?
เราตัดสินใจอะไรง่ายเกินไปรึป่าว?
เราจะทำให้คนที่อยู่ข้างหลังเดือดร้อนรึป่าว?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่