เรื่องเล่าจากโรคติดอ่าง

สวัสดีครับก่อนอื่นขอแนะนำตัวเอง ก่อนนะครับผมชื่อ ต้น ตอนนี้เรียนอยู่ ป.ตรี เป็นคนพูดติดอ่างหนักมากกกกก(ก.ล้านตัว)
.
คือว่า ผมโดนล้อ เรื่องพูดติดอ่างมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้วอะครับ จนถึงตอนนี้ก็ยังโดนล้อ โดนจ้องจับผิดอยู่เป็นประจำอะครับ อาจเป็นเพราะ จขกท เป็นคนพูดมากด้วยแหละครับ
.
มีเรื่องเล่าที่ทุกข์ที่สุด อยู่ 2 เรื่อง
-เรื่องแรก วันนำเสนองานที่นรกที่สุด
ตอนนั้นผมเรียนอยู่ ม.1 แล้วคุณครูก็ให้นำเสนองานหน้าชั้นเรียน ละผมก็พูดติดอ่างไปด้วยนำเสนอไปด้วย แล้วเพื่อนก็หัวเราะเยาะกัน ละที่พึ่งสุดท้ายของผมในตอนนั้นคือ คุณครู ผมเลยหันไปหา คุณครู หวังว่าคุณครูจะเป็นที่พึ่งสุดท้าย แต่เค้าก็แอบหัวเราะอะครับ ความรู้สึกตอนนั้นก็คือ เหมือนโดนถีบตกเหวจากคนที่เราหวังพึ่งเลยอะครับ พอนำเสนอเสร็จผมก็วิ่งออกจากห้องไปร้องไห้อยู่คนเดียว หลังจากวันนั้นก็กลายเป็นคนเงียบ ไม่คุยกับใครเลย จนถึงน่าจะประมาณตอน ม.3 (อันนี้ไม่แน่ใจนะครับเพราะ เพื่อนสนิทมาระลึกความหลังให้ฟัง)
.
ปล. ผมมีเพื่อนสนิทคนนึงที่เค้าคอยปลอบ และคอยให้คำปรึกษาผมตลอดเวลา และเวลามีคนล้อผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตอนนั้นยังไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่
.
-เรื่องที่ 2 โดนมนุษย์ป้าที่เคยคิดว่าใจดีที่สุดแถวบ้านเอาเราไปนินทา
น่าจะตอน ม.2 ได้ วันนั้นผมออกไปซื้อขนมร้านขายของชำแถวบ้าน แล้วร้านขายของชำ ก็มีโต๊ะที่เอาไว้ให้คุยในระแหวกนั้นมานั่งคุยกันเล่นๆ แล้ววันนั้นผมก็กำลังเลือกขนมอยู่
.
มนุษย์ป้าคนนั้นก็นินทาผมว่า :
“ลูก....(ชื่อแม่ผม).....มันพูดติดอ่าง ดูท่าว่าจะเป็น เด็กปยอ ดูแววแล้วไม่น่าจะเรียนจบม.3 น่าจะต้องเอาไปส่งโรงเรียนเด็กเอ๋อ สงสารบ้านนั้นเนาะมีลูกเป็นเอ๋อ”
ผมที่ได้ยินก็พูดกับตัวเองว่า :
“ติดอ่างแล้วหนักหัวใครป่าว”  แล้วผมก็เดินออกร้านไปเลย
.
วันนั้นผมก็เลยเอาไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ผมก็ให้กำลังใจผมบอกว่าไม่ต้องไปสนใจพวกเค้า
แต่มันเจ็บตรงที่ว่าเป็นป้าที่ใจดีกับเรามาตลอดเอาเราไปนินทาอะครับ
.
นั้นแหละครับ
.
ถามว่าจนถึงตอนนี้เราชินกับมันมั้ย
ผมก็ต้องตอบว่า “มันก็ต้องชินแหละครับ”
.
แต่ถ้าถามว่าทนไหวมั้ย
ผมก็คงตอบว่า “ทนไหว”
.
พอจะมีวิธีรักษามั้ยครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่