UpperMustang อาณาจักรชาวธิเบต ท่ามกลางปราการธรรมชาติ กับเทศกาล Tiji Festival


บันทึกการเดินทางทั้ง 14 วัน สู่อาณาจักรมุสตาง(Muatang) ประเทศเนปาล


สวัสดีครับขอกำลังใจสำหรับกะทู้แรกด้วยน่ะครับ ทริปล่าสุดกับการไปเยือนเนปาล และเป็นครั้งที่ 2 ของผมกับประเทศนี้ นอกจาก ABC,EBC ที่เราๆคุ้นเคยกันดีแล้วยังมีสถานที่ Trek  อีกที่นึงมาแนะนำ นั้นคือ Mustang

เรามาทำความรู้จักกันอาณาจักร Mustang กันสักนิด ในอดีตเคยปกครองตนเองมีกษัตริย์ปกครองก่อนที่จะควบรวมกับเนปาล ด้วยความห่างไกลทำให้ Mustang ยากต่อการเข้าถึงท่ามกลางปราการธรรมชาติที่รายล้อมจนได้สมญานาม “เมืองแห่งกำแพง” มุสแตง (Mustang) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดที่ 4 ในเขต Dhawalagiri ทางตอนเหนือของประเทศเนปาลเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบห้าเขตของเนปาล มีพื้นที่ 3,573 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 13,452คน (ปี2011)


เป็นที่ทราบกันดีว่าชาวธิเบตไม่มีรัฐประเทศ จึงทำให้วัฒนธรรมได้ติดตัวไปกับชาวธิเบตกระจัดกระจายไปในทุกแห่งที่เขาอยู่ แม้ว่าจะถูกจำกัดพื้นที่และให้เป็นเพียงชนกลุ่มน้อยของรัฐนั้นๆก็ตาม ที่นี่ก็เช่นกันหนึ่งในวัฒนธรรมที่พาให้เดินทางไกลมาถึงนี้คือ Tiji หรือ Teeji Festival เทศกาลเฉลิมฉลองต้อนรับฤดูกาลเพาะปลูก ถูกจัดเป็นเวลา 3 วัน ในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี


เตรียมตัวก่อนเดินทาง

จากการพูดคุยเบื้องต้นกับเอเจนซี่แจ้งมาว่าเส้นทางนี้เดินสบายกว่าเมื่อเทียบกับ ABC,EBC แต่จะเดินไกลกว่า จุดพักน้อยกว่า เส้นทางไม่ใช่ Route ที่ทำไว้สำหรับนักท่องเที่ยวแต่เป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้งานอยู่แล้ว มีทั้งลัดเลาะตามไหล่เขา เดินบนถนน ตามลำน้ำ และสามารถเกิดเส้นทางใหม่ได้ตลอดเวลาเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างเช่น ดินถล่ม ทางปิด ซ่อมทาง เป็นต้น

โปรแกรม

Day 01: Arrival in Kathmandu
Day 02: Drive from Kathmandu to Pokhara
Day 03: Fly from Pokhara to Jomsomand trek to Kagbeni
Day 04: Trek to Chele
Day 05: Trek to Geling
Day 06: Trek to Charang
Day 07: Trek to Lo-Manthang witness the Tiji festival starting in the afternoon
Day 08: Exploration of cave and monastery in morning and afternoon witness the stunning mask dances performed by monks in Tiji festival
Day 09: Explore the Summer palace and monastery in morning and enjoy the last and final celebration of Tiji festival in Lo Manthang in the afternoon.
Day 10: Lo-Mangthang to Drakmar
Day 11: Trek to Ghiling
Day 12: Trek to Chhuksang
Day 13: Trek to Jomsom
Day 14: Fly from Jomsom and drive to Pokhara
Day 15: Final Departure.

DAY1-3 BANGKOK-KATHMANDU-POKHARA-KAGBENI

ขอรวบรัดไปที่ “กาฐมาณฑุ” เลยแล้วกัน ลงเครื่องเสร็จก็ต่อรถเข้าที่พักทันที เพื่อจะมีเวลาไปเดินช้อปปิ้งต่อที่ย่าน “ทาเมล” แหล่งช้อปสำหรับนัก Trekking ครั้งนี้ยังคงพักโรงแรมเดิมเหมือนครั้งก่อน http://www.kathmandugardenhome.com/ ด้วยทำเลที่ใกล้ “ทาเมล” เดินไปไม่ถึง 10 นาที เข้าเก็บสัมภาระเรียบร้อยก็ออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ช้อปปิ้ง กินข้าว แลกเงิน ก่อนจะเข้าพัก พรุ่งนี้ต้องเดินทางต่ออีก 1 วัน

เดินเล่นแถวๆที่พัก

แลกเงิน

บรีฟกับเอเจนซี่ก่อนเริ่มเดินทางจริงพรุ่งนี้ อ๋อลืมบอกไปทริปนี้เราไปกันทั้งหมด 3คน


วันที่ 2 Kathmandu-Pokhara ไกด์มารับที่โรงแรมแต่เช้าพาไปรอรถเมล์ไป “โพขรา” ต่างจากครั้งก่อนที่รถตู้มารับถึงหน้าโรงแรมเพราะครั้งนี้เรามากันแค่ 3 คน ทีแรกคิดว่าจะเหนื่อยและต้องเพลียกับการนั่งรถเมล์แน่ๆ แต่กลับกันนั่งสบาย รถปรับอากาศเย็น ครั้งที่แล้วที่นั่งรถตู้ตอนนั้นรู้สึกอึดอัด เมารถ และที่สำคัญใช้เวลาไม่ต่างกัน เพราะไม่ว่าจะรถเล็ก รถใหญ่ แต่ถนนก็วิ่งได้แค่เลนเดียว ใครที่มากรุ๊ปเล็กๆผมขอแนะนำให้นั่งรถเมล์ สบายกว่าจริงๆ

ยืนรอรถเมล์

โดยรวมตัวรถถือว่าโอเค ช่วงแรกๆก่อนออกจากเมืองจะปิดแอร์และหน้าต่าง เข้าใจว่าฝุ่นเยอะก็ทนๆเอาหน่อย แต่พอเริ่มออกนอกเมือง เขาก็เปิดแอร์ให้ แวะพักตามจุดพักประมาณ 3-4 ครั้ง ครั้งล่ะ 10-15 นาที และพักทานข้าวกลางวันอีกครึ่งชั่วโมง


ใช้เวลาเดินทางราวๆ 7ชั่วโมงกับระยะทาง 200 กิโลเมตรก็มาถึง “โพขรา” ลงรถที่สถานนีขนส่งแล้วต่อแท็กซี่เข้าโรงแรมทันที เก็บของเสร็จก็ออกไปเดินเล่น Phewa Lake กินข้าวเย็นและเดินเล่นต่ออีกนิดหน่อย

ห้องพักดีทีเดียว มีแอร์ มีน้ำอุ่น มีไวไฟ




วันที่ 3 Pokhara-Jomsom-Kagbeni Check Out ตี4ครึ่ง วันนี้ต้องบินแต่เช้าไป Jomsom และ Trek ต่ออีก 3 ชั่วโมง ถึงสนามบินไกด์จัดการเรื่องตั๋ว โหลดกระเป๋า แต่ยังไม่รับประกันว่าจะบินไฟต์กี่โมง ต้องรอเช็คสภาพอากาศแบบ Real Time เครื่องบินเป็นเครื่องใบพัดขนาด 16ที่นั่ง ช่วงเวลาแค่ 20นาทีที่อยู่บนเครื่อง ตื่นเต้นและเสียวบอกไม่ถูก เครื่องหวิวๆ สั่นๆ เนื่องจากสภาพอากาศทำให้ผมรู้ว่า ถ้าสายการบินบอกว่า “เลื่อนหรือยกเลิก” เนื่องจากสภาพอากาศไม่อำนวยโปรดเชื่อและเข้าใจ
เที่ยวบินจะบินเป็นชุดๆละ 3-4 ลำ บินไป-กลับพร้อมๆกันถือเป็น 1 ชุด แต่จะขึ้นบินตอนไหนไม่ทราบ รู้เพียงว่าเราบินชุดที่เท่าไหร่

เครื่องบินแบบใบพัดขนาด16ที่นั่ง แยกซ้าย-ขวาอย่างละ 1แถว กัปตันและผู้ช่วย 2คน แอร์ 1 คน


ต้องยอมรับว่าประเทศนี้ กัปตันเขาเก่งจริงๆ เครื่องบินเล็กลักษณะนี้ถ้าใครเคยนั่งเวลาเจอสภาพอากาศเลวร้ายจะน่ากลัวมาก


ถึงสนามบินเมือง “Jomsom” ประมาณ 9โมงกว่าๆ แวะพักทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมเมื่อคืนเตรียมไว้ให้ ไกด์ก็เตรียมเอกสาร กินเสร็จเช็คของ อีกด้านนึงลูกหาบที่เราจะได้เจอวันแรกก็เตรียมของเช่นกัน เมื่อทุกอย่างพร้อมก็เริ่มออกเดิน วันนี้เราจะพักที่เมือง “Kagbeni” ใช้เวลา 3ชั่วโมง เดินง่าย อากาศเย็นแต่แดดร้อน ลมแรง ฝุ่นเยอะ เมืองค่อนข้างใหญ่และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีสนามบิน โรงแรม ร้านอาหาร โรงเรียน ค่ายทหาร ท่ารถ ถือเป็นเมืองด่านสุดท้ายที่นักท่องเที่ยวจะหาซื้อของเพิ่มเติมและเป็นเมืองศูนย์กลางของชาวบ้านอีกด้วย




ออกจากสนามบินช่วงแรกๆก็จะผ่านตัวเมืองเดินไปสักชั่วโมงทางก็จะเป็นหิน เดินไหล่เขาบ้าง ลงไปเดินที่ลำน้ำข้างล่างบ้างสลับกันไป

สิ่งที่ทำให้เส้นทางนี้ไม่ค่อยนิยมมากนักเพราะต้องเสียค่าใบอนุญาติเข้าพื้นที่คนละ 500 เหรียญสหรัฐถือว่าแพงมาก สาเหตุเพราะอดีตอาณาจักร Mustang นี้ปกครองตัวเอง รายได้หลักก็มาจากนักท่องเที่ยวนี่แหละจึงต้องเก็บค่าเข้าพื้นที่ อีกอย่างนักท่องเที่ยวต้องเดินทางด้วยไกด์เท่านั้นและต้องยื่นเอกสารแสดงตัวตามจุดต่างๆที่เขากำหนด ทั้งไปและกลับ


เมือง Kagbeni อยู่ข้างหน้าอีกไม่ไกล มีลายแทงบอก

ใช้เวลาตามกำหนด 3ชั่วโมงไม่มีเรทก็มาถึงเมือง Kagbeni เพราะยังเป็นวันแรก แรงยังดี เดินไม่มีตก อีกอย่างทางสบายมีขึ้นเขา-ลงเขา นิดๆหน่อยๆ เข้าห้องพักยังมีเวลาเดินเล่นชมเมืองแวะทานกาแฟอีก ตกเย็นก็กินข้าวที่โรงแรม ถึงตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลง ฟ้าเริ่มมึดเมฆก็ยิ่งหนา ตกกลางคืนอากาศหนาวมาก ลมแรง มีฝนปรอยๆ
ห้องพักเรียบง่าย มีห้องน้ำ มีไฟ แต่เปิด-ปิด เป็นเวลา


ที่เมือง Kagbeni เริ่มมีกลิ่นวัฒนธรรมธิเบตให้เห็นบ้างแล้ว

3 วันแรก ตั้งแต่กรุงเทพ-กาฐมาณฑุ-โพขรา-จอมสม-ก๊ากเบนี่ มีทั้งนั่งเครื่องบิน นั่งรถ และเดิน ครบทุกรสชาติ จะว่าเหนื่อยก็เหนื่อย จะว่าสบายก็สบาย สภาพอากาศก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ นี่ขนาดเมืองแรกยังหนาวจนสั่น พรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพราะจะเดินอย่างเดียวแล้ว


DAY4-7 KAGBENI-CHELE-SHANGMOCHE-TSARANG-LO MANTHANG
วันที่4 Kagbeni-Chele ถือว่าเป็นวันแรกของการ Trekking อย่างจริงๆจังๆ จุดหมายคือเมือง “Chele” เมืองที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนหน้าผาท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวจัดและลมแรงบนความสูง 3,050 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ด้วยระยะทาง 15.3 กิโลเมตรหลังจากทานอาหารเช้าก็ต้องรีบออกเดินทันที เวลาที่คาดไว้น่าจะอยู่ที่ 6-7 ชั่วโมง เส้นทางเดินเรียบฝั่งของแม่น้ำ “Kali Gandaki” ท่ามกลางวิวทิวทัศน์ ภูเขาหินตัดสลับกับภูเขาหิมะ บางครั้งจะลงไปเดินในแม่น้ำเพื่อย่นระยะทาง อุปสรรคหลักๆเลยก็คือฝุ่น ทั้งมาจากรถวิ่งและลมหวน
อย่างที่เอเจนซี่บอก ว่าเส้นทางเดินง่ายแต่เหนื่อย ตั้งแต่เดินมายังไม่เห็นหมู่บ้านสองข้างทางจะมีก็เป็นเมืองหรือหมู่บ้านปลายทางเลย เสบียงและน้ำต้องเตรียมให้พร้อมโดยเฉพาะน้ำให้เตรียมไปสัก 2 ลิตร เพราะไม่สามารถหาซื้อเพิ่มได้ สภาพอากาศก็ร้อนและลมแรง ลมพัดมาทีก็หนาวที


ก่อนออกจากเมือง Kagbeni เจ้าหน้าที่มาตรวจใบอนุญาติ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่