....ว่าด้วยศิลปะ จากเรื่องยากๆให้เป็นเรื่องง่ายๆ
....เรามาทำความเข้าใจเรื่องที่โคตรซับซ้อนที่สุด และ เข้าถึงยากที่สุดในวงการศิลปะ จนไม่มี " ตะกละ " ไหนๆมารองรับได้อย่างชัดเจน และหาเหตุผลมาซับพอร์ต100%ไม่ได้....เรามาทำเรื่องเหล่านี้ให้เป็นเรื่องง่ายๆกันเต๊อะะะะ.....
➡ ทำไมงานศิลปะในอดีตถึงมีมูลค่ามหาศาล ?? (บางชิ้น)
➡ แล้วงานศิลปะในปัจจุบันล่ะ ?? ถ้าผ่านไปอีก
200 ถึง 300 ปี จะมีมูลค่า มากกว่า หรือ เท่ากับชิ้นงานศิลปะในอดีตไหม ??
......เราไม่ได้จะนำเสนอในเรื่องวัตถุนิยม ไม่ได้สอนในเชิงธุรกิจ ไม่ใช่....
เราแค่มาบอกเล่า วิธีการ ? ว่าทำไม ? เพราะอะไร ? การคิด ? การมองการไกล ? ไม่ใช่การวางแผนระยะยาวนะครับแต่มันอาจจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนหรืออาจเรียบง่ายกว่านั้นมากๆ
( ผู้อ่านคงเกิดคำถามใช่ไหมว่าทำไมมันถึงง่ายดายแบบนี้ )......😏😏😏
...อย่างแรกเรามาทำความเข้าใจ จิต " ไร้ " สำนึก ในศิลปะ สไตล์ " เซอเรียวลีส " กันนะครับ
....จิต ( ความคิด ) มีอยู่ 2 แบบ
1.ความคิดที่เราๆควบคลุมเองได้ เรียกว่า ( จิต " ใต้ " สำนึก )
2. ความคิดที่เราๆควบคลุมไม่ได้ หรือ ตั้งใจไม่ควบคลุม เรียกว่า ( จิต " ไร้ " สำนึก )
ความคิดทั้ง 2 แบบ
.......มันติดตัวเราทุกคนมาตั้งแต่เกิด ทำให้เราทุกคนกลายเป็นคนที่แยกแยะสิ่งถูกสิ่งผิดได้ เรื่องนี้ทุกคนคงรู้ดี แต่!! มีอีกอย่าง ที่คนทั่วๆไปไม่เคยรู้ หรือ อาจรู้แต่ไม่ให้ความสำคัญ ไม่ได้สนใจ สิ่งนั้นคือ / ความคิดเลอะเทอะ / ความคิดฟุ้งซ่าน / ความคิดลอยๆไม่มีแบบแผน / ฯลฯ
ความคิดเหล่านี้มันไม่ก่อประโยชน์ให้เราๆ ท่านๆ (เมื่อมองแบบผิวเผินอะนะ) ทำให้เราๆท่านๆมองข้ามและไม่ให้ความสำคัญกับความคิดแบบนี้ ซึ่งมันไม่แปลกที่คนนอกวงการศิลปะที่ไม่เคยเรียนรู้ศิลปะหรือคนทั่วๆไปหรือคนที่เรียนศิลปะแบบผิวเผินถึงได้ชอบเข้าใจผิด เลยทำให้ไม่เข้าใจศิลปะและมองว่าศิลปะเป็นเรื่องเข้าใจยาก ( รายละเอียดจะต่อเเนื่องในย่อหน้าต่อๆไป )ทั้งที่จริงศิลปะมันอยู่ในตัวเราทุกคนเพียงแค่ยังไม่ได้ดึงมันออกมาเท่านั้น.....
.....ความคิดเรื่อนลอย หรือ จิต " ไร้ " สำนึก จะมีมากสุดในเด็กเล็กทุกคน (หรือเกือบทุกเพศทุกวัย) มีผลทำให้เด็กเล็กๆ เวลาวาดรูป จะวาดไปเรื่อย ไม่มีแบบแผน แยกแยะไม่เป็น เอาแต่วาดๆๆๆอย่างเดียว ที่เราๆเรียกว่า ( วาดมั่วๆ วาดไปเลื่อยเปื่อย )
ล่ะพอโตขึ้นความคิดแบบนี้จะค่อยๆจางลง ( ทำให้กลายเป็นวัยรุ่นที่เริ่มรู้จักแยกแยะทุกผิด ทำให้วาดรูปเป็นขั้นตอนมากขึ้นกว่าตอนเด็กๆ ) แต่ความคิดแบบวัยเด็กเล็กยังอยู่นะครับ ไม่ได้หายไปไหน เราๆท่านๆเพียงแค่เลือกที่จะ / ไม่ฟังความคิดในหัว / ไม่ทำตามความคิดเลอเทอะในหัวเท่านั้นเอง และพอเรามองข้ามมันมากๆ ความคิดเลอะเทอะในหัวเลยกลายเป็นความคิดอันดับสุดท้ายที่เราจะฟัง (ฟังความคิดตนเอง) #คนอ่านตามทันนะ คงไม่ งง นะ 5555 ทำให้ความคิดเลอะเทอะไม่จำเป็นในชีวิตประจำวันของเราๆท่านๆอีกต่อไป ( เป็นไปตามวัยตามอุปนิสัย ตามสะภาพสังคมของแต่ล่ะคน ) บลาๆๆ
........ในทางตรงกันข้าม / ความคิดเลอะเทอะ / ไร้แก่นสาร ไร้ทิศทาง / ไม่มีกฏเกณฑ์ ( จินตนาการ )ความคิดเหล่านี้มีความสำคัญในงานศิลปะอย่างมากเรียกได้ว่ามันคือ " แกนหลัก " ของการสร้างสรรงานศิลปะในเชิงลึกนะครับ...😎😎😎
......อีก " นัยยะ " นึง ทำไมคนที่เรียนศิลปะ ( คนที่เข้าถึงแก่น ) คนพวกนี้ถึงเป็นตัวของตัวเองมากกว่าคนปกติ ( เฉพาะบางคน เป็นไปตามธรรมชาติ ) บางคนไม่แคร์สื่อ / อีโก้แรง / สุดโต่ง / นิ่ง /
แต่งตัวตามใจไม่อิงกระแส / ฯลฯ ที่พวกเขาเป็นแบบนั้น เพราะว่าการเข้าถึง
" ความคิดเลอะเทอะ " หรือ การเข้าถึง จิต " ไร้ " สำนึก ยิ่งลงลึกในสิ่งเหล่านี้ยิ่งมาก ยิ่งสร้างสรรผลงานได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
แต่ก็นั้นล่ะ ไอ้การลงลึง หริอการเข้าถึง " จิต " มากๆ มันมีผลให้ ความเป็นวัยเด็กเล็ก (บางส่วน ) กลับมา / นิสัยแบบเด็กๆ / การแสดงออกแบบใสซื่อ ฯลฯ มองให้ง่ายๆก็คือความคิดเลอะเทอะในวัยเด็ก ( บางส่วน ) มันกลับมาในชีวิตประจำวันนั้นเอง ทำให้ศิลปินบางคนทำอะไรหลายอย่าง
แบบไม่แคร์สื่อ ( จนดูคล้ายเด็กเล็กที่กล่าวไปตอนแรก ) เพียงแต่คราวนี้ มันมีเรื่องของ / วัยวุฒิ / วุฒิภาวะ / การเข้าสังคม / กาละเทศะ / ทำให้เป็นตัวเองมากๆเหมือนอย่างในวัยเด็กเล็กไม่ได้ ......
....สรุปง่ายๆ นิสัย / การแสดงออก / ในเด็กเล็ก เกือบทั้งหมด คือ จิต " ไร้ " สำนึก
....ส่วนคนที่ใช้ จิต " ไร้ " สำนึก
ลงในผลงาน ได้อย่างสุดจริงๆ
และมีความสุดโต่ง ทั้งในภาพลักษณ์ บุคลิคภายนอก และผลงาน คงหนีไม่พ้น " ซาวาดอ ดาลี่ " แทบทุกคนในวงการศิลปะต้องรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี นั้นล่ะคับท่านผู้อ่าน 55555 😝😝😝
....ส่วนเรื่อง / จิตใจ / ความรู้สึก / จินตนาการ / ประสบการณ์ / การเป็นตัวของตัวเอง / คิดต่าง / คิดนอกกรอบ / ทวนกระแส ตามกระแส / ทัศนาคติที่เป็นเอกเทศเฉพาะตัว / ฯลฯ ทุกอย่างที่กล่าวมานั้นคือส่วนประกอบที่มีผลในการสร้างสรรงานศิลปะ แต่ !! ่ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ไม่มีข้อไหน สำคัญเท่า จิต " ไร้ " สำนึก !! เหตุผลก็อย่างที่กล่าวไปในตอนแรก.......
.... เหตุผลที่ผมเลือกเอา "เซอเรียวลีส" มาเป็นตัวอย่าง เพราะ มีอะไรให้เล่นเยอะ / อิสระ / ปลดปล่อย / ใกล้ตัว /ปลดล็อคสิ่งที่อยู่ในใจลึกๆออกมาเป็นรูปธรรมเป็นผลงานได้สนุกไม่แพ้แขนงอื่นๆ ... " เซอเลียวลีส " เป็นสายที่ป๊อบที่สุดอีกสายนึงถึงแม้จะผ่านไป กี่ปี กี่ปี ก็ยังบูมไม่ดับ ติดลมบนไม่ล่วง 5555 ไม่เหมือนอาทหลายๆแขนง ที่พอกระแสดับก็ตกอับกันเป็นแถวๆ อิอิ .......
ขอให้จำไว้อย่างนะครับ --- ชื่อเสียงโด่งดัง กับ เงินทองมากมาย มันเป็นเพียงแค่ ผลพลอยได้จากการได้วาด สิ่งที่เราๆรัก เท่านั้น....😘😘😘
.....มา!! กลับมาเข้าเรื่องหัวข้อหลัก ( ยกตัวอย่างไปถึงดาวอังคารนู้นนนนน ) 5555
➡ทำไมชื่อเสียงศิลปินในอดีตไม่หายไปกับการเวลา ? และแทมมูลค่าของผลงานยังแพงมหาศาลอีกด้วย ?
.....ผมต้องการบอกที่มาที่ไปของเรื่องเหล่านี้เพื่อสร้างแรงดลใจ เพื่ิอสร้างแรงขับเคลื่อนให้กับคนในและนอกวงการศิลปะได้เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างชิ้นงานให้ดังไปอีก เป็นร้อยๆปี ( ระยะยาว )....
....ถ้าผู้อ่านได้อ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจฟังดูเป็นเรื่อง ตลก เหลือเชื่อ พิสูจไม่ได้ และ ไม่มีบรรทัดฐานที่แน่นอน คุณคงคิดแบบนั้นอยู่ใช่ไหมครับ (เพราะมันยังเป็นเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงจริงไหม)
เพราะสุดท้ายแล้ว เราๆ ท่านๆ ทุกคนเต็มที่อายุก็คงไม่เกิน 100 ปี ( ชีวิตสั้น ศิลปะยืนยาว ) กว่าผลงานของเราจะถึง 200 - 300 ปี (ที่ผมบอกไปขั้นต้น) เราๆท่านๆสิ้นลมก่อนแน่นอน และคงไม่มีอะไรมาพิสูจน์สิ่งที่ผมพูด ว่ามันจะเป็นจริงได้หรือไม่.....??
ประเด็นคือ......อยากให้ผู้อ่านลองคิดแบบนี้ดูนะครับคิดด้วยการ ***ผมจะเปรียบเทียบเชิงวิทยาศาสตร์***
......เราๆท่านๆแทบทุกคนคงรู้กันดีอยู่แล้ว
ถ้าเราเอาอะไรสักอย่างปาลงในน้ำ น้ำก็จะกระจายออก เป็นคลื่น เป็นวงกว้าง
เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี...... ผมเลยอยากเปรียบเทียบแบบนี้นะคับ
(นึกภาพตามนะครับ) *****น้ำที่อยู่ในที่แคบๆ อย่าง / อ่างอาบน้ำ / ขันน้ำ / อ่างล้านมือ / ฯลฯ
เวลาเราโยนอะไรลงไปในน้ำ น้ำจะกระจายออกเป็นวงกว้าง (เหมือนที่กล่าวไปตอนแรก) แต่!! มันพิเศษกว่านั้น คือ น้ำที่กระจายตัวเป็นวงๆ เมื่อกระจายตัวออกมามาก มากจนไปโดนขอบของวัตถุ (พื้นที่จำกัด) น้ำก็จะกระเพื่อมกลับมาที่จุดเดิมที่เราโยนสิ่งของลงไป น้ำมันจะกระเพื่อมอยู่แบบนั้นซ้ำๆ และค่อยๆเบาลงเบาลงจนน้ำกลับมานิ่งเหมือนเดิม......และพอเราเอาสิ่งของโยนลงไปอีกน้ำมันก็จะมีปฏิกิริยาเหมือนเดิม.....แต่มันพิเศษมากขึ้นยิ่งขึ้นถ้าเราโยนสิ่งของลงไปเรื่อยๆ น้ำก็จะ กระจายตัวอยู่เลื่อยๆ มันจะกระเพื่อมกลับมาจุดเดิมไม่มีสิ้นสุดจนกว่าเราจะหยุดปาของลงไป.......
....กลับมาเข้าเรื่อง (ต่อ) เกริ่นนำออกทะเลไปซะไกล 55555
...ผมจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆครับ
➡ อ่างน้ำ (พื้นที่จำกัด) คือ / สังคม / โลก
➡ วัตถุ สิ่งของ คือ / ศิลปะ / สไตล์ของศิลปะแต่ล่ะแขนง
➡ น้ำ กับการกระจายตัวของน้ำ คือ
/ ชื่อเสียง / ค่านิยม / กระแส
บางคนที่อ่านมาถึงจุดนี้คงพอจะเข้าใจกันแล้วนะครับ...😎😎😎
....ผมจะขออธิบาย แจกแจง เพิ่มเติม เผื่อคนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจหรือตามไม่ทัน....คือแบบนี้ครับ... เมื่อเราเป็นศิลปิน เราโยนศิลปะลงในน้ำ จนน้ำกระจาย กลายเป็นคลื่นในอ่างน้ำ
*****เปรียบเทียบกับที่ผมยกตัวอย่างในขั้นต้น***
ถ้าศิลปะชิ้นนั้นเล็กเกินไป (เล็กเกินหมายถึงชื่อเสียงไม่โด่งดัง) เมื่อโยนลงในน้ำ น้ำจะกระจายตัวเป็นวงแคบและกระจายไปไม่ถึงขอบอ่าง (ขอบของพื้นที่) (สำหรับคนที่ตามไม่ทันคงจะเริ่มเก็ทแล้วนะครับ)
ถ้าเราโยนศิลปะชิ้นใหญ่ (่หมายถึงตัวเราชื่อเสียงดังมาก) ลงในน้ำน้ำจะกระจายตัวในอ่าง เดิมๆซ้ำๆ ( นานมากๆ ) และพอเราสิ้นลม (ชื่อเสียงและผลงานยังดังอยู่) พอเวลาผ่านไปเป็นร้อยๆปี ีจนมีคนอื่นหริอคนรุ่นใหม่ มาโยนศิลปะ (สไตล์เรา) ลงน้ำต่อจากเรา จนน้ำเริ่มกลับมากระจายตัวอีกครั้ง มีผลทำให้ศิลปะที่เราเคยโยนไปมันกลับมาดังอีกครั้ง หรืออาจจะดังมากขึ้นกว่าเดิมก็สุดแล้วแต่......😑😑
.....ทังหมดทั้งมวลที่ผมกล่าวมา มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง / สังคมโลก / รสนิยมในศิลปะ ( กระแสหลัก ) / สงครามโลก / ประวัติศาสตร์ ฯลฯ ทุกอย่างล้วนมีผลกระทบในโลกของศิลปะทั้งนั้น.....
........ยังมีกรณีศึกษาอีกครับ
หลายคนอาจไม่รู้ว่า ศิลปิน / จิตรกร
ที่ดังๆ ที่มีชื่อในประวัติศาตร์ส่วนใหญ่แทบทุกคนตอนยังมีชีวิตอยู่พวกเขาไม่รู้ตัวหรอกว่าผลงานตนเองจะปังไปทั่วโลก...และก็คงไม่คิดว่าพอเวลาผ่านมาเป็นร้อยๆปีผลงานของตนเองจะมีมูลค่ามหาศาลขนาดนั้น !! เรื่องแบบนี้พวกเขาไม่รู้หรอก แต่!!....มันมีอยู่สิ่งนึงที่พวกเขาทุกคนรู้ตัวเหมือนๆกัน นั้นคือ ***ความตั้งใจจริงในการสร้างสรรค์ผลงาน / ความรักในศิลปะ / การเอาใจใส่ สิ่งนี้ คือสิ่งศิลปินทุกคนในประวัติศาสตร์มีเหมือนกันทุ๊กกกกคน**** 😍😍😍
สุดท้าย....เราๆท่านๆไม่รู้เหตุการณ์ล้วนหน้าหรอกครับ ในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกศิลปะของเรา เราๆท่านๆ รู้แค่ วันนี้ ทุกๆวันนี้พวกเราทำให้ผลงานตัวเองดังได้มากน้อยแค่ไหน เท่านั้น (ทำดีที่สุด)แล้วผลลัพธ์ ของสิ่งที่ทำในปัจจุบันมันจะส่งผลไปถึงอนาคตหริออาจหลายร้อยปีจนกลายเป็นรูปธรรมด้วยตัวของมันเอง......
จบปิ๊งงงงงง.....😜😜😜
เคล็ดลับสร้างผลงาน ศิลปะ ให้มีชื่อเสียง จากเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ
....เรามาทำความเข้าใจเรื่องที่โคตรซับซ้อนที่สุด และ เข้าถึงยากที่สุดในวงการศิลปะ จนไม่มี " ตะกละ " ไหนๆมารองรับได้อย่างชัดเจน และหาเหตุผลมาซับพอร์ต100%ไม่ได้....เรามาทำเรื่องเหล่านี้ให้เป็นเรื่องง่ายๆกันเต๊อะะะะ.....
➡ ทำไมงานศิลปะในอดีตถึงมีมูลค่ามหาศาล ?? (บางชิ้น)
➡ แล้วงานศิลปะในปัจจุบันล่ะ ?? ถ้าผ่านไปอีก
200 ถึง 300 ปี จะมีมูลค่า มากกว่า หรือ เท่ากับชิ้นงานศิลปะในอดีตไหม ??
......เราไม่ได้จะนำเสนอในเรื่องวัตถุนิยม ไม่ได้สอนในเชิงธุรกิจ ไม่ใช่....
เราแค่มาบอกเล่า วิธีการ ? ว่าทำไม ? เพราะอะไร ? การคิด ? การมองการไกล ? ไม่ใช่การวางแผนระยะยาวนะครับแต่มันอาจจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนหรืออาจเรียบง่ายกว่านั้นมากๆ
( ผู้อ่านคงเกิดคำถามใช่ไหมว่าทำไมมันถึงง่ายดายแบบนี้ )......😏😏😏
...อย่างแรกเรามาทำความเข้าใจ จิต " ไร้ " สำนึก ในศิลปะ สไตล์ " เซอเรียวลีส " กันนะครับ
....จิต ( ความคิด ) มีอยู่ 2 แบบ
1.ความคิดที่เราๆควบคลุมเองได้ เรียกว่า ( จิต " ใต้ " สำนึก )
2. ความคิดที่เราๆควบคลุมไม่ได้ หรือ ตั้งใจไม่ควบคลุม เรียกว่า ( จิต " ไร้ " สำนึก )
ความคิดทั้ง 2 แบบ
.......มันติดตัวเราทุกคนมาตั้งแต่เกิด ทำให้เราทุกคนกลายเป็นคนที่แยกแยะสิ่งถูกสิ่งผิดได้ เรื่องนี้ทุกคนคงรู้ดี แต่!! มีอีกอย่าง ที่คนทั่วๆไปไม่เคยรู้ หรือ อาจรู้แต่ไม่ให้ความสำคัญ ไม่ได้สนใจ สิ่งนั้นคือ / ความคิดเลอะเทอะ / ความคิดฟุ้งซ่าน / ความคิดลอยๆไม่มีแบบแผน / ฯลฯ
ความคิดเหล่านี้มันไม่ก่อประโยชน์ให้เราๆ ท่านๆ (เมื่อมองแบบผิวเผินอะนะ) ทำให้เราๆท่านๆมองข้ามและไม่ให้ความสำคัญกับความคิดแบบนี้ ซึ่งมันไม่แปลกที่คนนอกวงการศิลปะที่ไม่เคยเรียนรู้ศิลปะหรือคนทั่วๆไปหรือคนที่เรียนศิลปะแบบผิวเผินถึงได้ชอบเข้าใจผิด เลยทำให้ไม่เข้าใจศิลปะและมองว่าศิลปะเป็นเรื่องเข้าใจยาก ( รายละเอียดจะต่อเเนื่องในย่อหน้าต่อๆไป )ทั้งที่จริงศิลปะมันอยู่ในตัวเราทุกคนเพียงแค่ยังไม่ได้ดึงมันออกมาเท่านั้น.....
.....ความคิดเรื่อนลอย หรือ จิต " ไร้ " สำนึก จะมีมากสุดในเด็กเล็กทุกคน (หรือเกือบทุกเพศทุกวัย) มีผลทำให้เด็กเล็กๆ เวลาวาดรูป จะวาดไปเรื่อย ไม่มีแบบแผน แยกแยะไม่เป็น เอาแต่วาดๆๆๆอย่างเดียว ที่เราๆเรียกว่า ( วาดมั่วๆ วาดไปเลื่อยเปื่อย )
ล่ะพอโตขึ้นความคิดแบบนี้จะค่อยๆจางลง ( ทำให้กลายเป็นวัยรุ่นที่เริ่มรู้จักแยกแยะทุกผิด ทำให้วาดรูปเป็นขั้นตอนมากขึ้นกว่าตอนเด็กๆ ) แต่ความคิดแบบวัยเด็กเล็กยังอยู่นะครับ ไม่ได้หายไปไหน เราๆท่านๆเพียงแค่เลือกที่จะ / ไม่ฟังความคิดในหัว / ไม่ทำตามความคิดเลอเทอะในหัวเท่านั้นเอง และพอเรามองข้ามมันมากๆ ความคิดเลอะเทอะในหัวเลยกลายเป็นความคิดอันดับสุดท้ายที่เราจะฟัง (ฟังความคิดตนเอง) #คนอ่านตามทันนะ คงไม่ งง นะ 5555 ทำให้ความคิดเลอะเทอะไม่จำเป็นในชีวิตประจำวันของเราๆท่านๆอีกต่อไป ( เป็นไปตามวัยตามอุปนิสัย ตามสะภาพสังคมของแต่ล่ะคน ) บลาๆๆ
........ในทางตรงกันข้าม / ความคิดเลอะเทอะ / ไร้แก่นสาร ไร้ทิศทาง / ไม่มีกฏเกณฑ์ ( จินตนาการ )ความคิดเหล่านี้มีความสำคัญในงานศิลปะอย่างมากเรียกได้ว่ามันคือ " แกนหลัก " ของการสร้างสรรงานศิลปะในเชิงลึกนะครับ...😎😎😎
......อีก " นัยยะ " นึง ทำไมคนที่เรียนศิลปะ ( คนที่เข้าถึงแก่น ) คนพวกนี้ถึงเป็นตัวของตัวเองมากกว่าคนปกติ ( เฉพาะบางคน เป็นไปตามธรรมชาติ ) บางคนไม่แคร์สื่อ / อีโก้แรง / สุดโต่ง / นิ่ง /
แต่งตัวตามใจไม่อิงกระแส / ฯลฯ ที่พวกเขาเป็นแบบนั้น เพราะว่าการเข้าถึง
" ความคิดเลอะเทอะ " หรือ การเข้าถึง จิต " ไร้ " สำนึก ยิ่งลงลึกในสิ่งเหล่านี้ยิ่งมาก ยิ่งสร้างสรรผลงานได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
แต่ก็นั้นล่ะ ไอ้การลงลึง หริอการเข้าถึง " จิต " มากๆ มันมีผลให้ ความเป็นวัยเด็กเล็ก (บางส่วน ) กลับมา / นิสัยแบบเด็กๆ / การแสดงออกแบบใสซื่อ ฯลฯ มองให้ง่ายๆก็คือความคิดเลอะเทอะในวัยเด็ก ( บางส่วน ) มันกลับมาในชีวิตประจำวันนั้นเอง ทำให้ศิลปินบางคนทำอะไรหลายอย่าง
แบบไม่แคร์สื่อ ( จนดูคล้ายเด็กเล็กที่กล่าวไปตอนแรก ) เพียงแต่คราวนี้ มันมีเรื่องของ / วัยวุฒิ / วุฒิภาวะ / การเข้าสังคม / กาละเทศะ / ทำให้เป็นตัวเองมากๆเหมือนอย่างในวัยเด็กเล็กไม่ได้ ......
....สรุปง่ายๆ นิสัย / การแสดงออก / ในเด็กเล็ก เกือบทั้งหมด คือ จิต " ไร้ " สำนึก
....ส่วนคนที่ใช้ จิต " ไร้ " สำนึก
ลงในผลงาน ได้อย่างสุดจริงๆ
และมีความสุดโต่ง ทั้งในภาพลักษณ์ บุคลิคภายนอก และผลงาน คงหนีไม่พ้น " ซาวาดอ ดาลี่ " แทบทุกคนในวงการศิลปะต้องรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี นั้นล่ะคับท่านผู้อ่าน 55555 😝😝😝
....ส่วนเรื่อง / จิตใจ / ความรู้สึก / จินตนาการ / ประสบการณ์ / การเป็นตัวของตัวเอง / คิดต่าง / คิดนอกกรอบ / ทวนกระแส ตามกระแส / ทัศนาคติที่เป็นเอกเทศเฉพาะตัว / ฯลฯ ทุกอย่างที่กล่าวมานั้นคือส่วนประกอบที่มีผลในการสร้างสรรงานศิลปะ แต่ !! ่ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ไม่มีข้อไหน สำคัญเท่า จิต " ไร้ " สำนึก !! เหตุผลก็อย่างที่กล่าวไปในตอนแรก.......
.... เหตุผลที่ผมเลือกเอา "เซอเรียวลีส" มาเป็นตัวอย่าง เพราะ มีอะไรให้เล่นเยอะ / อิสระ / ปลดปล่อย / ใกล้ตัว /ปลดล็อคสิ่งที่อยู่ในใจลึกๆออกมาเป็นรูปธรรมเป็นผลงานได้สนุกไม่แพ้แขนงอื่นๆ ... " เซอเลียวลีส " เป็นสายที่ป๊อบที่สุดอีกสายนึงถึงแม้จะผ่านไป กี่ปี กี่ปี ก็ยังบูมไม่ดับ ติดลมบนไม่ล่วง 5555 ไม่เหมือนอาทหลายๆแขนง ที่พอกระแสดับก็ตกอับกันเป็นแถวๆ อิอิ .......
ขอให้จำไว้อย่างนะครับ --- ชื่อเสียงโด่งดัง กับ เงินทองมากมาย มันเป็นเพียงแค่ ผลพลอยได้จากการได้วาด สิ่งที่เราๆรัก เท่านั้น....😘😘😘
.....มา!! กลับมาเข้าเรื่องหัวข้อหลัก ( ยกตัวอย่างไปถึงดาวอังคารนู้นนนนน ) 5555
➡ทำไมชื่อเสียงศิลปินในอดีตไม่หายไปกับการเวลา ? และแทมมูลค่าของผลงานยังแพงมหาศาลอีกด้วย ?
.....ผมต้องการบอกที่มาที่ไปของเรื่องเหล่านี้เพื่อสร้างแรงดลใจ เพื่ิอสร้างแรงขับเคลื่อนให้กับคนในและนอกวงการศิลปะได้เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างชิ้นงานให้ดังไปอีก เป็นร้อยๆปี ( ระยะยาว )....
....ถ้าผู้อ่านได้อ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจฟังดูเป็นเรื่อง ตลก เหลือเชื่อ พิสูจไม่ได้ และ ไม่มีบรรทัดฐานที่แน่นอน คุณคงคิดแบบนั้นอยู่ใช่ไหมครับ (เพราะมันยังเป็นเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงจริงไหม)
เพราะสุดท้ายแล้ว เราๆ ท่านๆ ทุกคนเต็มที่อายุก็คงไม่เกิน 100 ปี ( ชีวิตสั้น ศิลปะยืนยาว ) กว่าผลงานของเราจะถึง 200 - 300 ปี (ที่ผมบอกไปขั้นต้น) เราๆท่านๆสิ้นลมก่อนแน่นอน และคงไม่มีอะไรมาพิสูจน์สิ่งที่ผมพูด ว่ามันจะเป็นจริงได้หรือไม่.....??
ประเด็นคือ......อยากให้ผู้อ่านลองคิดแบบนี้ดูนะครับคิดด้วยการ ***ผมจะเปรียบเทียบเชิงวิทยาศาสตร์***
......เราๆท่านๆแทบทุกคนคงรู้กันดีอยู่แล้ว
ถ้าเราเอาอะไรสักอย่างปาลงในน้ำ น้ำก็จะกระจายออก เป็นคลื่น เป็นวงกว้าง
เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี...... ผมเลยอยากเปรียบเทียบแบบนี้นะคับ
(นึกภาพตามนะครับ) *****น้ำที่อยู่ในที่แคบๆ อย่าง / อ่างอาบน้ำ / ขันน้ำ / อ่างล้านมือ / ฯลฯ
เวลาเราโยนอะไรลงไปในน้ำ น้ำจะกระจายออกเป็นวงกว้าง (เหมือนที่กล่าวไปตอนแรก) แต่!! มันพิเศษกว่านั้น คือ น้ำที่กระจายตัวเป็นวงๆ เมื่อกระจายตัวออกมามาก มากจนไปโดนขอบของวัตถุ (พื้นที่จำกัด) น้ำก็จะกระเพื่อมกลับมาที่จุดเดิมที่เราโยนสิ่งของลงไป น้ำมันจะกระเพื่อมอยู่แบบนั้นซ้ำๆ และค่อยๆเบาลงเบาลงจนน้ำกลับมานิ่งเหมือนเดิม......และพอเราเอาสิ่งของโยนลงไปอีกน้ำมันก็จะมีปฏิกิริยาเหมือนเดิม.....แต่มันพิเศษมากขึ้นยิ่งขึ้นถ้าเราโยนสิ่งของลงไปเรื่อยๆ น้ำก็จะ กระจายตัวอยู่เลื่อยๆ มันจะกระเพื่อมกลับมาจุดเดิมไม่มีสิ้นสุดจนกว่าเราจะหยุดปาของลงไป.......
....กลับมาเข้าเรื่อง (ต่อ) เกริ่นนำออกทะเลไปซะไกล 55555
...ผมจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆครับ
➡ อ่างน้ำ (พื้นที่จำกัด) คือ / สังคม / โลก
➡ วัตถุ สิ่งของ คือ / ศิลปะ / สไตล์ของศิลปะแต่ล่ะแขนง
➡ น้ำ กับการกระจายตัวของน้ำ คือ
/ ชื่อเสียง / ค่านิยม / กระแส
บางคนที่อ่านมาถึงจุดนี้คงพอจะเข้าใจกันแล้วนะครับ...😎😎😎
....ผมจะขออธิบาย แจกแจง เพิ่มเติม เผื่อคนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจหรือตามไม่ทัน....คือแบบนี้ครับ... เมื่อเราเป็นศิลปิน เราโยนศิลปะลงในน้ำ จนน้ำกระจาย กลายเป็นคลื่นในอ่างน้ำ
*****เปรียบเทียบกับที่ผมยกตัวอย่างในขั้นต้น***
ถ้าศิลปะชิ้นนั้นเล็กเกินไป (เล็กเกินหมายถึงชื่อเสียงไม่โด่งดัง) เมื่อโยนลงในน้ำ น้ำจะกระจายตัวเป็นวงแคบและกระจายไปไม่ถึงขอบอ่าง (ขอบของพื้นที่) (สำหรับคนที่ตามไม่ทันคงจะเริ่มเก็ทแล้วนะครับ)
ถ้าเราโยนศิลปะชิ้นใหญ่ (่หมายถึงตัวเราชื่อเสียงดังมาก) ลงในน้ำน้ำจะกระจายตัวในอ่าง เดิมๆซ้ำๆ ( นานมากๆ ) และพอเราสิ้นลม (ชื่อเสียงและผลงานยังดังอยู่) พอเวลาผ่านไปเป็นร้อยๆปี ีจนมีคนอื่นหริอคนรุ่นใหม่ มาโยนศิลปะ (สไตล์เรา) ลงน้ำต่อจากเรา จนน้ำเริ่มกลับมากระจายตัวอีกครั้ง มีผลทำให้ศิลปะที่เราเคยโยนไปมันกลับมาดังอีกครั้ง หรืออาจจะดังมากขึ้นกว่าเดิมก็สุดแล้วแต่......😑😑
.....ทังหมดทั้งมวลที่ผมกล่าวมา มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง / สังคมโลก / รสนิยมในศิลปะ ( กระแสหลัก ) / สงครามโลก / ประวัติศาสตร์ ฯลฯ ทุกอย่างล้วนมีผลกระทบในโลกของศิลปะทั้งนั้น.....
........ยังมีกรณีศึกษาอีกครับ
หลายคนอาจไม่รู้ว่า ศิลปิน / จิตรกร
ที่ดังๆ ที่มีชื่อในประวัติศาตร์ส่วนใหญ่แทบทุกคนตอนยังมีชีวิตอยู่พวกเขาไม่รู้ตัวหรอกว่าผลงานตนเองจะปังไปทั่วโลก...และก็คงไม่คิดว่าพอเวลาผ่านมาเป็นร้อยๆปีผลงานของตนเองจะมีมูลค่ามหาศาลขนาดนั้น !! เรื่องแบบนี้พวกเขาไม่รู้หรอก แต่!!....มันมีอยู่สิ่งนึงที่พวกเขาทุกคนรู้ตัวเหมือนๆกัน นั้นคือ ***ความตั้งใจจริงในการสร้างสรรค์ผลงาน / ความรักในศิลปะ / การเอาใจใส่ สิ่งนี้ คือสิ่งศิลปินทุกคนในประวัติศาสตร์มีเหมือนกันทุ๊กกกกคน**** 😍😍😍
สุดท้าย....เราๆท่านๆไม่รู้เหตุการณ์ล้วนหน้าหรอกครับ ในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกศิลปะของเรา เราๆท่านๆ รู้แค่ วันนี้ ทุกๆวันนี้พวกเราทำให้ผลงานตัวเองดังได้มากน้อยแค่ไหน เท่านั้น (ทำดีที่สุด)แล้วผลลัพธ์ ของสิ่งที่ทำในปัจจุบันมันจะส่งผลไปถึงอนาคตหริออาจหลายร้อยปีจนกลายเป็นรูปธรรมด้วยตัวของมันเอง......
จบปิ๊งงงงงง.....😜😜😜