หอไตรวัดพระสิงห์
ประวัติความเป็นมาของหอไตรและลักษณะองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
..........หอไตรหรือหอธรรม เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า
เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ที่จัดเก็บรักษาพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
ในหลักฐานทางเอกสารของทางล้านนาเท่าที่มีการค้นพบได้มีการกล่าวถึงคัมภีร์ทางพุทธศาสนามาแล้ว
ตั้งแต่การเริ่มนำพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยโดยพระนางจามเทวี ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 13
และพบว่ามีการกล่าวถึงพระไตรปิฎกที่ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด แต่กลับไม่ระบุถึงการสร้างสถานที่เก็บรักษาเลย
จนกระทั่งในรัชกาลของพระเจ้ายอดเชียงรายราว พ.ศ.2031 จึงพบหลักฐานที่กล่าวถึงการสร้างหอไตรเป็นครั้งแรก
(คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารประวัติศาสตร์, ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 3, [กรุงเทพฯ : สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2508] หน้า 110)
แต่เข้าใจว่าหอไตรนั้นควรสร้างขึ้นมาก่อนหน้าพระเจ้ายอดเชียงรายแล้ว เพราะมีเอกสารที่กล่าวถึงในรัชกาลของพระเมืองแก้ว
ได้โปรดให้นำปราสาทยอดเมืองมาสร้างแทนหอไตรหลังเก่าที่วัดมหาโพธาราม (เจ็ดยอด)
ซึ่งหลังเดิมใช้เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก ซึ่งชำระแล้วครั้งการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ในสมัยพระเจ้าติโลกราช
(พระรัตนเถระปัญญา, ชินกาลมาลีปกรณ์, หน้า 144)
อาจกล่าวได้ว่าสืบเนื่องจากการสังคายนาครั้งนี้เป็นเหตุให้มีคัมภีร์ทางพุทธศาสนามากขึ้น
จึงเกิดความนิยมสร้างหอไตรเพื่อใช้เก็บรักษาคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเพิ่มมากขึ้น
โดยจะใช้คำเรียกว่า หอไตร หอธรรม พระธรรมมนเทียร พระมนเทียร หรือ ปิฎกฆระ
ซึ่งหมายความถึงสถานที่เก็บรักษาคัมภีร์ทางพุทธศาสนาทั้งสิ้น
..........สำหรับประวัติความเป็นมาของหอไตรวัดพระสิงห์นี้
เดิมได้มีนักวิชาการทำการศึกษาถึงรูปแบบศิลปะแล้วเข้าใจว่าเป็นหอไตรที่สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 21
โดยอ้างอิงจากภาพถ่ายเก่าภาพหนึ่ง
(บุญเสริม ศาสตราภัย, เสด็จลานนา 1 พิมพ์ครั้งที่ 2 [เชียงใหม่ : อักษราภิพัฒน์, 2532] หน้า 37)
(ภาพถ่ายเก่าที่เชื่อว่าเป็นหอไตรวัดพระสิงห์, เสด็จลานนา 1)
และเป็นความเชื่อที่สืบเนื่องกันมาโดยตลอด
(พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, การขึ้นเป็นโบราณสถานภาคเหนือ, [ม.ปท : กรมศิลปากร, 2525] หน้า50)
แต่จากการศึกษาในครั้งนี้ได้พบหลักฐานเกี่ยวกับระยะเวลาการสร้างหอไตรจากศิลาจารึกหินทรายแดง
ที่แต่เดิมตั้งอยู่ใกล้ฐานพระอุโบสถวัดพระสิงห์
เนื้อความในศิลาจารึกกล่าวถึงสมเด็จเชษฐาบรมพิตราธรรมิกราชาธิราชเจ้าเมืองเชียงใหม่ (พระยากาวิละ)
ได้นิมนต์พระสังฆราชาวัดพระสิงห์สร้างพระอุโบสถ มณฑปปราสาทภายในอุโบสถและหอธรรมปิฎกขึ้นเมื่อวันพุธ เดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำ พ.ศ.2354
การสร้างหอธรรมในครั้งนี้ไม่อาจทราบรายละเอียดของลักษณะหอไตรและการตกแต่ง
แต่คงมีการประดับตกแต่งเช่นเดียวกับพระอุโบสถที่ระบุว่า
"กระทำเลขประติมากรรม ด้วยสุวรรณกาญจนคำแดง แสงงามตามแต่โบราณพระราชกษัตรา"
วัสดุที่ใช้ทราบรายละเอียดจากรายการที่ระบุไว้ตอนท้ายว่า
"ค่ารัก หาง คำปิว (ทองคำเปลว) แก้วกระจก หรดาน น้ำอ้อย ปูน เหล็ก ดินจี่ (อิฐ) เดง (กระดิ่ง)
(ศิลาจารึกหินทรายแดง วัดพระสิงห์, คลังข้อมูลจารึกล้านนา ฝ่ายวิจัยล้านนา สถาบันวิจัยสังคม, เอกสารไม่ได้ตีพิมพ์)
..........ต่อมาราว พ.ศ.2377 หอไตรองค์นี้อาจถูกบูรณะขึ้นอีกครั้งหนึ่งโดยครูบากัญจนมหาเถร วัดสูงเม่น
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าในปี พ.ศ.2376 คราวที่ครูบากัญจนพำนักในเมืองเชียงใหม่
ได้ชักชวนสังฆราชวัดสวนดอกร่วมกันสังคายนาพระไตรปิฎกและตั้งฉลองไว้ที่วัดพระสิงห์
(ประวัติครูบากัญจน วัดสูงเม่น, เอกสารโรเนียว)
หอไตรวัดพระสิงห์อาจถูกบูรณะเพื่อการสังคายนาพระไตรปิฎกคราวนั้นก็ได้
การซ่อมแซมหอไตรอีกครั้งหนึ่งและเป็นครั้งสุดท้ายน่าจะได้แก่การซ่อมเมื่อ พ.ศ.2469
คราวที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมายังมณฑลพายัพ ทรงทอดพระเนตรเห็นหอไตรวัดพระสิงห์ชำรุดทรุดโทรมมาก
(หอไตรวัดพระสิงห์ก่อนบูรณะ, เสด็จลานนา 1)
จึงทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนหนึ่งให้บูรณะตามลักษณะเดิม และฉลองสมโภชในปี พ.ศ.2472
(บุญเสริม ศาสตราภัย, เสด็จลานนา 2, พิมพ์ครั้งที่ 2 [เชียงใหม่ : อักษราภิพัฒน์, 2532} หน้า 51)
นอกจากนี้ยังได้พบหลักฐานสนับสนุนในใบฎีกาแผ่กุศลปฏิสังขรณ์พระธาตุวัดเจดีย์หลวงและอุโบสถพระธาตุน้อยวัดพระสิงห์นครเชียงใหม่
ในสมัยเจ้าแก้วนวรัฐ ระบุว่าราชบัณฑิตยสภาได้ส่งนายช่างขึ้นมาบูรณะหอไตร
(จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ พ.ศ.2469, พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้พิมพ์พระราชทานในวันขึ้นปีใหม่ 2474, [กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2474] หน้า 118)
..........จากหลักฐานที่กล่าวมาทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าในสมัยเจ้าแก้วนวรัฐ
เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่าหอไตรวัดพระสิงห์สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ากาวิละ
แต่ความรู้นี้ได้ถูกหลงลืมไปจนเกิดความเข้าใจที่สับสนเกี่ยวกับอายุเวลาในการสร้างดังที่ผ่านมา
ส่วนการบูรณะที่ช่างของราชบัณฑิตยสภาขึ้นมาบูรณะนั้นเป็นการซ่อมทับตัวอาคารเดิม
โดยเมื่อสังเกตจากภาพถ่ายที่ถ่ายก่อนการบูรณะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงลักษณะบางส่วน
ที่เห็นเด่นชัดได้แก่การเปลี่ยนรูปแบบของป้านลมให้เป็นป้านลมที่มีงวงนาคเกี่ยวหัวแป๋ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ลักษณะของลวดลายที่ประดับได้แสดงถึงการซ่อมขึ้นใหม่ทั้งหมด
และคงจะมีการซ่อมทับบนลายนี้อีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้น เพราะมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของเนื้อปูนปั้น
..........เกี่ยวกับคติความเชื่อของหอไตร
นอกจากเชื่อกันว่าใช้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับเก็บรักษาพระไตรปิฎก รวมทั้งคัมภีร์ทางพุทธศาสนาหลายประเภทแล้ว
เนื้อความในจารึกยังระบุถึงความเชื่อที่ว่าเป็นอนิสงส์ที่ช่วยรักษาให้พุทธศาสนายืนยาวถึง 5000 ปี ตามพุทธทำนาย
ตลอดจนเป็นการอุทิศส่วนบุญกุศลให้แก่บรรพบุรุษ และเทวดาตามความเชื่อของชาวล้านนาอีกด้วย
(คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารประวัติศาสตร์, ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 3, หน้า 112)
ลักษณะองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
..........หอไตรวัดพระสิงห์มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางตัวอยู่ในแนวทิศตะวันตก - ตะวันออก
ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณสูง โดยรอบลานประทักษิณก่อเป็นกำแพงแก้วเตี้ย ๆ
กึ่งกลางด้านหน้าและด้านหลังของลานประทักษิณมีบันไดทางขึ้น
โดยราวบันไดด้านหน้าเป็นรูปมกรคายนาค ส่วนราวบันไดด้านหลังเป็นลำตัวและหางม้วนรูปตัวเหงา
(แผนผังที่ 1)
..........หอไตรเป็นหอสูงสองชั้น ชั้นล่างก่ออิฐฉาบปูน ฐานหอไตรชั้นล่างประกอบด้วยหน้ากระดานรับฐานปัทม
ท้องไม้ของฐานปัทมประดับด้วยลายปูนปั้นรูปสัตว์ในกรอบคดโค้ง ผนังด้านข้างเจาะช่องหน้าต่างด้านละ 4 บาน
ที่ว่างระหว่างหน้าต่างประดับประติมากรรมรูปเทวดาปูนปั้น เหนือแถวเทวดามีชั้นบัวคว่ำบัวหงาย
ระหว่างชั้นประดับด้วยแถวรูปสัตว์ในกรอบคดโค้งเช่นเดียวกับแถวสัตว์ด้านล่าง
แถวสัตว์ในกรอบคดโค้งเฉพาะส่วนมุขด้านหน้าทำลดระดับลงตามการลดระดับของมุขผนังหอไตร
ด้านหน้ามีบันไดทางขึ้นหอไตรชั้นบนมีมกรคายสิงห์เป็นราวบันได ผนังด้านหลังเจาะเป็นช่องประตูทางเข้าหอไตรชั้นล่าง
..........หอไตรชั้นบนสร้างด้วยไม้มีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเช่นเดียวกับผังชั้นล่าง
แต่มุขโถงด้านหน้าลดระดับลงเล็กน้อย ผนังด้านข้างเป็นฝาไม้เข้าลิ้นปิดทึบจนถึงแป๋ป๋าง
ประดับลวดลายปูนปั้นลงรักปิดทอง ผนังด้านหน้าเจาะเป็นช่องประตูจนเต็มพื้นที่ระหว่างเสาคู่กลาง
พื้นที่นอกนั้นเป็นฝาไม้เข้าลิ้น ผนังด้านหลังเป็นฝาไม้เข้าลิ้นปิดทึบตลอดขื่อ รวมทั้งหน้าแหนบด้วย
..........ระบบการรับน้ำหนักโครงสร้างหลังคาของหอไตรเป็นระบบเสากับคาน
โดยมีเสาอยู่ 4 แถว ระหว่างเสาคู่กลางมีขื่อหลวง ตุ๊กตา รับม้าตั่งไหม ดั้งรับน้ำหนักจากแป๋จ๋อง แป๋ลอย กล๋อนลาด
กั้นฝ้าและกระเบื้องดินขอของหลังคากลาง
ขณะที่ระหว่างเสาแถวข้างและเสาแถวกลางมีเสาสะโก่น ขื่อป๋อก ตุ๊กตา กล๋อนลาด กั้นฝ้า และกระเบื้องดินขอของหลังคาปีกนก
..........หลังคาหอไตรทำชั้นลดลงทั้งด้านหน้าและด้านหลังด้านละ 1 ชั้น และลดระดับปีกนกด้านข้างด้านละ 1 ตับ
บริเวณคอสองมีแผงไม้เข้าลิ้นปิดทึบทั้งหมด หน้าจั่วประดับด้วยป้านลมที่ปิดครอบทับหัวแป๋
ตลอดแนวสันหลังคาประดับด้วยรูปหงษ์ดินเผาเคลือบสีเขียวมะกอก
รูปหงส์ดินเผาบนสันหลังคา
..........ระบบโครงสร้างการรับน้ำหนักของหลังคาอาคารไม้ของล้านนา
ที่ประกอบด้วย ขื่อ ตุ๊กตา ดั้ง ของหลังคากลางและหลังคาส่วนปีกนก
คงเป็นระบบการสร้างโครงรับน้ำหนัก ที่ทางล้านนาเรียกว่า "ขื่อม้าต่างไหม"
เป็นระบบที่มีตัวขื่อหลวงวางพาดระหว่างหัวเสารับน้ำหนักจาก ขื่อยี่ ขื่อสาม
ซึ่งมีลักษณะคล้ายม้านั่งวางซ้อนขึ้นไป รับน้ำหนักของ แป๋ กล๋อนลาด กั้นฝ้า และกระเบื้องหลังคา
ยังมีต่อด้านล่างครับ
เชียงใหม่-หอไตรวัดพระสิงห์ ประวัติและลักษณะองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
ประวัติความเป็นมาของหอไตรและลักษณะองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
..........หอไตรหรือหอธรรม เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า
เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ที่จัดเก็บรักษาพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
ในหลักฐานทางเอกสารของทางล้านนาเท่าที่มีการค้นพบได้มีการกล่าวถึงคัมภีร์ทางพุทธศาสนามาแล้ว
ตั้งแต่การเริ่มนำพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยโดยพระนางจามเทวี ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 13
และพบว่ามีการกล่าวถึงพระไตรปิฎกที่ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด แต่กลับไม่ระบุถึงการสร้างสถานที่เก็บรักษาเลย
จนกระทั่งในรัชกาลของพระเจ้ายอดเชียงรายราว พ.ศ.2031 จึงพบหลักฐานที่กล่าวถึงการสร้างหอไตรเป็นครั้งแรก
(คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารประวัติศาสตร์, ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 3, [กรุงเทพฯ : สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2508] หน้า 110)
แต่เข้าใจว่าหอไตรนั้นควรสร้างขึ้นมาก่อนหน้าพระเจ้ายอดเชียงรายแล้ว เพราะมีเอกสารที่กล่าวถึงในรัชกาลของพระเมืองแก้ว
ได้โปรดให้นำปราสาทยอดเมืองมาสร้างแทนหอไตรหลังเก่าที่วัดมหาโพธาราม (เจ็ดยอด)
ซึ่งหลังเดิมใช้เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก ซึ่งชำระแล้วครั้งการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ในสมัยพระเจ้าติโลกราช
(พระรัตนเถระปัญญา, ชินกาลมาลีปกรณ์, หน้า 144)
อาจกล่าวได้ว่าสืบเนื่องจากการสังคายนาครั้งนี้เป็นเหตุให้มีคัมภีร์ทางพุทธศาสนามากขึ้น
จึงเกิดความนิยมสร้างหอไตรเพื่อใช้เก็บรักษาคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเพิ่มมากขึ้น
โดยจะใช้คำเรียกว่า หอไตร หอธรรม พระธรรมมนเทียร พระมนเทียร หรือ ปิฎกฆระ
ซึ่งหมายความถึงสถานที่เก็บรักษาคัมภีร์ทางพุทธศาสนาทั้งสิ้น
..........สำหรับประวัติความเป็นมาของหอไตรวัดพระสิงห์นี้
เดิมได้มีนักวิชาการทำการศึกษาถึงรูปแบบศิลปะแล้วเข้าใจว่าเป็นหอไตรที่สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 21
โดยอ้างอิงจากภาพถ่ายเก่าภาพหนึ่ง
(บุญเสริม ศาสตราภัย, เสด็จลานนา 1 พิมพ์ครั้งที่ 2 [เชียงใหม่ : อักษราภิพัฒน์, 2532] หน้า 37)
(ภาพถ่ายเก่าที่เชื่อว่าเป็นหอไตรวัดพระสิงห์, เสด็จลานนา 1)
และเป็นความเชื่อที่สืบเนื่องกันมาโดยตลอด
(พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, การขึ้นเป็นโบราณสถานภาคเหนือ, [ม.ปท : กรมศิลปากร, 2525] หน้า50)
แต่จากการศึกษาในครั้งนี้ได้พบหลักฐานเกี่ยวกับระยะเวลาการสร้างหอไตรจากศิลาจารึกหินทรายแดง
ที่แต่เดิมตั้งอยู่ใกล้ฐานพระอุโบสถวัดพระสิงห์
เนื้อความในศิลาจารึกกล่าวถึงสมเด็จเชษฐาบรมพิตราธรรมิกราชาธิราชเจ้าเมืองเชียงใหม่ (พระยากาวิละ)
ได้นิมนต์พระสังฆราชาวัดพระสิงห์สร้างพระอุโบสถ มณฑปปราสาทภายในอุโบสถและหอธรรมปิฎกขึ้นเมื่อวันพุธ เดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำ พ.ศ.2354
การสร้างหอธรรมในครั้งนี้ไม่อาจทราบรายละเอียดของลักษณะหอไตรและการตกแต่ง
แต่คงมีการประดับตกแต่งเช่นเดียวกับพระอุโบสถที่ระบุว่า
"กระทำเลขประติมากรรม ด้วยสุวรรณกาญจนคำแดง แสงงามตามแต่โบราณพระราชกษัตรา"
วัสดุที่ใช้ทราบรายละเอียดจากรายการที่ระบุไว้ตอนท้ายว่า
"ค่ารัก หาง คำปิว (ทองคำเปลว) แก้วกระจก หรดาน น้ำอ้อย ปูน เหล็ก ดินจี่ (อิฐ) เดง (กระดิ่ง)
(ศิลาจารึกหินทรายแดง วัดพระสิงห์, คลังข้อมูลจารึกล้านนา ฝ่ายวิจัยล้านนา สถาบันวิจัยสังคม, เอกสารไม่ได้ตีพิมพ์)
..........ต่อมาราว พ.ศ.2377 หอไตรองค์นี้อาจถูกบูรณะขึ้นอีกครั้งหนึ่งโดยครูบากัญจนมหาเถร วัดสูงเม่น
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าในปี พ.ศ.2376 คราวที่ครูบากัญจนพำนักในเมืองเชียงใหม่
ได้ชักชวนสังฆราชวัดสวนดอกร่วมกันสังคายนาพระไตรปิฎกและตั้งฉลองไว้ที่วัดพระสิงห์
(ประวัติครูบากัญจน วัดสูงเม่น, เอกสารโรเนียว)
หอไตรวัดพระสิงห์อาจถูกบูรณะเพื่อการสังคายนาพระไตรปิฎกคราวนั้นก็ได้
การซ่อมแซมหอไตรอีกครั้งหนึ่งและเป็นครั้งสุดท้ายน่าจะได้แก่การซ่อมเมื่อ พ.ศ.2469
คราวที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมายังมณฑลพายัพ ทรงทอดพระเนตรเห็นหอไตรวัดพระสิงห์ชำรุดทรุดโทรมมาก
(หอไตรวัดพระสิงห์ก่อนบูรณะ, เสด็จลานนา 1)
จึงทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนหนึ่งให้บูรณะตามลักษณะเดิม และฉลองสมโภชในปี พ.ศ.2472
(บุญเสริม ศาสตราภัย, เสด็จลานนา 2, พิมพ์ครั้งที่ 2 [เชียงใหม่ : อักษราภิพัฒน์, 2532} หน้า 51)
นอกจากนี้ยังได้พบหลักฐานสนับสนุนในใบฎีกาแผ่กุศลปฏิสังขรณ์พระธาตุวัดเจดีย์หลวงและอุโบสถพระธาตุน้อยวัดพระสิงห์นครเชียงใหม่
ในสมัยเจ้าแก้วนวรัฐ ระบุว่าราชบัณฑิตยสภาได้ส่งนายช่างขึ้นมาบูรณะหอไตร
(จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ พ.ศ.2469, พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้พิมพ์พระราชทานในวันขึ้นปีใหม่ 2474, [กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2474] หน้า 118)
..........จากหลักฐานที่กล่าวมาทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าในสมัยเจ้าแก้วนวรัฐ
เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่าหอไตรวัดพระสิงห์สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ากาวิละ
แต่ความรู้นี้ได้ถูกหลงลืมไปจนเกิดความเข้าใจที่สับสนเกี่ยวกับอายุเวลาในการสร้างดังที่ผ่านมา
ส่วนการบูรณะที่ช่างของราชบัณฑิตยสภาขึ้นมาบูรณะนั้นเป็นการซ่อมทับตัวอาคารเดิม
โดยเมื่อสังเกตจากภาพถ่ายที่ถ่ายก่อนการบูรณะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงลักษณะบางส่วน
ที่เห็นเด่นชัดได้แก่การเปลี่ยนรูปแบบของป้านลมให้เป็นป้านลมที่มีงวงนาคเกี่ยวหัวแป๋ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ลักษณะของลวดลายที่ประดับได้แสดงถึงการซ่อมขึ้นใหม่ทั้งหมด
และคงจะมีการซ่อมทับบนลายนี้อีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้น เพราะมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของเนื้อปูนปั้น
..........เกี่ยวกับคติความเชื่อของหอไตร
นอกจากเชื่อกันว่าใช้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับเก็บรักษาพระไตรปิฎก รวมทั้งคัมภีร์ทางพุทธศาสนาหลายประเภทแล้ว
เนื้อความในจารึกยังระบุถึงความเชื่อที่ว่าเป็นอนิสงส์ที่ช่วยรักษาให้พุทธศาสนายืนยาวถึง 5000 ปี ตามพุทธทำนาย
ตลอดจนเป็นการอุทิศส่วนบุญกุศลให้แก่บรรพบุรุษ และเทวดาตามความเชื่อของชาวล้านนาอีกด้วย
(คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารประวัติศาสตร์, ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 3, หน้า 112)
ลักษณะองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
..........หอไตรวัดพระสิงห์มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางตัวอยู่ในแนวทิศตะวันตก - ตะวันออก
ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณสูง โดยรอบลานประทักษิณก่อเป็นกำแพงแก้วเตี้ย ๆ
กึ่งกลางด้านหน้าและด้านหลังของลานประทักษิณมีบันไดทางขึ้น
โดยราวบันไดด้านหน้าเป็นรูปมกรคายนาค ส่วนราวบันไดด้านหลังเป็นลำตัวและหางม้วนรูปตัวเหงา
(แผนผังที่ 1)
..........หอไตรเป็นหอสูงสองชั้น ชั้นล่างก่ออิฐฉาบปูน ฐานหอไตรชั้นล่างประกอบด้วยหน้ากระดานรับฐานปัทม
ท้องไม้ของฐานปัทมประดับด้วยลายปูนปั้นรูปสัตว์ในกรอบคดโค้ง ผนังด้านข้างเจาะช่องหน้าต่างด้านละ 4 บาน
ที่ว่างระหว่างหน้าต่างประดับประติมากรรมรูปเทวดาปูนปั้น เหนือแถวเทวดามีชั้นบัวคว่ำบัวหงาย
ระหว่างชั้นประดับด้วยแถวรูปสัตว์ในกรอบคดโค้งเช่นเดียวกับแถวสัตว์ด้านล่าง
แถวสัตว์ในกรอบคดโค้งเฉพาะส่วนมุขด้านหน้าทำลดระดับลงตามการลดระดับของมุขผนังหอไตร
ด้านหน้ามีบันไดทางขึ้นหอไตรชั้นบนมีมกรคายสิงห์เป็นราวบันได ผนังด้านหลังเจาะเป็นช่องประตูทางเข้าหอไตรชั้นล่าง
..........หอไตรชั้นบนสร้างด้วยไม้มีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเช่นเดียวกับผังชั้นล่าง
แต่มุขโถงด้านหน้าลดระดับลงเล็กน้อย ผนังด้านข้างเป็นฝาไม้เข้าลิ้นปิดทึบจนถึงแป๋ป๋าง
ประดับลวดลายปูนปั้นลงรักปิดทอง ผนังด้านหน้าเจาะเป็นช่องประตูจนเต็มพื้นที่ระหว่างเสาคู่กลาง
พื้นที่นอกนั้นเป็นฝาไม้เข้าลิ้น ผนังด้านหลังเป็นฝาไม้เข้าลิ้นปิดทึบตลอดขื่อ รวมทั้งหน้าแหนบด้วย
..........ระบบการรับน้ำหนักโครงสร้างหลังคาของหอไตรเป็นระบบเสากับคาน
โดยมีเสาอยู่ 4 แถว ระหว่างเสาคู่กลางมีขื่อหลวง ตุ๊กตา รับม้าตั่งไหม ดั้งรับน้ำหนักจากแป๋จ๋อง แป๋ลอย กล๋อนลาด
กั้นฝ้าและกระเบื้องดินขอของหลังคากลาง
ขณะที่ระหว่างเสาแถวข้างและเสาแถวกลางมีเสาสะโก่น ขื่อป๋อก ตุ๊กตา กล๋อนลาด กั้นฝ้า และกระเบื้องดินขอของหลังคาปีกนก
..........หลังคาหอไตรทำชั้นลดลงทั้งด้านหน้าและด้านหลังด้านละ 1 ชั้น และลดระดับปีกนกด้านข้างด้านละ 1 ตับ
บริเวณคอสองมีแผงไม้เข้าลิ้นปิดทึบทั้งหมด หน้าจั่วประดับด้วยป้านลมที่ปิดครอบทับหัวแป๋
ตลอดแนวสันหลังคาประดับด้วยรูปหงษ์ดินเผาเคลือบสีเขียวมะกอก
รูปหงส์ดินเผาบนสันหลังคา
..........ระบบโครงสร้างการรับน้ำหนักของหลังคาอาคารไม้ของล้านนา
ที่ประกอบด้วย ขื่อ ตุ๊กตา ดั้ง ของหลังคากลางและหลังคาส่วนปีกนก
คงเป็นระบบการสร้างโครงรับน้ำหนัก ที่ทางล้านนาเรียกว่า "ขื่อม้าต่างไหม"
เป็นระบบที่มีตัวขื่อหลวงวางพาดระหว่างหัวเสารับน้ำหนักจาก ขื่อยี่ ขื่อสาม
ซึ่งมีลักษณะคล้ายม้านั่งวางซ้อนขึ้นไป รับน้ำหนักของ แป๋ กล๋อนลาด กั้นฝ้า และกระเบื้องหลังคา
ยังมีต่อด้านล่างครับ