รู้สึกท้อแท้กับการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยค่ะ
พอดีพึ่งได้อ่านกระทู้ที่ถามเงินเดือนวิศวกร ก็ได้เห็นว่ามีมนุษย์เงินเดือนจำนวนมากที่ได้รายได้มากกว่าหนึ่งแสนบาท ไม่รวมโบนัส และมีสวัสดิการต่างๆ มากมาย
ส่วนใหญ่จะทำงานที่บริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจ
หันมามองตัวเองแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นวิศวกร แต่ก็ทำงานที่อาศัยวิชาชีพเฉพาะเหมือนกัน มีการเรียนที่ยาวนาน งานหนักและต้องพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
เราเป็นหมอเฉพาะทาง ทำงานโรงเรียนแพทย์ ซึ่งก็คือ พนักงานมหาวิทยาลัย (ไม่ใช่ข้าราชการ)
ด้านการเรียน เราใช้เวลาเรียนเป็นสิบปี ตั้งแต่ แพทยศาสตร์ จนจบเฉพาะทางและลงลึก ไม่รวมช่วงที่ต้องไปดูงานต่างประเทศอีก
เราเรียนหนัก ตั้งใจเรียนจนจบโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งในกรุงเทพ จนได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งให้ที่บ้านภูมิใจ
และเส้นทางเราก็ต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเช่นกัน
ด้านความรับผิดชอบ เราเป็นแพทย์เฉพาะทางในโรงเรียนแพทย์ เราทำงานตั้งแต่เช้าถึงดึก เวลาเข้าออกไม่มีความหมาย เพราะเคสเยอะมากต้องจัดการให้เสร็จ จะวางทิ้งไว้แล้วกลับมาทำวันรุ่งขึ้นไม่ได้ เสาร์อาทิตย์ก็ต้องเข้ามาเคลียร์บ่อยๆ
แต่ละเคสเรารักษาอย่างดี คิดอย่างเป็นระบบ ไม่มีมั่ว ไม่มีซุย
งานรับจ๊อบข้างนอกไม่ต้องพูดถึง เพราะเวลาจะพักยังแทบไม่มี นี่ไม่รวมงานเตรียมการสอนและงานวิจัยที่ต้องทำให้ได้ตามที่กำหนดอีก
ถ้าทำไม่ได้ ตัดเงินอุดหนุน ค่ะ
ทั้งหมดที่เราทำ ได้รวมแล้วทั้งหมดประมาณเดือนแสนบาทต่อเดือน เท่าที่กระทู้นั้นถาม
แต่สิ่งที่เราไม่มีคือ สวัสดิการค่ะ
จริงๆ ก็มี คือสิทธิประกันสังคม กับกองทุนเล็กๆ ที่ได้หลังเกษียณ มันแค่นั้นจริงๆ ค่ะ
และเราไม่มีโบนัสค่ะ โบนัส 0 เดือน
เรารู้สึกท้อแท้กับอะไรหลายๆ อย่างมากค่ะ
เราชอบงานนี้อยู่นะคะ เราได้มาทำตรงนี้ เพราะความสามารถของเราพอจะเป็นประโยชน์กับหน่วยงาน กับผู้ป่วย
เราพอมีความสามารถในการถ่ายทอดอยู่บ้าง ให้น้องๆ ที่จะเป็นหมอรุ่นต่อไปในอนาคต
แต่งานวิจัยเราไม่กระดิก ไม่เอาอ่าว และเราไม่ชอบทำวิจัยมากๆ ทั้งๆ ที่ จะอยู่ในมหาลัย สิ่งที่จะชี้เป็นชี้ตายความก้าวหน้าจริงๆ คือ งานวิจัย
ไม่ใช่จำนวนเคสที่รักษา หรือการเตรียมการสอนค่ะ
คิดอีกแง่นึง ทำไมเราต้องมาทำอะไรขนาดนี้ มันคุ้มไหมกับแรง ความสามารถ และเวลาที่ทุ่มเทไป
เราได้เงินแสนจริง แต่เราได้แค่นั้น ไม่มีสวัสดิการดีๆ ไม่มีบำนาญ ไม่มีโบนัส
เราต้องเสียสละก็จริง แต่เมื่อมองคนอื่นแล้ว เค้าได้ในสิ่งที่มากกว่าเรา ทั้งที่ถ้าเราไปอยู่ตรงนันได้ เราก็น่าจะทำได้เหมือนกัน
ประมาณนั้นค่ะ
รู้สึกท้อแท้กับการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยค่ะ
พอดีพึ่งได้อ่านกระทู้ที่ถามเงินเดือนวิศวกร ก็ได้เห็นว่ามีมนุษย์เงินเดือนจำนวนมากที่ได้รายได้มากกว่าหนึ่งแสนบาท ไม่รวมโบนัส และมีสวัสดิการต่างๆ มากมาย
ส่วนใหญ่จะทำงานที่บริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจ
หันมามองตัวเองแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นวิศวกร แต่ก็ทำงานที่อาศัยวิชาชีพเฉพาะเหมือนกัน มีการเรียนที่ยาวนาน งานหนักและต้องพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
เราเป็นหมอเฉพาะทาง ทำงานโรงเรียนแพทย์ ซึ่งก็คือ พนักงานมหาวิทยาลัย (ไม่ใช่ข้าราชการ)
ด้านการเรียน เราใช้เวลาเรียนเป็นสิบปี ตั้งแต่ แพทยศาสตร์ จนจบเฉพาะทางและลงลึก ไม่รวมช่วงที่ต้องไปดูงานต่างประเทศอีก
เราเรียนหนัก ตั้งใจเรียนจนจบโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งในกรุงเทพ จนได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งให้ที่บ้านภูมิใจ
และเส้นทางเราก็ต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเช่นกัน
ด้านความรับผิดชอบ เราเป็นแพทย์เฉพาะทางในโรงเรียนแพทย์ เราทำงานตั้งแต่เช้าถึงดึก เวลาเข้าออกไม่มีความหมาย เพราะเคสเยอะมากต้องจัดการให้เสร็จ จะวางทิ้งไว้แล้วกลับมาทำวันรุ่งขึ้นไม่ได้ เสาร์อาทิตย์ก็ต้องเข้ามาเคลียร์บ่อยๆ
แต่ละเคสเรารักษาอย่างดี คิดอย่างเป็นระบบ ไม่มีมั่ว ไม่มีซุย
งานรับจ๊อบข้างนอกไม่ต้องพูดถึง เพราะเวลาจะพักยังแทบไม่มี นี่ไม่รวมงานเตรียมการสอนและงานวิจัยที่ต้องทำให้ได้ตามที่กำหนดอีก
ถ้าทำไม่ได้ ตัดเงินอุดหนุน ค่ะ
ทั้งหมดที่เราทำ ได้รวมแล้วทั้งหมดประมาณเดือนแสนบาทต่อเดือน เท่าที่กระทู้นั้นถาม
แต่สิ่งที่เราไม่มีคือ สวัสดิการค่ะ
จริงๆ ก็มี คือสิทธิประกันสังคม กับกองทุนเล็กๆ ที่ได้หลังเกษียณ มันแค่นั้นจริงๆ ค่ะ
และเราไม่มีโบนัสค่ะ โบนัส 0 เดือน
เรารู้สึกท้อแท้กับอะไรหลายๆ อย่างมากค่ะ
เราชอบงานนี้อยู่นะคะ เราได้มาทำตรงนี้ เพราะความสามารถของเราพอจะเป็นประโยชน์กับหน่วยงาน กับผู้ป่วย
เราพอมีความสามารถในการถ่ายทอดอยู่บ้าง ให้น้องๆ ที่จะเป็นหมอรุ่นต่อไปในอนาคต
แต่งานวิจัยเราไม่กระดิก ไม่เอาอ่าว และเราไม่ชอบทำวิจัยมากๆ ทั้งๆ ที่ จะอยู่ในมหาลัย สิ่งที่จะชี้เป็นชี้ตายความก้าวหน้าจริงๆ คือ งานวิจัย
ไม่ใช่จำนวนเคสที่รักษา หรือการเตรียมการสอนค่ะ
คิดอีกแง่นึง ทำไมเราต้องมาทำอะไรขนาดนี้ มันคุ้มไหมกับแรง ความสามารถ และเวลาที่ทุ่มเทไป
เราได้เงินแสนจริง แต่เราได้แค่นั้น ไม่มีสวัสดิการดีๆ ไม่มีบำนาญ ไม่มีโบนัส
เราต้องเสียสละก็จริง แต่เมื่อมองคนอื่นแล้ว เค้าได้ในสิ่งที่มากกว่าเรา ทั้งที่ถ้าเราไปอยู่ตรงนันได้ เราก็น่าจะทำได้เหมือนกัน
ประมาณนั้นค่ะ