ในสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระพุทธดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นวาจาทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และเป็นวาจาอันชนทั้งหลายไม่ติเตียน
องค์ ๔ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมกล่าวแต่วาจาที่คนดีกล่าว ไม่กล่าววาจาที่คนชั่วกล่าว ๑
ย่อมกล่าวแต่วาจาที่เป็นธรรมอย่างเดียว ไม่กล่าววาจาที่ไม่เป็นธรรม ๑
ย่อมกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รักอย่างเดียว ไม่กล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก ๑ (ผู้ฟังชอบใจสบายใจเมื่อได้ฟัง)
ย่อมกล่าวแต่วาจาจริงอย่างเดียว ไม่กล่าววาจาเท็จ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้แล เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นวาจาทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และเป็นวาจาอันวิญญูชนทั้งหลายไม่ติเตียน”
ครั้งนั้น ท่านพระวังคีสะลุกขึ้นจากอาสนะ ทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่งประนมมือไหว้พระผู้มีพระภาคแล้ว แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์”
ท่านพระวังคีสะได้ทูลสรรเสริญพระผู้มีพระภาคดังนี้
“บุคคลพึงกล่าวแต่วาจาที่ไม่เป็นเหตุยังตนให้เดือดร้อน และไม่เป็นเหตุเบียดเบียนผู้อื่น ทั้งวาจานั้นต้องเป็นสุภาษิต (คือวาจาที่กลั่นกรองดีแล้วว่ากล่าวได้ถูกต้องเหมาะกาละเทศะ เป็นความจริง ใช้ถ้อยคำเป็นที่ถูกใจผ้ฟัง ประกอบด้วยประโยชน์ กล่าวด้วยจิตที่เมตตา)
เป็นวาจาอันเป็นที่รัก ที่ชนทั้งหลายชื่นชมแล้ว ไม่ถือเอาคำที่ชั่วช้าทั้งหลาย กล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รักแก่ชน เหล่าอื่น
ทั้งยังเป็นคำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย เป็นของมีมาแต่เก่าก่อน สัตบุรุษทั้งหลายเป็นผู้ตั้งมั่นแล้วในคำสัตย์ ที่ เป็นอรรถและเป็นธรรม
พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด ซึ่ง เป็นวาจาเกษม เพื่อให้ถึงพระนิพพาน เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์พระวาจานั้นแลเป็นสูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย”
************************************************
สาวัตถีนิทาน สุภาษิตสูตรที่ ๕ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ขอเชิญอ่านพระสูตรบทเต็มได้ที่
http://www.84000.org/tipitaka/_mcu/v.php?B=15&A=6104&Z=6139
ขอเชิญอ่าน "เพลิงนรก ตาสวรรค์ ใต้ผืนไตรงามผู้ใดหยั่งรู้" ตั้งแต่ตอนที่ ๑ ได้ที่
http://toncoon.com/community/index.php?topic=2008.0
ขออนุโมทนาสามารถเผยแผ่เป็นธรรมทานได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
ขอสงวนสิทธิ์ในการจัดจำหน่าย
**************************************
ขอให้ทั้งหลายเจริญในธรรม มีธรรมเป็นที่ไป มีธรรมดำเนินไป มีธรรมนำทางไป
บุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงขอจงถึงแก่ อ.พ่อพันธุม คีริวัติ คุณแม่เสาวลักษณ์ เที่ยงธรรม ตลอดถึงบิดามารดาครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ผู้ถูกเบียดเบียนของข้าพเจ้าและทุกท่านที่ศึกษาพระธรรมร่วมกัน ขอพวกเราทั้งหลายจงเจริญแต่กุศลปิดหนทางอบาย ได้เวียนว่ายเพียงในเฉพาะสุคติภูมิ ไม่พบเจอกับทุคติวินิบาตนรกอีกตลอดทุกภพทุกชาติตราบถึงวันแห่งพระนิพพานด้วยเทอญ
#เพลิงนรก ตาสวรรค์ ใต้ผืนไตรงามผู้ใดหยั่งรู้ # ตอนที่ ๑๒. วาจาสุภาษิตคือ... (พระไตรปิฎก)
ในสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระพุทธดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นวาจาทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และเป็นวาจาอันชนทั้งหลายไม่ติเตียน
องค์ ๔ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมกล่าวแต่วาจาที่คนดีกล่าว ไม่กล่าววาจาที่คนชั่วกล่าว ๑
ย่อมกล่าวแต่วาจาที่เป็นธรรมอย่างเดียว ไม่กล่าววาจาที่ไม่เป็นธรรม ๑
ย่อมกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รักอย่างเดียว ไม่กล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก ๑ (ผู้ฟังชอบใจสบายใจเมื่อได้ฟัง)
ย่อมกล่าวแต่วาจาจริงอย่างเดียว ไม่กล่าววาจาเท็จ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้แล เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นวาจาทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และเป็นวาจาอันวิญญูชนทั้งหลายไม่ติเตียน”
ครั้งนั้น ท่านพระวังคีสะลุกขึ้นจากอาสนะ ทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่งประนมมือไหว้พระผู้มีพระภาคแล้ว แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์”
ท่านพระวังคีสะได้ทูลสรรเสริญพระผู้มีพระภาคดังนี้
“บุคคลพึงกล่าวแต่วาจาที่ไม่เป็นเหตุยังตนให้เดือดร้อน และไม่เป็นเหตุเบียดเบียนผู้อื่น ทั้งวาจานั้นต้องเป็นสุภาษิต (คือวาจาที่กลั่นกรองดีแล้วว่ากล่าวได้ถูกต้องเหมาะกาละเทศะ เป็นความจริง ใช้ถ้อยคำเป็นที่ถูกใจผ้ฟัง ประกอบด้วยประโยชน์ กล่าวด้วยจิตที่เมตตา)
เป็นวาจาอันเป็นที่รัก ที่ชนทั้งหลายชื่นชมแล้ว ไม่ถือเอาคำที่ชั่วช้าทั้งหลาย กล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รักแก่ชน เหล่าอื่น
ทั้งยังเป็นคำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย เป็นของมีมาแต่เก่าก่อน สัตบุรุษทั้งหลายเป็นผู้ตั้งมั่นแล้วในคำสัตย์ ที่ เป็นอรรถและเป็นธรรม
พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด ซึ่ง เป็นวาจาเกษม เพื่อให้ถึงพระนิพพาน เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์พระวาจานั้นแลเป็นสูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย”
************************************************
สาวัตถีนิทาน สุภาษิตสูตรที่ ๕ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ขอเชิญอ่านพระสูตรบทเต็มได้ที่
http://www.84000.org/tipitaka/_mcu/v.php?B=15&A=6104&Z=6139
ขอเชิญอ่าน "เพลิงนรก ตาสวรรค์ ใต้ผืนไตรงามผู้ใดหยั่งรู้" ตั้งแต่ตอนที่ ๑ ได้ที่ http://toncoon.com/community/index.php?topic=2008.0
ขออนุโมทนาสามารถเผยแผ่เป็นธรรมทานได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
ขอสงวนสิทธิ์ในการจัดจำหน่าย
**************************************
ขอให้ทั้งหลายเจริญในธรรม มีธรรมเป็นที่ไป มีธรรมดำเนินไป มีธรรมนำทางไป
บุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงขอจงถึงแก่ อ.พ่อพันธุม คีริวัติ คุณแม่เสาวลักษณ์ เที่ยงธรรม ตลอดถึงบิดามารดาครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ผู้ถูกเบียดเบียนของข้าพเจ้าและทุกท่านที่ศึกษาพระธรรมร่วมกัน ขอพวกเราทั้งหลายจงเจริญแต่กุศลปิดหนทางอบาย ได้เวียนว่ายเพียงในเฉพาะสุคติภูมิ ไม่พบเจอกับทุคติวินิบาตนรกอีกตลอดทุกภพทุกชาติตราบถึงวันแห่งพระนิพพานด้วยเทอญ