พ่อจากไปได้เกือบสามเดือน ยังร้องไห้ทุกวัน บางครั้งยังคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง

เราเพิ่งเสียพ่อไป บางครั้งยังคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ดูรูปก็ยังถามตัวเองว่า คนในรูปไม่อยู่กับเราแล้วเหรอ?
ตอนงานศพเราร้องไห้หนักมาก ตอนนี้ก็ร้องไห้เกือบทุกวัน ไม่ใช่ว่าเสียใจ แต่เพราะคิดถึงคนที่จากไป
ภาพวันสุดท้ายที่อยู่กับพ่อยังโผล่มาในสมอง เศร้าไหม? เศร้ามาก แต่พ่อสอนไว้ว่าอย่าให้อะไรมาพรากความสุขไปจากเรานาน
ซื้อของต้องจ่ายเงิน แต่ความสุขนั้นไม่มีราคา ไม่ว่าจะยากดีมีจนทุกคนก็มีได้เป็นกระบุง
หน้าที่เราไม่เพียงแต่ดูแลตัวเรา ครอบครัว แต่ต้องทำให้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย
เราเลยตั้งปณิธานไว้ว่าจะมีความสุขเพื่อคนรักที่จากไปด้วย


เราเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวเล็กๆ พ่อ-แม่-เรา และหมาๆ อีก 3 ตัว
พ่อแม่เราสร้างทุกอย่างเริ่มจากศูนย์ พ่อเป็นกรรมกรก่อสร้างขายแรง แม่ทำงานโรงงาน
ครอบครัวเราเริ่มจากเป็นหนี้รถมอเตอร์ไซต์ฮอนด้าเทน่า 1 คัน กับบ้านหลังเล็กๆ และทีวี 14 นิ้ว
เราเรียนจบ ป.ตรี ก็ให้พ่อหยุดทำงาน เราตั้งตัวได้ หาเงินได้สบายๆ พ่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก่อนจะป่วยราว 3 ปี เศษๆ
ความสุขของพ่อ คือ ได้ทำฟาร์มเล็กๆ เลี้ยงเป็ดไข่และไก่ชน อยู่บนที่นาไร่กว่าๆ ที่พ่อแม่วางแผนไว้จะใช้ชีวิตอยู่บั้นปลายร่วมกัน
เสาร์-อาทิตย์ พ่อพาหมาไปวิ่งเล่นตัดกำลัง เชียร์มวย ลงทุนในสนามไก่ชน หยอกเอิน(เปรี้ยวตรีน)เมีย
และโทรก่อกวนลูกให้ตื่น 6 โมงเช้าในวันหยุด...

พ่อมีอาการไข้ปวดตามตัวแบบเป็นๆ หายๆ  ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม ไปหาหมอที่ รพ.อำเภอ หมอบอกไข้หวัด ได้ยามากิน
กลางมีนาคม อาการยังเป็นตลอด แต่พ่อปกติดี เดินเหินสะดวก และยังหยอกเอินเมียสม่ำเสมอ
เรากลับบ้าน พาพ่อไป รพ. เอกชนชื่อดัง หมอบอกปอดอักเสบ กลับบ้านได้...ไปกินยาต่อ...
อาทิตย์ต่อมา...เรากลับบ้านอีกครั้ง พ่อเข้าฉุกเฉินไข้สูง 40 องศา แอดมิดด่วนที่ รพ.อำเภอ หมอบอก "ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ุเอ"
อยู่ห้องปลอดเชื้อ 2 อาทิตย์ เชื้อหมดแต่ไข้ไม่หาย กินยาก็ลดแต่หมดฤทธิ์ยาเธอมาใหม่ อยู่ห้องพิเศษต่อ 7 วัน พ่อเริ่มกินข้าวไม่ได้

พ่อบ่นอยากกลับบ้านตลอด บอกเรากับแม่ "ถ้ามีอะไรจะไม่ให้ผ่าตัด ไม่ให้ปั๊มหัวใจ" ให้ปล่อยพ่อไป พ่อเจ็บ พ่อทนไม่ไหว
รพ.อำเภอให้ยาฆ่าเชื้อหมดโดส ไม่หาย ส่งต่อ รพ.ขนาดใหญ่ในเมือง ให้ยาฆ่าเชื้อและหาโรคต่อ...เรากลับมาทำงาน แต่แม่ลางานยาว
หมอพยายามหาโรค เอ็กเรย์ สุดท้ายฉีดสี เจอก้อนเนื้อในกระเพาะ 9 เซ็นติเมตร...เราเหยียบคันเร่งมิด แม่สติหลุด หมอบอก "มะเร็ง"
พ่อตัดชิ้นเนื้อผ่านการสโคป (กลืนกล้องลงคอ) พ่อเจ็บมาก ขอไปรอฟังผลและทำใจที่บ้าน ทุกคนเจ็บปวดมาก
กลับบ้าน พ่อยังหัวเราะได้ เราอยู่กับพ่อตลอด ปวดก็นวด ไข้ก็เช็ดตัว น้ำหนักและแรงพ่อลดลงเร็วมาก พ่อกินข้าวไม่ได้ ปวดท้อง
ญาติๆ มานอนเป็นเพื่อน ลูกหลานมาหา เราซื้อยาสารพัดหวังให้พ่อบำรุง มะเร็งแล้วไง อยู่ได้เป็น 10 ปี

23 เมษา เราไปฟังผลคนเดียว ชิ้นเนื้อที่ตรวจ "ไม่เจอมะเร็ง" เรากลับไปพร้อมข่าวดีและความหวังหลายพันตัน
วันต่อมา หมอสั่งแอดมิดเพื่อตัดชิ้นเนื้ออีกรอบ สงสัยว่าอาจตัดตื้นไป พ่อยอม...ผลออกมา "ไม่เจอมะเร็ง"
หมอสั่งตรวจรอบที่ 3 พ่อไม่ยอม เจ็บ อยากกลับบ้าน...แม่และเราตามใจพ่อ หมอบอกถ้าพ่อยอม ให้ไป รพ.มหาราช เพื่อผ่าตรวจเลย

หลายคนถามทำไมไม่ส่องกล้องจะได้รู้ไปเลย ? ทำไมไม่ผ่าเลย ?
1. ชีวิตพ่อ ให้พ่อเลือกเอง พ่อใช้ชีวิตที่โดนบังคับมากพอแล้ว
2. พ่อกลัว เพราะปู่ ย่า ลุง ตายด้วยสาเหตุแบบนี้ ย่าผ่าท้องดู แต่ผลตรวจคือ "ไม่เจออะไร" กลับมานอนรอความตายอย่างทรมานที่บ้าน

เรากลับมาทำงาน บอกแม่ให้กล่อมพ่อ ถ้าไม่ได้ ให้เผื่อใจด้วย ถ้าไม่รักษา พ่อไม่รอด... เราต้องเข้มแข็ง ทุกวันเอาตรีนก่ายหน้าผากนอน
นับวันรอให้พ่อตัดสินใจ พลางให้กำลังใจแม่ ญาติยุ..คลินิกนั้น หมอคนนี้ ยาตัวนี้ "แม่จ๋า นอกจาก กทม. รพ.มหาราช หมอเก่งที่สุดแล้ว"
สรุปหมดไปหลายหมื่น ทั้งหมอคน หมอผี ไม่เป็นไรขอให้ดีขึ้น แต่พ่อแย่ลง แค่พลิกตัวก็ไม่มีแรง น้ำหนัก 110 เหลือ 90 ในไม่กี่เดือน
ไม่ถึง 10 วัน พ่ออ้วกเป็นเลือดดำ แม่โทรมาร้องไห้ ตีสี่เราบึ่งรถขอนแก่น-โคราช ปลุกตัวเอง มีสติ ต้องปลอดภัย เพราะใจอยู่ที่บ้านแล้ว...

7 โมงเช้า ลูกหลานประคองขึ้นรถ พ่อไม่มีแรงแม้แต่จะนั่งพิง สุดท้ายไปไม่ถึงรพ.มหาราช ต้องแวะให้เลือด รพ.อำเภอ พ่อเกือบหมดลม..
รพ.อำเภอ ส่งพ่อขึ้นรถฉุกเฉินไป รพ.มหาราช "ขอบคุณทุกคันที่หลีกทางให้ พ่อเราที่กำลังจะตายอยู่ในนั้น..."
พ่อถูกส่งเข้าห้องช่วยชีวิตฉุกเฉิน เรากับแม่หมดหวังแล้ว น้ำตาเป็นสาย ตั้งสติ หาทางใหม่
ภาพพ่อที่โดนเข็นออกมาขึ้นตึก พ่อที่ถูกสอดท่อทางคอ สายตามองหาเมียกับลูก มันยังอยู่ในสมองเราชัดเจน แม่ร้องไห้...เราเจ็บปวด

"กลับบ้าน" พ่อที่พยายามสื่อสารผ่านท่อและสายระโยงระยาง ณ ห้อง semi icu ชั้น 5 "พ่อจ๋า...ไม่เป็นไร ลูกจะดูแลแม่และทุกอย่างเอง"
เรากับแม่อาจวุ่นวาย อาจโลเล แต่สุดท้ายพ่อไปสบาย ไม่เจ็บปวด กราบขอบคุณหมอ พยาบาล ที่เข้าใจ
กราบเท้าขอโทษพ่อ ไม่สามารถพาพ่อกลับไปตายที่บ้านได้ ไม่อยากให้พ่อทรมานกว่าจะหมดลม และถ้าพ่อตายที่บ้าน...แม่อยู่ไม่ได้
15.30 วันต่อมา พ่อจากไปอย่างสงบ แม้ตีสามพ่อไม่ขยับตัวแล้ว แต่สมองพ่อยังรับรู้ได้ ญาติมาส่งพ่อ แม่ได้เช็ดตัวให้พ่อก่อนหมดลม
ลูกคนนี้ได้กราบเท้าลา ลาแล้วพ่อจ๋า หากมีบุญวาสนา ชาติหน้าขอเป็นลูกพ่ออีก...

คืนนั้นก่อนพ่อเสีย เราสัญญาว่าจะพาพ่อกลับบ้านในวันต่อมา แล้วเราก็ได้พาพ่อกลับบ้านจริงๆ
การลาจากมันโศกเศร้ามาก วินาทีที่พ่อจากไป แม่กรีดร้อง แต่เรายังไม่เข้าใจ จนหมอมาบอกว่าพ่อได้จากไปแล้ว ให้รีบเดินเอกสาร
ไม่มีแม้แต่เวลาเสียใจ เราฝากแม่ไว้กับญาติๆ เรารีบวิ่งไปถ่ายเอกสาร วิ่งไปทำเรื่อง "พาพ่อกลับบ้าน" ให้ทัน 4 โมงเย็น
8 พฤษภาคม 2561 15.45 น. ภาพผู้หญิงตัวเล็กๆ กลมๆ นั่งงงๆ อยู่หน้าเค้าเตอร์แจ้งตาย...นั่นคือเราเอง

มันเจ็บจนจุก แรกๆ เราคิดตลอด โทษตัวเองซ้ำๆ เราพลาดตรงไหน? ทำไมพ่อตายในเวลาแค่ 2 เดือนกว่าๆ มันเร็วมาก
ทำไมเราไม่กอด ไม่นวด ไม่ดูแลพ่อให้มากกว่านี้ ... แต่พ่อตายไปแล้ว ตายแบบคนมีบุญ ไม่ทรมาน ไม่นอนติดเตียง
เสียดายที่ได้เลี้ยงดูพ่อน้อยไปหน่อย อาจไม่ได้สุขสบายมาก แต่ก็เต็มไปด้วยความสุข ตอนนี้ก็ให้เวลากับแม่มากขึ้นอีก กลับบ้านทุกเดือน
แม่บอกว่า ลูก คือ ความภูมิใจของพ่อ ความรักของพ่อ ความสุขของพ่อ
"ตอนนี้พ่อคงกำลังเฝ้ามอง แอบแกล้งและหัวเราะเยาะเราอยู่แน่ๆ" แม่กล่าว 5555
.... ใช้ชีวิตให้มีความสุขต่อไป .... ยิ้มเข้าไว้ลูกของพ่อ


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่