ปฏิเสธไม่ได้ว่า รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือที่เราเรียกว่า บิ๊กไบค์ นับวันเป็นที่นิยมและมีรุ่นใหม่ๆออกมาเรื่อยๆทุกปีๆ ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา และมีกระแส ทั้งด้าน บวก และ ลบ ออกมาเป็นจำนวนมาก ด้วยสมรรถนะที่ทำความเร็วได้สูงและแรงกระชากของรถ รวมถึงน้ำหนักที่มาก ส่งผลให้ผู้ขับขี่ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า เสียชีวิตไปแล้วหลายราย เนื่องจากความคึกคะนอง หรือไม่คุ้นกับรถก็ตาม แม้ยอดอุบัติเหตุจะไม่เทียบเท่ารถยนต์ที่มีมาก่อน แต่ก็มีเปอร์เซ็นต์ที่จะเสียชีวิตมากกว่ารถประเภทอื่นเช่นกัน
รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือ บิ๊กไบค์ เป็นรถจักรยานยนต์ที่มีความสามารถในการขับขี่มากกว่าจักรยานยนต์ขนาดเล็ก โดยในต่างประเทศถือให้รถจักรยานยนต์แบบนี้มีความสามารถในการขับขี่เท่ากับรถยนต์หนึ่งคัน หากที่ผ่านมาแม้ว่ารถแบบนี้จะเข้ามาในไทยนานนม จนขายและขี่กันเกลื่อนเมือง
หากด้วยบทกฎหมายตัวหลักที่ล้าหลังมาตั้งแต่สมัย พ.ศ.2522 ทำให้ยังไม่มีการกำหนดขอบเขตของรถอย่างชัดเจน ทำเอาทั้งผู้ขับขี่และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต่างปวดหัว ในแง่การใช้งานหรือการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย เพราะรถเหล่านี้ถ้า
มองด้วยพื้นฐานก็เป็นแค่รถจักรยานยนต์ 1 คัน ซึ่งมีการกำหนดข้อกฎหมายต่างๆที่ยังไม่เหมาะสมอย่างที่มันควรจะเป็น
กว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเด็นเรื่อง ใบขับขี่บิ๊กไบค์ กลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง จากการพยายามผลักดันจากสังคมให้รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่มีสิทธิมากกว่ารถเล็ก ซึ่งจำเป็นต่อการขับขี่รถประเภทนี้ที่ทั้งมีขนาดใหญ่ น้ำหนัก และแถมยังมีความสามารถในการขับขี่ทางไกลได้เท่ากับรถยนต์ หรือมากกว่าด้วยซ้ำ
ซึ่งความต้องการเหล่านี้ถูกผลักดันออกมาภายใต้ความต้องการให้มีใบขับขี่เฉพาะ เพื่อสกัดกันคนที่ไม่มีความรู้ความสามารถ และหรืออย่างน้อยที่สุดให้คนที่อยากจะมาหัดขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่มีโอกาส และต้องเตรียมตัวรับกับความแตกต่างของการขับขี่ ที่ต่างจากรถมอเตอร์ไซค์จ่ายกับข้าวขนาดไม่เกิน 150 ซีซี ที่เคยนิยมโดยสิ้นเชิง
เรื่องราวนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2016 โดยมีกระแสข่าวหนาหูว่า ทางภาครัฐตัดสินใจในการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ โดยขอให้มีใบอนุญาตประเภทใหม่ หรือที่เรียกกันว่า ใบขับขี่บิ๊กไบค์ และอาจรวมถึงการปรับแนวทางการเสียภาษีตัวรถใหม่จากเดิมเสียเป็นคันต่อปี อาจจะมีการคิดเป็นตามอัตราภาษีตามพิกัดซีซีคล้ายรถยนต์ ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้มากขึ้น
มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยหวังว่าจะก่อให้เกิดสิทธิประโยชน์ในการขับขี่บิ๊กไบค์มากขึ้น เช่น สามารถข้ามสะพานข้ามแยก , ลงอุโมงค์ หรือใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ได้ เนื่องจากทีผ่านมาประสบปัญหาในการขับขี่ ไม่ได้เป็นการอนุญาตให้ขับอย่างถูกกฎหมายเสียที หลังอาศัยแนวทางอารยขัดขืนที่จำเป็นด้วยสมรรถนะของรถที่สูงในการขับขี่ จนกลายเป็นบิ๊กไบค์พ่วงผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กให้เสียนิสัยตามไปด้วย
เรื่องราว ใบขับขี่บิ๊กไบค์ จางหายไปท่ามกลางวงการข่าว จนกระทั่งเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมีประเด็นกลับมาพูดถึงอีกครั้ง เมื่อมีคนส่งภาพที่ดูเหมือนภาพ
ร่างราชกิจจานุเบกษา ที่
ยังไม่ได้ออกประกาศบังคับใช้ ขึ้นสู่โลกออนไลน์ พร้อมมีการระบุว่า ความหวังเรื่องใบขับขี่บิ๊กไบค์ อาจกลับมาอีกครั้ง แหล่งข่าวชิ้นดังกล่าว ชี้ว่า ตามข้อมูลจะมีการบัญญัติให้รถที่มีกำลังเครื่องยนต์
มากกว่า 35 กิโลวัตต์ (มีกำลังเกิน 47 แรงม้า) หรือมีขนาดปริมาตรเครื่องยนต์รวม
เกิน 400 ซีซี ต้องขอรับใบอนุญาตใหม่
อันหมายถึงใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ปกติ จะขี่ได้สูงสุดคือ รถกลุ่มคลาส
ไม่เกิน 400 ซีซี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่แล้วหลังจากนั้น ไม่กี่วันกรมการขนส่งทางบกได้มีการนัดประชุมตัวแทนของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ มาร่วมหารือที่กรมการขนส่งทางบกพื้นที่.5 แต่เรื่องเป็นอย่างไรต่อไม่ทราบได้ จนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครทราบว่าท้ายที่สุดแล้ว การที่จะทำใบขับขี่นี้จะใกล้เป็นรูปธรรมหรือไม่อย่างไร
ส่วนตัวผมเองก็ได้ไปเข้าคอสอบรมณ์การขับขี่บิ๊กไบค์ทุกปี จนรถจะพัง ใบประกาศเป็นปึกๆอยู่แล้ว ยังไม่เห็นวี่แววจะได้ไปทำใบขับขี่เสียที
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.ridebuster.com/bigbike-license-scoop/
ใบขับขี่บิ๊กไบค์ อนาคตหรือความฝันเพ้อเจ้อ
รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือ บิ๊กไบค์ เป็นรถจักรยานยนต์ที่มีความสามารถในการขับขี่มากกว่าจักรยานยนต์ขนาดเล็ก โดยในต่างประเทศถือให้รถจักรยานยนต์แบบนี้มีความสามารถในการขับขี่เท่ากับรถยนต์หนึ่งคัน หากที่ผ่านมาแม้ว่ารถแบบนี้จะเข้ามาในไทยนานนม จนขายและขี่กันเกลื่อนเมือง
หากด้วยบทกฎหมายตัวหลักที่ล้าหลังมาตั้งแต่สมัย พ.ศ.2522 ทำให้ยังไม่มีการกำหนดขอบเขตของรถอย่างชัดเจน ทำเอาทั้งผู้ขับขี่และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต่างปวดหัว ในแง่การใช้งานหรือการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย เพราะรถเหล่านี้ถ้ามองด้วยพื้นฐานก็เป็นแค่รถจักรยานยนต์ 1 คัน ซึ่งมีการกำหนดข้อกฎหมายต่างๆที่ยังไม่เหมาะสมอย่างที่มันควรจะเป็น
กว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเด็นเรื่อง ใบขับขี่บิ๊กไบค์ กลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง จากการพยายามผลักดันจากสังคมให้รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่มีสิทธิมากกว่ารถเล็ก ซึ่งจำเป็นต่อการขับขี่รถประเภทนี้ที่ทั้งมีขนาดใหญ่ น้ำหนัก และแถมยังมีความสามารถในการขับขี่ทางไกลได้เท่ากับรถยนต์ หรือมากกว่าด้วยซ้ำ
ซึ่งความต้องการเหล่านี้ถูกผลักดันออกมาภายใต้ความต้องการให้มีใบขับขี่เฉพาะ เพื่อสกัดกันคนที่ไม่มีความรู้ความสามารถ และหรืออย่างน้อยที่สุดให้คนที่อยากจะมาหัดขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่มีโอกาส และต้องเตรียมตัวรับกับความแตกต่างของการขับขี่ ที่ต่างจากรถมอเตอร์ไซค์จ่ายกับข้าวขนาดไม่เกิน 150 ซีซี ที่เคยนิยมโดยสิ้นเชิง
เรื่องราวนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2016 โดยมีกระแสข่าวหนาหูว่า ทางภาครัฐตัดสินใจในการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ โดยขอให้มีใบอนุญาตประเภทใหม่ หรือที่เรียกกันว่า ใบขับขี่บิ๊กไบค์ และอาจรวมถึงการปรับแนวทางการเสียภาษีตัวรถใหม่จากเดิมเสียเป็นคันต่อปี อาจจะมีการคิดเป็นตามอัตราภาษีตามพิกัดซีซีคล้ายรถยนต์ ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้มากขึ้น
มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยหวังว่าจะก่อให้เกิดสิทธิประโยชน์ในการขับขี่บิ๊กไบค์มากขึ้น เช่น สามารถข้ามสะพานข้ามแยก , ลงอุโมงค์ หรือใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ได้ เนื่องจากทีผ่านมาประสบปัญหาในการขับขี่ ไม่ได้เป็นการอนุญาตให้ขับอย่างถูกกฎหมายเสียที หลังอาศัยแนวทางอารยขัดขืนที่จำเป็นด้วยสมรรถนะของรถที่สูงในการขับขี่ จนกลายเป็นบิ๊กไบค์พ่วงผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กให้เสียนิสัยตามไปด้วย
เรื่องราว ใบขับขี่บิ๊กไบค์ จางหายไปท่ามกลางวงการข่าว จนกระทั่งเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมีประเด็นกลับมาพูดถึงอีกครั้ง เมื่อมีคนส่งภาพที่ดูเหมือนภาพร่างราชกิจจานุเบกษา ที่ ยังไม่ได้ออกประกาศบังคับใช้ ขึ้นสู่โลกออนไลน์ พร้อมมีการระบุว่า ความหวังเรื่องใบขับขี่บิ๊กไบค์ อาจกลับมาอีกครั้ง แหล่งข่าวชิ้นดังกล่าว ชี้ว่า ตามข้อมูลจะมีการบัญญัติให้รถที่มีกำลังเครื่องยนต์มากกว่า 35 กิโลวัตต์ (มีกำลังเกิน 47 แรงม้า) หรือมีขนาดปริมาตรเครื่องยนต์รวม เกิน 400 ซีซี ต้องขอรับใบอนุญาตใหม่
อันหมายถึงใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ปกติ จะขี่ได้สูงสุดคือ รถกลุ่มคลาส ไม่เกิน 400 ซีซี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่แล้วหลังจากนั้น ไม่กี่วันกรมการขนส่งทางบกได้มีการนัดประชุมตัวแทนของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ มาร่วมหารือที่กรมการขนส่งทางบกพื้นที่.5 แต่เรื่องเป็นอย่างไรต่อไม่ทราบได้ จนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครทราบว่าท้ายที่สุดแล้ว การที่จะทำใบขับขี่นี้จะใกล้เป็นรูปธรรมหรือไม่อย่างไร
ส่วนตัวผมเองก็ได้ไปเข้าคอสอบรมณ์การขับขี่บิ๊กไบค์ทุกปี จนรถจะพัง ใบประกาศเป็นปึกๆอยู่แล้ว ยังไม่เห็นวี่แววจะได้ไปทำใบขับขี่เสียที
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก: [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้