.
มันเป็นเรื่องง่าย เล่นไม่ยาก...ใคร ๆ ก็ต้องเคยเล่น เป่า-ยิ้ง-ฉุบ หลังจากเล่นแล้วทุกคนจะมีรอยยิ้ม...ดวงตาเป็นประกาย...จบเกม ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน...ใช่แล้ว...มันควรจะจบลงง่ายดาย และไม่ควรมีอะไรมากไปกว่านี้...มันก็เพียงการละเล่นของเด็กๆ เท่านั้น....ใช่ไหม...
ไม่....
ถ้าคุณเชื่อว่ามีบวกก็ต้องมีลบ...ถ้ามีกลางวันอันสว่างเจิดจ้า...คุณต้องยอมรับว่ามีรัตติกาลมาเยือน...ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้า..คุณต้องยอมรับการมีของซาตาน...คุณจะไม่มีวันหัวเราะอย่างเดียวโดยไม่รู้จักคำว่าร้องไห้ เหรียญบาทหนึ่งเหรียญยังมีสองด้าน...หัวกับก้อย...จะมีด้านเดียวไม่ได้ ถ้าคุณจะใช้เงิน คุณต้องใช้เหรียญทั้งสองข้างในเวลาเดียวกัน แต่ เป่า-ยิ้ง-ฉุบ เป็นมากกว่านั้น
• ค้อน : ชนะกรรไกร แต่แพ้กระดาษ
• กระดาษ : ชนะค้อน แต่แพ้กรรไกร
• กรรไกร : ชนะกระดาษ แต่แพ้ค้อน
การเล่น ผู้เล่นจะหันหน้าเข้าหากัน ไพล่มือที่จะเสี่ยงไว้ด้านหลัง เมื่อนับ "เป่า ยิ้ง"... หมายถึงการเตรียมพร้อมจะลงสู่ผลแพ้ชนะ...จะเตรียมเสี่ยงมือเอาไว้ ว่าจะออกเป็น ค้อน... กระดาษ... หรือกรรไกร... เมื่อพูด ‘ฉุบ’ ผูเล่นจะออกมือมาพร้อมกัน และจะรู้ทันทีว่าใครแพ้ หรือชนะ เหมือนกับยอมรับความเป็นและความตาย…เสียงหัวเราะหรือหยาดน้ำตา
เธอนอนนิ่งอยู่บนเตียง ลมหายใจแผ่วเบาราวกำลังจะจางหาย ในห้องของโรงพยาบาลอันมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ พ่อแม่พี่น้องและบรรดาญาติ รอนอกห้อง สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เธอกำลังจะตาย
ถ้าเธอไม่ ‘กำลังจะตาย’ ผมคงไม่มีโอกาสมาพบเธอแบบนี้.....ใครบ้างจะรับและรู้ว่า ผู้หญิงสูงส่งร่ำรวย จะมาคบกับผู้ชายที่แทบไม่มีอะไร นอกจากการพยายามจัดการให้ร่างกายและชีวิตอยู่ด้วยกันให้ได้ไปวัน ๆ เท่านั้น...แต่เมื่อสายใยสุดท้ายกำลังจะขาดหาย....คนเหล่านั้นก็เปิดโอกาสให้ผม....ผู้ซึ่งมีเสียงเรียกชื่อร่ำร้องออกจากปากของเธอ..ในช่วงสุดท้ายของชีวิต
เป่า-ยิ้ง-ฉุบ…มาเล่นกัน...
เธอยังละเมอและพูดซ้ำซาก ทั้งที่มือไม่มีแรง ผมจับมือของเธอมาแนบแก้ม...ปล่อยให้น้ำตาไหลผ่านราวสายธารอันเจ็บปวดทรมาน
เป่า-ยิ้ง-ฉุบ… เสียงใสๆ หน้าใส ๆ แก้มใส ๆ ประกายตาสดใส....รอยยิ้มสดชื่น.....ของเด็กหญิงวัยไม่ถึงสิบขวบ สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เธอออกค้อน...
ที่จริงแล้วผมออกกระดาษ..กระดาษที่จะห่อค้อนให้แพ้...ในเสี้ยวพริบตา...ผมเปลี่ยนเป็นกรรไกร ใช่แล้ว...ผมแพ้เธอ...แพ้เพื่อแลกกับรอยยิ้ม และดวงตาอันเป็นประกาย การยอมแพ้ บางครั้งสวยงามมากกว่าชัยชนะ ถ้าเพียงเรารู้จักแกล้งแพ้ด้วยความหวังดีเท่านั้น
“เธอแพ้เราเป็นครั้งที่สิบแล้วนะ”
เธอตอกย้ำความพ่ายแพ้...ผมแอบยิ้มในใจ..ถึงผมไม่ใช่คนแก่แดด แต่ตอนนั้น ผมก็รู้ว่า มีอะไรบางอย่างมีความหมายมากกว่าชัยชนะ ไม่เห็นผิดและเสียเกียรติตรงไหนเลย ในการที่ผู้ชายจะ ‘แกล้ง’ ยอมแพ้ผู้หญิง ผมพร้อมจะอ่อนข้อและตามง้อเธอเสมอ.ไม่ว่าจะถูกหรือผิด...ทั้งที่บางเรื่องผมไม่ได้ผิด...แต่ผมคิดว่าพวกผู้หญิงมีไว้เพื่อง้อ...ผมคิดแบบนี้จริง ๆ ถึงมันจะไม่ถูกต้องกับในมุมมองของใครหลายคน
เอาชนะผู้หญิง...ได้..แต่ผมมองไม่เห็นว่า มันมีคุณค่าควรภาคภูมิใจตรงไหนเลย
“เธอแพ้แล้ว.......” คำง่าย ๆ แต่มีความหมายพิเศษกับบางสถานการณ์ กับคนที่รัก ทำไมแค่ยอมแพ้จะยอมไม่ได้...ไม่รุ้ว่าคิดถูกหรือคิดผิด รู้เพียงต้องคิดแบบนี้ โดยเฉพาะกับเธอ เธอร้องและหัวเราะอย่างดีใจ...แล้วผมก็ยิ้มแบบเออออห่อหมกไปด้วย...แพ้ก็แพ้สิ ไม่เห็นเป็นไร
“ยังไงเธอก็แพ้เรา” เธอบอกตอกย้ำชัยชนะ ผมได้แต่ยิ้ม และไม่คิดว่าการเล่นแบบนี้จะมีผลยาวนานต่อเนื่อง
เวลานี้....เธอกำลังจะตาย มัจจุราชกำลังเดินทางมาเยือน... แต่ผมไม่มีวันจะร้องไห้...แม้ว่าเธอจะนอนสงบนิ่งก็ตาม...ผมจะไม่มีวันยอมให้เธอเห็นความอ่อนแอเด็ดขาด....ถ้าจะอดรนทนไม่ได้ ก็จะขอแอบร้องไห้....ไม่ให้เธอเห็นหรือรับรู้...จะซ่อนความเจ็บปวดไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ จะไม่ให้หยดน้ำตาของผมกัดกร่อนเธอแม้เพียงเศษเสี้ยว
มือของเธอยังขยับเล็กน้อย ผมรู้ว่าเธอรู้ว่า ผมอยู่ข้าง ๆ
มาเล่น....เป่ายิ้งฉุบ กันต่อไหม....
เธอไม่เคยชนะฉันเลยนะ เสียงของเธอดังก้องในใจ...เป่า-ยิ้ง-ฉุบ…เป็นเกมที่เราสองเล่นกันมานานหลายปี กระทั่งต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปเรียน...ตามเล่นทางของชีวิต แต่ถึงจะห่างไกลแต่ไม่ห่างหาย ผมรู้ว่าเธอต้องคิดถึงผม
คนแพ้....ต้องปีนขึ้นไปเก็บลูกมะไฟนะ....
ใช่..ผมต้องแพ้...เพราะไม่อยากให้เธอปีนต้นมะไฟกลางทุ่งนา แล้วโดนมดแดงรุมกัด นั่นเป็นวิถีชีวิตของชาวชนบทอย่างพวกเรา
คนแพ้ต้องไปตักน้ำนะ
ใช่...ผมต้องแพ้ เพื่อที่จะรับภาระหิ้วถังไปตักน้ำจากบ่อน้ำมาใส่โอ่งน้ำของบ้านเธอ...ผมจะยอมให้เธอทำอย่างนั้นได้อย่างไรกันใช่ไหมครับ...ถ้า คุณจะรักใครสักคนมากพอ คุณก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายยอมแพ้
คนแพ้ต้องก่อไฟหุงข้าว....
ใช่แล้ว.....ผมยอมหน้าดำมอมแมม กับการก่อไฟหุงข้าว ขณะที่เธอนั่งยิ้มและมองดูอยู่ข้าง ๆ อย่างสนุกสนาน
คนแพ้ต้องยอมให้ขี่หลังกลับบ้านนะ
นั่นเป็นความผูกพันอันบริสุทธิ์ในวัยเด็ก เป็นความทรงจำที่ดี และควรค่าแก่การจดจำ
แต่ตอนนี้เธอกำลังจะตาย อาการป่วยซึ่งพวกหมอยังงุนงง ผมมองเห็น..ในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น...รู้ถึงสิ่งที่ไม่ควรเชื่อแต่มันมาปรากฏตรงหน้า.....ไม่ใช่ฝันร้าย แต่ความจริงบางอย่างยิ่งกว่าฝันร้าย ปีศาจร้ายในเสื้อคลุมสีดำ...มือซ้ายถือเคียวเกี่ยววิญญาณ มันจะมาเอาชีวิตของเธอ ผมรู้แบบนั้น...และทูตมรณะนั่นก็คงรู้ มันใช้สายตาเหมือนมีไฟลุกโชนในเบ้าตาจ้องมองอย่างประหลาดใจ
“แกเอาเธอไปไม่ได้....”
ผมคำราม ทั้งที่รู้ว่าไม่รู้จะเอาอะไรไปต่อต้านทูตแห่งความตายนั้น ยังจะมีอะไรทรงพลานุภาพมากไปกว่าความตายได้อีกล่ะ...แต่ผมก็ต้องทำอะไรก็ได้เพื่อปกป้องคนที่ผมรัก ต่อให้กระโจนลงในหุบเหว หรือหล่มไฟก็พร้อมจะทำโดยไม่ลังเล ใบหน้าที่มีแต่กระดูกแสยะยิ้ม ก่อนส่งเสียงคำรามเสียงต่ำแหบพร่า
“จะเอายังไง” น้ำเสียงของมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ลักษณะอาการเหมือนแมวจับหนูได้แล้ว ยังไม่ยอมฆ่า แต่ใช้อุ้งเท้าตบไปมาจนกว่าจะเบื่อแล้วค่อยจัดการ
“ถ้าเราชนะ แกต้องปล่อยเธอ” ผมพูดเสียงแข็ง โดยไม่มีความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย ผมไม่มีอะไรต้องกลัว เพียงมีสิ่งจะเสียคือชีวิตเท่านั้น แต่ก็พร้อมจะลงทุน แม้ว่าโอกาสแพ้เกือบเต็มร้อย
“ว่ามา.....”
“เป่า-ยิ้ง-ฉุบ ตาเดียว.......” ผมบอกอย่างตัดสินใจครั้งสุดท้าย ปีศาจแหงนหน้าหัวเราะเสียงกังวาน เป็นเสียงหัวเราะของปีศาจที่มองเห็นชะตากรรมของคู่ต่อสู้แบบเด่นชัดไม่ต้องสงสัย
“เล่นเป็นเด็ก......ก็ได้...แต่เอาอะไรมาเดิมพัน” ปีศาจส่งเสียงถามเหมือนจะเย้ย
“วิญญาณของฉันไง...พวกแกอยากได้มากไม่ใช่เหรอ”
ภูตแห่งความตายหัวเราะอีกครั้ง ยังจะมีอะไรหอมหวานเย้ายวนใจปีศาจมากไปกว่าวิญญาณของมนุษย์ นั่นล่ะ... จุดประสงค์ของพวกมัน พวกปีศาจก็มักคิดและทำเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ
“ตกลง... ช้าจะยอมลดตัวสนุกกับพวกมนุษย์ดูบ้างสักครั้ง”
เสียงจอมปีศาจคำรนคำรามกึกก้อง กลิ่นกำมะถันกระจายไปทั่วห้อง ประกายไฟแตกวาบอยู่รอบตัวเหมือนจะเป็นการข่มขวัญ แต่ว่ามันใช้ไม่ได้ผลกับผมเสียแล้ว ตอนนี้ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เพราะผมกำลังจะปกป้องคนรักของผมอย่างสุดชีวิตจิตใจ
“ระวัง”
มันส่งเสียงเตือนแบบปราศจากความหวังดี มือซ้ายของมันซ่อนอยู่ด้านหลัง ที่รัก... ผมจะช่วยคุณ พยายามทำเพื่อคุณ หากผมพลาดไป อภัยให้ผมด้วย
ฟ้าส่งเสียงครืนใหญ่ เจิดจ้ากว่าแสงแห่งดวงอาทิตย์
เป่า
ยิ้ง
ฉุบ…
ผมออกกรรไกร.. มันออกไปตามความเคยชิน ออกกรรไกรไปทั้งที่รู้ว่าแบบนี้เคยแพ้ไปทุกครั้ง เสียงปีศาจคำรามจนแสบแก้วหู
มันออกค้อน!!
ค้อนชนะกรรไกร เด็ก ๆ ก็รู้ สมควรแล้วที่ทูตมรณะจะหัวเราะด้วยความพึงพอใจ มันสมควรชนะผม..ผู้รับบทผู้แพ้ตลอดเวลา มันก็สมควรแล้ว
“วิญญาณแกเป็นของข้า”
ทูตมรณะ เงาแห่งความตายหัวเราะอย่างลำพองใจอีกครั้ง หัวเราะอย่างยาวนานแบบสาสมใจ....ในที่สุดก็ยื่นมือปราดออกมา แต่แล้วก็ชะงักค้างเหมือนคว้าใส่ความว่างเปล่า สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่เข้าใจ
แทนคำตอบ ผมหันไปมองนางอันเป็นที่รัก มองมือขวาของเธอซึ่งโผล่พ้นผ้าห่มออกมา
มือของเธอออกกระดาษ!
เป็นการเล่นเป่า-ยิ้ง-ฉุบ ครั้งสุดท้ายของเธอ และมีความหมายความสำคัญมากที่สุด แล้วผมก็เริ่มหัวเราะใส่หน้าทูตมรณะ
“แต่แกประมาทจนลืมคิดให้ดี.....คนที่แข่งกับแกไม่ใช่ฉัน...แต่เป็นเธอ”
ผมอยากหัวเราะให้บ้าตาย มันลืมคำที่ผมบอกว่า
“ถ้าเเราชนะ แกต้องปล่อยเธอ” จ้าวแห่งความตายก็ยังรู้พลาดเพราะความเชื่อมั่นและยะโสโอหัง แบบปีศาจแท้ ๆ
“แกโกง.” ทูตมรณะเบิกตากว้าง...ร้องเสียงกึกก้องยาวนาน...แต่สายเกินเสียแล้ว ถึงจะเป็นปีศาจก็ยังอยู่ใต้กฎของคำสัญญา ร่างของมันบิดเบี้ยวดิ้นรนไปมาก่อนจางหายไปราวฝุ่นควัน แต่คิดว่ามันยังมีโอกาสได้ยินคำพูดของผมที่บอกว่า
“โกงอย่างไม่ผิดกติกา ก็ไม่ถือว่าโกง”
ใช่....มันสมควรเป็นแบบนี้ โดยเฉพาะกับพวกปีศาจ
.
เป่า-ยิ้ง-ฉุบ
มันเป็นเรื่องง่าย เล่นไม่ยาก...ใคร ๆ ก็ต้องเคยเล่น เป่า-ยิ้ง-ฉุบ หลังจากเล่นแล้วทุกคนจะมีรอยยิ้ม...ดวงตาเป็นประกาย...จบเกม ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน...ใช่แล้ว...มันควรจะจบลงง่ายดาย และไม่ควรมีอะไรมากไปกว่านี้...มันก็เพียงการละเล่นของเด็กๆ เท่านั้น....ใช่ไหม...
ไม่....
ถ้าคุณเชื่อว่ามีบวกก็ต้องมีลบ...ถ้ามีกลางวันอันสว่างเจิดจ้า...คุณต้องยอมรับว่ามีรัตติกาลมาเยือน...ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้า..คุณต้องยอมรับการมีของซาตาน...คุณจะไม่มีวันหัวเราะอย่างเดียวโดยไม่รู้จักคำว่าร้องไห้ เหรียญบาทหนึ่งเหรียญยังมีสองด้าน...หัวกับก้อย...จะมีด้านเดียวไม่ได้ ถ้าคุณจะใช้เงิน คุณต้องใช้เหรียญทั้งสองข้างในเวลาเดียวกัน แต่ เป่า-ยิ้ง-ฉุบ เป็นมากกว่านั้น
• ค้อน : ชนะกรรไกร แต่แพ้กระดาษ
• กระดาษ : ชนะค้อน แต่แพ้กรรไกร
• กรรไกร : ชนะกระดาษ แต่แพ้ค้อน
การเล่น ผู้เล่นจะหันหน้าเข้าหากัน ไพล่มือที่จะเสี่ยงไว้ด้านหลัง เมื่อนับ "เป่า ยิ้ง"... หมายถึงการเตรียมพร้อมจะลงสู่ผลแพ้ชนะ...จะเตรียมเสี่ยงมือเอาไว้ ว่าจะออกเป็น ค้อน... กระดาษ... หรือกรรไกร... เมื่อพูด ‘ฉุบ’ ผูเล่นจะออกมือมาพร้อมกัน และจะรู้ทันทีว่าใครแพ้ หรือชนะ เหมือนกับยอมรับความเป็นและความตาย…เสียงหัวเราะหรือหยาดน้ำตา
เธอนอนนิ่งอยู่บนเตียง ลมหายใจแผ่วเบาราวกำลังจะจางหาย ในห้องของโรงพยาบาลอันมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ พ่อแม่พี่น้องและบรรดาญาติ รอนอกห้อง สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เธอกำลังจะตาย
ถ้าเธอไม่ ‘กำลังจะตาย’ ผมคงไม่มีโอกาสมาพบเธอแบบนี้.....ใครบ้างจะรับและรู้ว่า ผู้หญิงสูงส่งร่ำรวย จะมาคบกับผู้ชายที่แทบไม่มีอะไร นอกจากการพยายามจัดการให้ร่างกายและชีวิตอยู่ด้วยกันให้ได้ไปวัน ๆ เท่านั้น...แต่เมื่อสายใยสุดท้ายกำลังจะขาดหาย....คนเหล่านั้นก็เปิดโอกาสให้ผม....ผู้ซึ่งมีเสียงเรียกชื่อร่ำร้องออกจากปากของเธอ..ในช่วงสุดท้ายของชีวิต
เป่า-ยิ้ง-ฉุบ…มาเล่นกัน...
เธอยังละเมอและพูดซ้ำซาก ทั้งที่มือไม่มีแรง ผมจับมือของเธอมาแนบแก้ม...ปล่อยให้น้ำตาไหลผ่านราวสายธารอันเจ็บปวดทรมาน
เป่า-ยิ้ง-ฉุบ… เสียงใสๆ หน้าใส ๆ แก้มใส ๆ ประกายตาสดใส....รอยยิ้มสดชื่น.....ของเด็กหญิงวัยไม่ถึงสิบขวบ สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เธอออกค้อน...
ที่จริงแล้วผมออกกระดาษ..กระดาษที่จะห่อค้อนให้แพ้...ในเสี้ยวพริบตา...ผมเปลี่ยนเป็นกรรไกร ใช่แล้ว...ผมแพ้เธอ...แพ้เพื่อแลกกับรอยยิ้ม และดวงตาอันเป็นประกาย การยอมแพ้ บางครั้งสวยงามมากกว่าชัยชนะ ถ้าเพียงเรารู้จักแกล้งแพ้ด้วยความหวังดีเท่านั้น
“เธอแพ้เราเป็นครั้งที่สิบแล้วนะ”
เธอตอกย้ำความพ่ายแพ้...ผมแอบยิ้มในใจ..ถึงผมไม่ใช่คนแก่แดด แต่ตอนนั้น ผมก็รู้ว่า มีอะไรบางอย่างมีความหมายมากกว่าชัยชนะ ไม่เห็นผิดและเสียเกียรติตรงไหนเลย ในการที่ผู้ชายจะ ‘แกล้ง’ ยอมแพ้ผู้หญิง ผมพร้อมจะอ่อนข้อและตามง้อเธอเสมอ.ไม่ว่าจะถูกหรือผิด...ทั้งที่บางเรื่องผมไม่ได้ผิด...แต่ผมคิดว่าพวกผู้หญิงมีไว้เพื่อง้อ...ผมคิดแบบนี้จริง ๆ ถึงมันจะไม่ถูกต้องกับในมุมมองของใครหลายคน
เอาชนะผู้หญิง...ได้..แต่ผมมองไม่เห็นว่า มันมีคุณค่าควรภาคภูมิใจตรงไหนเลย
“เธอแพ้แล้ว.......” คำง่าย ๆ แต่มีความหมายพิเศษกับบางสถานการณ์ กับคนที่รัก ทำไมแค่ยอมแพ้จะยอมไม่ได้...ไม่รุ้ว่าคิดถูกหรือคิดผิด รู้เพียงต้องคิดแบบนี้ โดยเฉพาะกับเธอ เธอร้องและหัวเราะอย่างดีใจ...แล้วผมก็ยิ้มแบบเออออห่อหมกไปด้วย...แพ้ก็แพ้สิ ไม่เห็นเป็นไร
“ยังไงเธอก็แพ้เรา” เธอบอกตอกย้ำชัยชนะ ผมได้แต่ยิ้ม และไม่คิดว่าการเล่นแบบนี้จะมีผลยาวนานต่อเนื่อง
เวลานี้....เธอกำลังจะตาย มัจจุราชกำลังเดินทางมาเยือน... แต่ผมไม่มีวันจะร้องไห้...แม้ว่าเธอจะนอนสงบนิ่งก็ตาม...ผมจะไม่มีวันยอมให้เธอเห็นความอ่อนแอเด็ดขาด....ถ้าจะอดรนทนไม่ได้ ก็จะขอแอบร้องไห้....ไม่ให้เธอเห็นหรือรับรู้...จะซ่อนความเจ็บปวดไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ จะไม่ให้หยดน้ำตาของผมกัดกร่อนเธอแม้เพียงเศษเสี้ยว
มือของเธอยังขยับเล็กน้อย ผมรู้ว่าเธอรู้ว่า ผมอยู่ข้าง ๆ
มาเล่น....เป่ายิ้งฉุบ กันต่อไหม....
เธอไม่เคยชนะฉันเลยนะ เสียงของเธอดังก้องในใจ...เป่า-ยิ้ง-ฉุบ…เป็นเกมที่เราสองเล่นกันมานานหลายปี กระทั่งต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปเรียน...ตามเล่นทางของชีวิต แต่ถึงจะห่างไกลแต่ไม่ห่างหาย ผมรู้ว่าเธอต้องคิดถึงผม
คนแพ้....ต้องปีนขึ้นไปเก็บลูกมะไฟนะ....
ใช่..ผมต้องแพ้...เพราะไม่อยากให้เธอปีนต้นมะไฟกลางทุ่งนา แล้วโดนมดแดงรุมกัด นั่นเป็นวิถีชีวิตของชาวชนบทอย่างพวกเรา
คนแพ้ต้องไปตักน้ำนะ
ใช่...ผมต้องแพ้ เพื่อที่จะรับภาระหิ้วถังไปตักน้ำจากบ่อน้ำมาใส่โอ่งน้ำของบ้านเธอ...ผมจะยอมให้เธอทำอย่างนั้นได้อย่างไรกันใช่ไหมครับ...ถ้า คุณจะรักใครสักคนมากพอ คุณก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายยอมแพ้
คนแพ้ต้องก่อไฟหุงข้าว....
ใช่แล้ว.....ผมยอมหน้าดำมอมแมม กับการก่อไฟหุงข้าว ขณะที่เธอนั่งยิ้มและมองดูอยู่ข้าง ๆ อย่างสนุกสนาน
คนแพ้ต้องยอมให้ขี่หลังกลับบ้านนะ
นั่นเป็นความผูกพันอันบริสุทธิ์ในวัยเด็ก เป็นความทรงจำที่ดี และควรค่าแก่การจดจำ
แต่ตอนนี้เธอกำลังจะตาย อาการป่วยซึ่งพวกหมอยังงุนงง ผมมองเห็น..ในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น...รู้ถึงสิ่งที่ไม่ควรเชื่อแต่มันมาปรากฏตรงหน้า.....ไม่ใช่ฝันร้าย แต่ความจริงบางอย่างยิ่งกว่าฝันร้าย ปีศาจร้ายในเสื้อคลุมสีดำ...มือซ้ายถือเคียวเกี่ยววิญญาณ มันจะมาเอาชีวิตของเธอ ผมรู้แบบนั้น...และทูตมรณะนั่นก็คงรู้ มันใช้สายตาเหมือนมีไฟลุกโชนในเบ้าตาจ้องมองอย่างประหลาดใจ
“แกเอาเธอไปไม่ได้....”
ผมคำราม ทั้งที่รู้ว่าไม่รู้จะเอาอะไรไปต่อต้านทูตแห่งความตายนั้น ยังจะมีอะไรทรงพลานุภาพมากไปกว่าความตายได้อีกล่ะ...แต่ผมก็ต้องทำอะไรก็ได้เพื่อปกป้องคนที่ผมรัก ต่อให้กระโจนลงในหุบเหว หรือหล่มไฟก็พร้อมจะทำโดยไม่ลังเล ใบหน้าที่มีแต่กระดูกแสยะยิ้ม ก่อนส่งเสียงคำรามเสียงต่ำแหบพร่า
“จะเอายังไง” น้ำเสียงของมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ลักษณะอาการเหมือนแมวจับหนูได้แล้ว ยังไม่ยอมฆ่า แต่ใช้อุ้งเท้าตบไปมาจนกว่าจะเบื่อแล้วค่อยจัดการ
“ถ้าเราชนะ แกต้องปล่อยเธอ” ผมพูดเสียงแข็ง โดยไม่มีความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย ผมไม่มีอะไรต้องกลัว เพียงมีสิ่งจะเสียคือชีวิตเท่านั้น แต่ก็พร้อมจะลงทุน แม้ว่าโอกาสแพ้เกือบเต็มร้อย
“ว่ามา.....”
“เป่า-ยิ้ง-ฉุบ ตาเดียว.......” ผมบอกอย่างตัดสินใจครั้งสุดท้าย ปีศาจแหงนหน้าหัวเราะเสียงกังวาน เป็นเสียงหัวเราะของปีศาจที่มองเห็นชะตากรรมของคู่ต่อสู้แบบเด่นชัดไม่ต้องสงสัย
“เล่นเป็นเด็ก......ก็ได้...แต่เอาอะไรมาเดิมพัน” ปีศาจส่งเสียงถามเหมือนจะเย้ย
“วิญญาณของฉันไง...พวกแกอยากได้มากไม่ใช่เหรอ”
ภูตแห่งความตายหัวเราะอีกครั้ง ยังจะมีอะไรหอมหวานเย้ายวนใจปีศาจมากไปกว่าวิญญาณของมนุษย์ นั่นล่ะ... จุดประสงค์ของพวกมัน พวกปีศาจก็มักคิดและทำเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ
“ตกลง... ช้าจะยอมลดตัวสนุกกับพวกมนุษย์ดูบ้างสักครั้ง”
เสียงจอมปีศาจคำรนคำรามกึกก้อง กลิ่นกำมะถันกระจายไปทั่วห้อง ประกายไฟแตกวาบอยู่รอบตัวเหมือนจะเป็นการข่มขวัญ แต่ว่ามันใช้ไม่ได้ผลกับผมเสียแล้ว ตอนนี้ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เพราะผมกำลังจะปกป้องคนรักของผมอย่างสุดชีวิตจิตใจ
“ระวัง”
มันส่งเสียงเตือนแบบปราศจากความหวังดี มือซ้ายของมันซ่อนอยู่ด้านหลัง ที่รัก... ผมจะช่วยคุณ พยายามทำเพื่อคุณ หากผมพลาดไป อภัยให้ผมด้วย
ฟ้าส่งเสียงครืนใหญ่ เจิดจ้ากว่าแสงแห่งดวงอาทิตย์
เป่า
ยิ้ง
ฉุบ…
ผมออกกรรไกร.. มันออกไปตามความเคยชิน ออกกรรไกรไปทั้งที่รู้ว่าแบบนี้เคยแพ้ไปทุกครั้ง เสียงปีศาจคำรามจนแสบแก้วหู
มันออกค้อน!!
ค้อนชนะกรรไกร เด็ก ๆ ก็รู้ สมควรแล้วที่ทูตมรณะจะหัวเราะด้วยความพึงพอใจ มันสมควรชนะผม..ผู้รับบทผู้แพ้ตลอดเวลา มันก็สมควรแล้ว
“วิญญาณแกเป็นของข้า”
ทูตมรณะ เงาแห่งความตายหัวเราะอย่างลำพองใจอีกครั้ง หัวเราะอย่างยาวนานแบบสาสมใจ....ในที่สุดก็ยื่นมือปราดออกมา แต่แล้วก็ชะงักค้างเหมือนคว้าใส่ความว่างเปล่า สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่เข้าใจ
แทนคำตอบ ผมหันไปมองนางอันเป็นที่รัก มองมือขวาของเธอซึ่งโผล่พ้นผ้าห่มออกมา
มือของเธอออกกระดาษ!
เป็นการเล่นเป่า-ยิ้ง-ฉุบ ครั้งสุดท้ายของเธอ และมีความหมายความสำคัญมากที่สุด แล้วผมก็เริ่มหัวเราะใส่หน้าทูตมรณะ
“แต่แกประมาทจนลืมคิดให้ดี.....คนที่แข่งกับแกไม่ใช่ฉัน...แต่เป็นเธอ”
ผมอยากหัวเราะให้บ้าตาย มันลืมคำที่ผมบอกว่า “ถ้าเเราชนะ แกต้องปล่อยเธอ” จ้าวแห่งความตายก็ยังรู้พลาดเพราะความเชื่อมั่นและยะโสโอหัง แบบปีศาจแท้ ๆ
“แกโกง.” ทูตมรณะเบิกตากว้าง...ร้องเสียงกึกก้องยาวนาน...แต่สายเกินเสียแล้ว ถึงจะเป็นปีศาจก็ยังอยู่ใต้กฎของคำสัญญา ร่างของมันบิดเบี้ยวดิ้นรนไปมาก่อนจางหายไปราวฝุ่นควัน แต่คิดว่ามันยังมีโอกาสได้ยินคำพูดของผมที่บอกว่า
“โกงอย่างไม่ผิดกติกา ก็ไม่ถือว่าโกง”
ใช่....มันสมควรเป็นแบบนี้ โดยเฉพาะกับพวกปีศาจ
.