การเดินทางจากเมืองหลวงสู่เหนือสุดแดนสยาม เริ่มต้นการเดินทางแสนสนุกของโบว์อีกครั้ง
เมื่อร่างกายโหยหาธรรมชาติ และสายหมอก โบว์กำลังเดินทางไปที่เชียงรายค่ะ
เป็นที่ทราบกันดีว่าระยะทางค่อนข้างไกลพอสมควร แต่เดี๋ยวนี้อะไรก็สะดวกสบาย
มีพาหะนะให้เลือกหลายอย่างทั้งเครื่องบิน และรถทัวร์ไปแบบชิลล์ ๆ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วคือจุดหมายปลายทางเดียวกันค่ะ
โบว์เดินทางมาถึง อ.เชียงของ จ.เชียงรายตอนสาย ๆ และเข้าพักที่ “ลันเจีย ลอดจ์”
โฮมสเตย์แบบชาวเขาที่รวมกิจกรรมแบบชุมชนในบรรยากาศชวนฝัน
มองออกไปนอกหน้าต่าง หมอกลงหนาจนมองไม่เห็นบ้านเรือนเลยค่ะ อากาศที่นี่เย็นสบายตลอดทั้งปี
ไม่ทันไรก็หลงรักที่นี่ซะแล้ว แต่ก่อนจะไปทำกิจกรรมอื่นขอเติมพลังมื้อเช้าก่อนนะคะ
กินไป ชมหมอกไปมีความสุขที่สุดเลยค่ะ
การมาครั้งนี้ โบว์ตั้งใจมาดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่ “หมู่บ้านกิ่วกาญจน์”
โดยมีพี่ซีมัคคุเทศก์ประจำท้องถิ่นคอยแนะนำอยู่ข้าง ๆ ระยะทางจากที่พักไปยังหมู่บ้านไม่ไกลมากนัก
ดูนั่นสิคะ คุณตากำลังตอกตะปู ดูท่าทางน่าจะอายุเยอะแล้วแต่ยังแข็งแรงอยู่เลยค่ะ
ดูนั่นสิคะ คุณตากำลังตอกตะปู ดูท่าทางน่าจะอายุเยอะแล้วแต่ยังแข็งแรงอยู่เลยค่ะ
พี่ซีเล่าว่าหมู่บ้านกิ่วกาญจน์ เป็นหมู่บ้านชาวเขา มี 2 เผ่าด้วยกันก็คือ ลาหู่ และม้ง
ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา ผู้หญิงก็จะอยู่บ้านปักผ้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเผ่า
ชาวบ้านที่นี่นับถือผีค่ะ โดยจะมีหมอผีประจำหมู่บ้านที่คอยช่วยเหลือและให้คำปรึกษาชาวบ้าน
พี่ซีพาโบว์มายังบ้านหลังหนึ่งบรรยากาศค่อนข้างเงียบ ภายในใจก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ได้ความว่า…บ้านหลังนี้ คือ บ้านหมอผีนั่นเองค่ะ เข้ามาด้านในก็จะสังเกตเห็นลานประกอบพิธีกรรม
และเก้าอียาวสำหรับคนไข้ดูน่ากลัวสักนิดแต่จริง ๆ แล้ว หมอผีก็คือผู้นำทางจิตวิญญาณนั่นเองค่ะ
ไม่ได้เน้นเรื่องคุณไสย มนต์ดำอะไรเลย
มาถึงเรากล่าวทักทายหมอผีเป็นภาษาถิ่น โดยล่ามภาษาก็คือพี่ซีและน้องของพี่ซีนั่นเองค่ะ
ถึงเวลาทำพิธีหมอผีก็ได้ยกสิ่งของที่มีเหมือนธงรูปคนปักอยู่โดยรอบ นั่นก็คือผี 3 ตน ที่ถูกขังอยู่ในนี้
ซึ่งผีเหล่านี้จะทำหน้าที่คอยเป็นผู้ช่วยหมอผีในการทำพิธีกรรมต่าง ๆ อย่างเช่น การรักษาโรค
มีการยกตัวอย่างมาว่า.. หากชาวบ้านเป็นโรคแล้วไปรักษาที่โรงพยาบาลไม่หาย ก็จะกลับมาพึ่งหมอผี
หมอผีก็จะให้จิตในการสอบถามผีที่กักขังไว้ว่า คนไข้โดนผีร้ายทำร้ายอยู่หรือไม่ ?
และจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร ? ก็เป็นความเชื่อ และวิถีปฏิบัติหนึ่งที่สืบทอดกันมานานแล้วค่ะ
จากบ้านหมอผีโบว์ออกมาเดินชมหมู่บ้านโดยรอบ จะเห็นได้ว่าบ้านแต่ละหลังจะไม่เหมือนกัน
เพราะมีทั้งบ้านของชาวม้ง และบ้านของชาวลาหู่
ซึ่งก็มีวิธีสังเกตที่ว่า.. บ้านของชาวม้ง ตัวบ้านปลูกอยู่บนพื้นดินที่ทุบแน่น วัสดุสร้างบ้านส่วนใหญ่ใช้ไม้เนื้ออ่อน
ผนังบ้านทำจากไม้ไผ่หลังคามุงด้วยหญ้าคา หรือใบจากตัวบ้านไม่มีหน้าต่าง เนื่องจากอยู่ในที่อากาศหนาวเย็น
ปัจจุบันมีให้เราเห็นเหลือน้อยมากแล้วค่ะ ส่วนบ้านของชาวลาหู่ ส่วนมากจะปลูกยกพื้นใต้ถุนสูง
ซึ่งจะใช้เป็นที่เก็บฟืน มุงหลังคาด้วยหญ้าคา
เดินเที่ยวเล่น ถ่ายรูปในหมู่บ้าน มองไปทางนู้นเด็ก ๆ กำลังเล่นสนุกทีเดียว โบว์ก็ขอแฝงตัวย้อนวัยสักหน่อยนะคะ
ทั้งสนุกและเหนื่อยไม่เบา แถมได้เพื่อนใหม่มาเยอะเลยค่ะ น่ารักมั้ยคะ เพื่อนใหม่ของโบว์
เราไปชมการปักผ้าแบบชาวลาหู่และม้งกันต่อนะคะ พี่ ๆ ที่มาสาธิตให้โบว์ดูนี้
ต่างก็ใส่ชุดประจำเผ่าของตนเองมากันด้วย สวยงามมากเลย
พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ตอนนี้ก็ได้เวลาอาหารเย็น แต่ขอบอกเลยว่ามื้อนี้ไม่ธรรมดา
รู้สึกได้ถึงความโรแมนติกอาหารเย็นเริ่มทยอยมาเสริฟ หน้าตาน่ารับประทานเอามาก ๆ
เมื่อสำรับพร้อมแล้วการแสดงก็กำลังจะเริ่มขึ้นค่ะเป็นการแสดงของชาวเขาท้องถิ่น
ซึ่งจะมาแสดงให้นักท่องเที่ยวชมกันถึงที่พัก แบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดละประมาณ 15 นาที
เป็นการแสดงการเล่นเครื่องดนตรีท้องถิ่น ประกอบกับการแสดงท่าทางประกอบดนตรี
ฟังไปฟังมาก็รู้สึกเพลินดีเหมือนกัน ซึ่งหากใครนึกสนุกก็อาจลุกขึ้นไปร่วมเต้นรำก็ได้นะคะ
อิ่มอกอิ่มใจ ทั้งอาหารและการแสดงแล้วก็ได้เวลาเข้านอน เก็บแรงเพื่อไปรอแสงเช้าวันใหม่
เมื่อคืนโบว์หลับแบบสนิทมากค่ะ เพราะอากาศที่เย็นสบายไม่พึ่งแอร์ เช้าวันนี้ก็เลยสดใสเป็นพิเศษ
หมอกยังคงหนาจัดอากาศค่อนข้างเป็นใจ ได้กาแฟร้อน ๆ พร้อมอ่านหนังสือไป
วินาทีนี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
พี่ซีมาหาโบว์แต่เช้า วันนี้เรามีนัดไปทำผ้าเขียนเทียนกันค่ะ เดินมาไม่ไกลจากที่พักจะเจอเพิงเล็ก ๆ
ซึ่งมีแม่เฒ่าผู้สืบทอดการทำผ้าบาติก คอยต้อนรับเราอยู่ แม่เฒ่าสามารถพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย
และสัมผัสได้ว่าแม่เฒ่าอารมณ์ดีมากทีเดียวค่ะ ยังไม่ทันไรก็แจกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะซะแล้ว
ไม่รอช้าแม่เฒ่าก็เริ่มลงมือสาธิตการเขียนผ้าบาติกด้วยเทียนให้โบว์ดูค่ะ
วิธีการดูแล้วเหมือนจะง่ายเลยขอลงมือทำเอง
เริ่มจากใช้เทียนไขมันจากธรรมชาติ นำมาใส่ชาม ตั้งบนเตาให้ร้อนจนละลายเป็นของเหลว
จากนั้นใช้เครื่องมือในการวาดเส้นจุ่มลงไป และนำมาวาดลวดลายบนผ้าตามต้องการ
อยากได้ลายอะไรก็สร้างสรรค์ผลงานได้ตามความชอบ
เมื่อลายที่วาดแห้งดีก็นำผ้าลงไปจุ่มสีเพื่อย้อมผ้าให้เป็นสีคราม เสร็จแล้วก็นำไปผึ่งแดดให้แห้งสักพัก
แล้วจึงนำมาจุ่มย้อมสีอีกครั้ง นำไปผึ่งให้แห้ง แล้วค่อยซักให้เทียนไขมันที่วาดเส้นไว้หลุดไป
ก็จะได้ผ้าตามลวดลายที่ต้องการ เอาเข้าจริงก็แอบยากเหมือนกันนะคะ
นอกจากจะต้องอาศัยความชำนาญของน้ำหนักมือในการควบคุมเส้นเล็กใหญ่ ยังจะต้องใจเย็นอีกด้วย^^
นอกจากนี้ข้างซุ้มยังมีร้านขายของที่ระลึก ที่ล้วนแล้วเป็นฝีมือจากชาวบ้าน น่ารักทั้งนั้นเลย
ดูไปดูมาแอบได้กระเป๋ามาหนึ่งใบ เสียทรัพย์แบบไม่ทันตั้งตัวเลยค่ะ ก็ความสวยมันพาไปนี่หน่า
บ่ายวันนี้อากาศค่อนข้างร้อน อยากเอาตัวแช่น้ำให้หนำใจ ทางลันเจีย ลอด ก็มีกิจกรรมเดินป่า
เพื่อไปชมน้ำตกด้วยน้ำตกแห่งนี้มีชื่อตามที่พักเลย ชื่อว่า “น้ำตกลันเจีย ลอด”
เป็นแหล่งต้นน้ำของชาวบ้านที่นี่การเดินทางมาน้ำตกครั้งนี้ มีพี่ลูกหาบเป็นผู้นำทาง 3 คน
ทางไปน้ำตกค่อนข้างลื่น ควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก รองเท้าที่ใช้สวมควรเป็นรองเท้าสำหรับเดินป่า
หรือจะแวะซื้อสตั๊ดดอย ที่ร้านขายของชำในหมู่บ้านก็ได้นะคะ ราคาไม่เกินหนึ่งร้อยบาท
ระหว่างทางเราก็จะได้ยินเสียง นก แมลง คอยขับกล่อมส่งเสียงตลอดทาง ใช้เวลาเดินทาง 90 นาที
ได้ยินเสียงน้ำตกแล้ว นั่นแปลว่าน้ำตกอยู่ไม่ไกลแล้วค่ะ ได้แรงฮึดต่อเดินให้ถึงจุดหมาย
ซู่ ซู่ ซู่ น้ำตกอยู่ข้างหน้าแล้ว หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย หลังจากที่เราเดินกันมาเนิ่นนาน
ก็ได้คลายความเมื่อยล้าที่ตรงนี้ สูดอากาศให้ชุ่มปอดไปเลยค่ะ
เรียนรู้วิถีชุมชน…สวรรค์กลางสายหมอก จ.เชียงราย
เมื่อร่างกายโหยหาธรรมชาติ และสายหมอก โบว์กำลังเดินทางไปที่เชียงรายค่ะ
เป็นที่ทราบกันดีว่าระยะทางค่อนข้างไกลพอสมควร แต่เดี๋ยวนี้อะไรก็สะดวกสบาย
มีพาหะนะให้เลือกหลายอย่างทั้งเครื่องบิน และรถทัวร์ไปแบบชิลล์ ๆ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วคือจุดหมายปลายทางเดียวกันค่ะ
โฮมสเตย์แบบชาวเขาที่รวมกิจกรรมแบบชุมชนในบรรยากาศชวนฝัน
ไม่ทันไรก็หลงรักที่นี่ซะแล้ว แต่ก่อนจะไปทำกิจกรรมอื่นขอเติมพลังมื้อเช้าก่อนนะคะ
กินไป ชมหมอกไปมีความสุขที่สุดเลยค่ะ
โดยมีพี่ซีมัคคุเทศก์ประจำท้องถิ่นคอยแนะนำอยู่ข้าง ๆ ระยะทางจากที่พักไปยังหมู่บ้านไม่ไกลมากนัก
ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา ผู้หญิงก็จะอยู่บ้านปักผ้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเผ่า
ชาวบ้านที่นี่นับถือผีค่ะ โดยจะมีหมอผีประจำหมู่บ้านที่คอยช่วยเหลือและให้คำปรึกษาชาวบ้าน
พี่ซีพาโบว์มายังบ้านหลังหนึ่งบรรยากาศค่อนข้างเงียบ ภายในใจก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ได้ความว่า…บ้านหลังนี้ คือ บ้านหมอผีนั่นเองค่ะ เข้ามาด้านในก็จะสังเกตเห็นลานประกอบพิธีกรรม
และเก้าอียาวสำหรับคนไข้ดูน่ากลัวสักนิดแต่จริง ๆ แล้ว หมอผีก็คือผู้นำทางจิตวิญญาณนั่นเองค่ะ
ไม่ได้เน้นเรื่องคุณไสย มนต์ดำอะไรเลย
ถึงเวลาทำพิธีหมอผีก็ได้ยกสิ่งของที่มีเหมือนธงรูปคนปักอยู่โดยรอบ นั่นก็คือผี 3 ตน ที่ถูกขังอยู่ในนี้
ซึ่งผีเหล่านี้จะทำหน้าที่คอยเป็นผู้ช่วยหมอผีในการทำพิธีกรรมต่าง ๆ อย่างเช่น การรักษาโรค
มีการยกตัวอย่างมาว่า.. หากชาวบ้านเป็นโรคแล้วไปรักษาที่โรงพยาบาลไม่หาย ก็จะกลับมาพึ่งหมอผี
หมอผีก็จะให้จิตในการสอบถามผีที่กักขังไว้ว่า คนไข้โดนผีร้ายทำร้ายอยู่หรือไม่ ?
และจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร ? ก็เป็นความเชื่อ และวิถีปฏิบัติหนึ่งที่สืบทอดกันมานานแล้วค่ะ
เพราะมีทั้งบ้านของชาวม้ง และบ้านของชาวลาหู่
ซึ่งก็มีวิธีสังเกตที่ว่า.. บ้านของชาวม้ง ตัวบ้านปลูกอยู่บนพื้นดินที่ทุบแน่น วัสดุสร้างบ้านส่วนใหญ่ใช้ไม้เนื้ออ่อน
ผนังบ้านทำจากไม้ไผ่หลังคามุงด้วยหญ้าคา หรือใบจากตัวบ้านไม่มีหน้าต่าง เนื่องจากอยู่ในที่อากาศหนาวเย็น
ปัจจุบันมีให้เราเห็นเหลือน้อยมากแล้วค่ะ ส่วนบ้านของชาวลาหู่ ส่วนมากจะปลูกยกพื้นใต้ถุนสูง
ซึ่งจะใช้เป็นที่เก็บฟืน มุงหลังคาด้วยหญ้าคา
ทั้งสนุกและเหนื่อยไม่เบา แถมได้เพื่อนใหม่มาเยอะเลยค่ะ น่ารักมั้ยคะ เพื่อนใหม่ของโบว์
ต่างก็ใส่ชุดประจำเผ่าของตนเองมากันด้วย สวยงามมากเลย
รู้สึกได้ถึงความโรแมนติกอาหารเย็นเริ่มทยอยมาเสริฟ หน้าตาน่ารับประทานเอามาก ๆ
เมื่อสำรับพร้อมแล้วการแสดงก็กำลังจะเริ่มขึ้นค่ะเป็นการแสดงของชาวเขาท้องถิ่น
ซึ่งจะมาแสดงให้นักท่องเที่ยวชมกันถึงที่พัก แบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดละประมาณ 15 นาที
เป็นการแสดงการเล่นเครื่องดนตรีท้องถิ่น ประกอบกับการแสดงท่าทางประกอบดนตรี
ฟังไปฟังมาก็รู้สึกเพลินดีเหมือนกัน ซึ่งหากใครนึกสนุกก็อาจลุกขึ้นไปร่วมเต้นรำก็ได้นะคะ
หมอกยังคงหนาจัดอากาศค่อนข้างเป็นใจ ได้กาแฟร้อน ๆ พร้อมอ่านหนังสือไป
วินาทีนี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
พี่ซีมาหาโบว์แต่เช้า วันนี้เรามีนัดไปทำผ้าเขียนเทียนกันค่ะ เดินมาไม่ไกลจากที่พักจะเจอเพิงเล็ก ๆ
ซึ่งมีแม่เฒ่าผู้สืบทอดการทำผ้าบาติก คอยต้อนรับเราอยู่ แม่เฒ่าสามารถพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย
และสัมผัสได้ว่าแม่เฒ่าอารมณ์ดีมากทีเดียวค่ะ ยังไม่ทันไรก็แจกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะซะแล้ว
วิธีการดูแล้วเหมือนจะง่ายเลยขอลงมือทำเอง
เริ่มจากใช้เทียนไขมันจากธรรมชาติ นำมาใส่ชาม ตั้งบนเตาให้ร้อนจนละลายเป็นของเหลว
จากนั้นใช้เครื่องมือในการวาดเส้นจุ่มลงไป และนำมาวาดลวดลายบนผ้าตามต้องการ
อยากได้ลายอะไรก็สร้างสรรค์ผลงานได้ตามความชอบ
แล้วจึงนำมาจุ่มย้อมสีอีกครั้ง นำไปผึ่งให้แห้ง แล้วค่อยซักให้เทียนไขมันที่วาดเส้นไว้หลุดไป
ก็จะได้ผ้าตามลวดลายที่ต้องการ เอาเข้าจริงก็แอบยากเหมือนกันนะคะ
นอกจากจะต้องอาศัยความชำนาญของน้ำหนักมือในการควบคุมเส้นเล็กใหญ่ ยังจะต้องใจเย็นอีกด้วย^^
ดูไปดูมาแอบได้กระเป๋ามาหนึ่งใบ เสียทรัพย์แบบไม่ทันตั้งตัวเลยค่ะ ก็ความสวยมันพาไปนี่หน่า
เพื่อไปชมน้ำตกด้วยน้ำตกแห่งนี้มีชื่อตามที่พักเลย ชื่อว่า “น้ำตกลันเจีย ลอด”
เป็นแหล่งต้นน้ำของชาวบ้านที่นี่การเดินทางมาน้ำตกครั้งนี้ มีพี่ลูกหาบเป็นผู้นำทาง 3 คน
ทางไปน้ำตกค่อนข้างลื่น ควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก รองเท้าที่ใช้สวมควรเป็นรองเท้าสำหรับเดินป่า
หรือจะแวะซื้อสตั๊ดดอย ที่ร้านขายของชำในหมู่บ้านก็ได้นะคะ ราคาไม่เกินหนึ่งร้อยบาท
ได้ยินเสียงน้ำตกแล้ว นั่นแปลว่าน้ำตกอยู่ไม่ไกลแล้วค่ะ ได้แรงฮึดต่อเดินให้ถึงจุดหมาย
ก็ได้คลายความเมื่อยล้าที่ตรงนี้ สูดอากาศให้ชุ่มปอดไปเลยค่ะ