เรื่องสุดท้ายที่จะเอามาเล่าให้ฟังจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมพบเจอมาในเส้นทางที่ผมเดินทาง แล้วผมคิดว่าอาจมีประโยชน์กับทุกคนไม่มากก็น้อย ลองมาดูเลยครับว่ามีอะไรบ้าง
-ออกจากสนามบินมาก็เจอของแปลกเลย "หมา" มาไงวะเนี่ย
พออยู่ไปซักพัก การเห็นคนเอาหมาเข้าไปในสถานที่ต่างๆ จะเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าสามารถเอาเข้าได้ทุกที่ไหม
แต่ก็ถือว่าสวิสเป็นประเทศสำหรับคนที่รักน้องหมามากๆ เลยทีเดียว เพราะผมเคยสังเกตุเห็นถังขยะสาธารณบางที่ มีถุงเอาไว้เก็บของเสียจากน้องหมาติดไว้ที่ถังขยะให้ด้วย แต่คนที่เป็นเจ้าของก็คงต้องมีความรับผิดชอบต่อน้องหมาด้วยประมาณนึงเหมือนกันแหละนะ
"ถึงสนามบินรับกระเป๋าเสร็จเดินออกมางงเลย "หมา" มาได้ไงเนี่ย"
"นี่ก็อีกตัว ก็ดีนะ คนรักหมาคงชอบประเทศนี้"
-สำหรับการเดินทางในทริปนี้ ตั้งแต่ที่เริ่มออกมาจากสนามบิน สิ่งแรกที่ได้ค้นพบก็คือ พลาดละกรู ไม่น่าใช้เกียร์ธรรมดาเลย ด้วยความที่ต้องเปลี่ยนมาขับเลนขวา ก็ต้องตั้งสมาธิประมาณนึงละ แถมขับพวงมาลัยซ้ายอีก แล้วต้องเข้าเกียร์มือขวาอีก ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ถนัดเอามากๆ และต้องขับรถตามกฎจราจรสุดๆ อีก รู้สึกกดดัน 3-4 ต่อเลย ต่างจากการที่เคยไปขับที่ญี่ปุ่นมากๆ ที่ตั้งใจแค่เรื่องขับตามกฎแค่เรื่องเดียวเอง ง่ายกว่าเยอะเลย
ก็ถือว่าการขับเกียร์ธรรมดาที่นี่ค่อนข้างเป็นอุปสรรคกับการปรับตัวผมพอสมควร
...แต่จริงๆ แล้วมันไม่ยากมากนะ แต่ก็ไม่ง่ายซะทีเดียว
ผมต้องใช้เวลาพอสมควร เรียกว่าเป็นวันเลย ในการปรับตัวกว่าจะเริ่มชิน นี่ขนาดที่ไทยผมขับเกียร์ธรรมดาทุกวันนะ
สำหรับคนที่จะเลือกรถก็ลองพิจารณาดูละกันครับว่าจะเอาเกียร์ธรรมดาเพราะราคาถูกกว่า หรือเกียร์ออโต้ แพงขึ้นหน่อย แต่ขับสบายกว่า ส่วนตัวผมนะ ถ้าได้ไปอีกครั้งผมเลือกเกียร์ออโต้แน่ๆ
-ก่อนเริ่มเดินทางลืมบอกไปว่าการขับรถในสวิส การใช้ Motorway จะไม่มีการมานั่งเก็บเงินค่าทางด่วนเหมือนบ้านเรา แต่จะเป็นการซื้อสติ๊กเกอร์ที่เรียกว่า Vignette ติดไว้ด้านในหน้ารถฝั่งคนขับ ซึ่งรถเช่าส่วนใหญ่เค้าจะมีติดให้อยู่แล้ว จะเป็นแบบรายปีเลย (40 CHF) ก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อ สบายไป
-แต่สำหรับคนที่ต้องการเดินทางข้ามไป ออสเตรีย หรือ ไปเยอรมัน แต่ต้องวิ่งผ่านออสเตรีย (ผมไปเยอรมัน 2 วัน เพื่อไป ปราสาท Neuschwanstein)
***การเอารถแค่วิ่งข้าม ออสเตรีย ก็ต้องซื้อ Vignette ของออสเตรียด้วยนะครับ (9.90 CHF อันนี้ถูกสุดละ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะใช้ได้ 10 วัน)***
ตอนข้ามด่านเข้า ออสเตรีย จะเห็นเลยว่า จนท. จะมองหน้ารถทุกคันว่ามี Vignette ของออสเตรีย ติดหน้ารถไหม
***แล้วจะซื้อได้ที่ไหน...ผมซื้อที่มาร์ทในปั้มน้ำมัน ก่อนถึงด่านข้ามพรมแดนครับ ...อีกที่คือ ไปรษณีย์ ครับ***
“ซ้าย : Vignette ออสเตรีย ขวา : Vignette สวิส หน้าตาแบบนี้”
-รู้ได้ไงว่าเข้าเยอรมันแล้ว
การข้ามจาก สวิส ไป ออสเตรีย ต้องผ่านด่านตรงพรมแดน
แต่การข้ามจาก ออสเตรีย ไป เยอรมัน กลับไม่เห็นมีด่านเลย ไม่รู้เลยว่าเข้าเยอรมันตอนไหน
...แต่ที่ทำให้ผมรู้ว่าเข้าเยอรมันแล้ว คือ พอเข้าทางด่วน อยู่ๆ GPS ที่คอยบอกความเร็วว่าให้วิ่งได้เท่าไหร่ อยู่ๆ กลับเด้งหายไปซะงั้น และผมก็เริ่มเห็นว่ารถที่ร่วมทางทำไมขับเร็วจังวะ คิดไป คิดมา ก็เลย อ๋อ...รู้ละ นี่มันน่าจะ Autobahn ในเยอรมันแล้วหละ
...ด้วยความที่รถผมเป็นรถเล็ก และคิดว่ารถเช่าที่สวิสน่าจะตั้งลิมิตความเร็วไว้ด้วย คือรถผมถ้าขับเร็วเกิน 132 มันจะร้องเตือนที่หน้าจอ และมีตัวหนังสือภาษาเยอรมันเด้งขึ้นมา...อ่านไม่ออกคร้าบบบบ (ตอนนั้นไม่รู้ว่าเตือนอะไร เลยไม่กล้าขับเกิน 130 กลับไทยมาลองหาคำแปลดู มันขึ้นว่า “เตือนความเร็วสูงเกิน”) ...บอกได้เลยครับ เพื่อนร่วมทางเร็วกว่าผมเยอะเลย ผมวิ่งอยู่ 130 แซงเอาๆ แถมเร็วมากๆ สมกับที่เป็น Autobahn ในเยอรมัน สมคำล่ำลือจริงๆ
“เข้า Autobahn ในเยอรมันแล้ว สังเกตด้านล่างของจอ การบอกความเร็วที่ต้องวิ่งในวงกลมสีแดงหายไปละ กดได้เต็มที่เลยครับ ลุยยยย”
-ในสวิสจะมีเมืองที่
***ห้ามขับรถที่ใช้น้ำมันเข้าไป*** ให้เข้าได้เฉพาะรถที่ใช้ไฟฟ้า หรือ รถไฟ (ที่ใช้ไฟฟ้า) หรือ Cable car เท่านั้น เพราะเป็นเมืองปลอดมลพิษ
เช่น Zermatt, Braunwald, Murren และ Wengen ฉะนั้นการที่จะเข้าไปเมืองเหล่านี้จะต้องจอดรถที่เมืองข้างเคียงแล้วนั่งรถไฟ หรือ Cable car เข้าไปแทน
ยกตัวอย่างที่ผมไปมา 1 ที่นะครับ ผมจะไป Zermatt ก็ต้องไปจอดรถที่เมือง Tasch ก่อน ถึงจะนั่งรถไฟขึ้นไป Zermatt ได้
...ที่ Tasch จะมี Parkhaus อยู่ที่สถานีรถไฟเลย สะดวกมากครับ
***แต่ผมมีวิธีที่ดีกว่า และน่าจะประหยัดกว่าการจอดรถใน Parkhaus มาบอกครับ***
...วันที่ผมไปถึงเมือง Tasch ก็เกือบเย็นแล้ว เลยจองโรงแรมที่เมืองนี้ไว้ก่อน 1 คืน เพื่อที่จะขึ้นไป Zermatt ในวันรุ่งขึ้น โรงแรมชื่อ Swiss Budget Alpenhotel (ราคาไม่แพงด้วยครับ) แถมมีที่จอดรถฟรีด้านหลังโรงแรม โรงแรมอยู่หน้าสถานีรถไฟเลยครับ สะดวกมากๆ
ตอนเช็คอิน ผมก็ถาม พนง. โรงแรมว่า ผมขับรถมาด้วยจอดรถข้างหลังเลยใช่ไหม
...ใช่ครับ
แล้วพรุ่งนี้ผมจะไป Zermatt และจะค้าง 1 คืนถึงจะกลับลงมา ผมจะจอดรถที่ไหนได้บ้าง ...เค้าก็บอกว่า
“จอดที่นี่ได้เลยครับ”
เอ้า!!! เข้าทางสิครับ แล้วเค้าก็ให้เหรียญสีทองมา 1 อัน แล้วบอกกับผมว่า ...ตอนจะออกให้เอาเหรียญหยอดที่ตู้ตรงทางออกได้เลย เวลาไหนก็ได้ ...สบายเลย จอดฟรีข้ามวันด้วย ถ้าจอดใน Parkhaus น่าจะโดนมิใช่น้อย
ขอบคุณมากๆ Swiss Budget Alpenhotel
“โรงแรม Swiss Budget Alpenhotel อยู่ตรงข้ามสถานีเลย”
“ที่จอดหลังโรงแรม กว้างขวางใช้ได้เลย”
“ที่ Zermett จะใช้รถไฟฟ้าหน้าตาแบบนี้ครับ ห้ามรถใช้น้ำมันขึ้นไป”
-สวิสเป็นประเทศที่มีวงเวียนเยอะมากๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นวงเวียนเล็กๆ มีให้เห็นทุกเมืองที่ไป อย่าลืมรักษากฎการขับรถเข้าวงเวียนให้ดี รถในวงเวียนไปก่อนเสมอ
“มีวงเวียนเยอะมากๆ แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวงเวียนเล็กๆ แบบนี้ครับ”
-อีกอย่างที่ต้องระวังเวลาขับรถในชนบท คือ วัว ครับ ขับๆ อยู่โผล่มากลางถนนเฉยเลย ต้องจอดรอเค้าต้อนอย่างเดียวครับ นั่งดูก็เพลินๆ ดีนะผมว่า
"เจอวัวด้วย"
-การเข้าห้องน้ำตามที่พักรถ ...ที่พักรถใหญ่ๆ แบบที่มีปั้มน้ำมัน ร้านอาหาร ถ้าจะเข้าห้องน้ำเสียเงินทุกที่นะครับ เท่าที่เคยเจอก็ประมาณ 1 CHF (บางที่ค่าเข้าแค่ 0.50 CHF ก็มี) จะต้องหยอดตู้แล้วรับบัตรมา และบัตรสามารถเอาไปเป็นส่วนลดซื้อของในมาร์ทได้ตามจำนวนเงินที่เราเสียค่าเข้าห้องน้ำเลย คือ ลดได้ 1 CHF
“เข้าห้องน้ำต้องเสียเงิน บัตรก็สามารถเอาลดราคาสินค้าในมาร์ทได้ด้วย”
ที่เยอรมันผมไปแวะเข้าห้องน้ำก็ประมาณ 0.40 EUR แต่ไม่ได้หยอดตู้นะครับ เป็นระบบความซื่อสัตย์ คือมีตะกร้าอันนึงให้เราเอาเงินวางไว้แทน ถ้าเป็นบ้านเรานะ หายทั้งตะกร้าแน่
จะมีที่พักรถอีกแบบที่ผมเคยเข้าห้องน้ำแล้วไม่เสียเงิน คือที่พักรถแบบที่ไม่มีอะไรเลย ในนั้นจะมีแค่ที่จอดรถ กับห้องน้ำตั้งอยู่โดดๆ มีสวน มีที่นั่งให้พักผ่อน พร้อมวิวสวยๆ ระหว่างพักรถแค่นั้น แต่ก็อย่างว่าหละครับ ของฟรี สภาพห้องน้ำก็จะสู้แบบเสียเงินไม่ได้ครับ
-การที่เราขับรถเที่ยวจะสามารถไปที่ไหนก็ได้ ...นี่หละครับความได้เปรียบของการขับรถเที่ยว คือได้ไปในที่ที่รถไฟไปไม่ถึง หลังจากเอารถลงจากรถไฟที่สถานี Kandersteg ขับมาไม่นานก็เจอทะเลสาบ Blausee น้ำสีสวยมาก
"ทะเลสาบ Blausee คนส่วนมากก็จะไปนั่งตากแดดปิคนิคกัน เชิญตามสบายนะครับ ผมคนไทยไม่ชอบแดด"
"Blausee"
สุดท้ายนี้ ...เล่ายาวเลย หวังว่าเรื่องเล่าของผมคงมีประโยชน์กับคนที่กำลังคิดจะขับรถเที่ยวสวิสไม่มากก็น้อยนะครับ ถ้าข้อมูลขาดตกบกพร่องหรือผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอให้เดินทางปลอดภัย สนุกกับการขับรถเที่ยวสวิส และไม่โดนค่าปรับย้อนหลังกันทุกคนนะครับ
จะมีเรื่องแถมท้ายอีกเรื่อง แต่จะไม่เกี่ยวกับการขับรถเที่ยวหรอกนะครับ
ตอนแรกแฟนผมก็บอกให้ผมเปิดกระทู้ใหม่เขียนเรื่องเกี่ยวกับการเที่ยวสวิสที่เราไปมา แต่ผมคงไม่มีเวลามาเขียนอะไรยาวๆ ขนาดนี้อีกแล้ว และผมคิดว่าที่เที่ยวที่เราไปมา มันก็เป็นที่เที่ยวยอดฮิตเหมือนๆ กับที่คนอื่นเค้าไปๆ กันหนะแหละ หาข้อมูลที่ไหนก็มี เลยไม่อยากจะมานั่งเขียนให้ซ้ำกับคนอื่นอีก
แต่เรื่องที่ผมอยากเอามาเล่าเนี่ย ผมคิดว่ามันเป็นกิจกรรมที่คนไปเที่ยวสวิสส่วนใหญ่ อาจจะไม่มีโอกาสได้ทำกันซักเท่าไหร่ เลยอยากเอามาแชร์ให้ทุกคนได้ลองอ่านดู ว่ามันน่าสนใจขนาดไหน
***ขอเวลาผมเรียบเรียงก่อน ไว้มีเวลาจะมาโพสต์อีกทีละกันนะครับ***
มาแล้วครับเรื่องแถมอีกเรื่อง เกือบ 4 เดือนเลยกว่าจะได้เอามาเล่าให้ทุกคนฟัง เชิญติดตามได้เลยครับ
เที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ : นั่ง ฮ. ชมวิวที่สวิสเซอร์แลนด์ (Helicopter Sightseeing/Scenic Flights)
https://ppantip.com/topic/38198728
ขับรถเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ Part 5
-ออกจากสนามบินมาก็เจอของแปลกเลย "หมา" มาไงวะเนี่ย
พออยู่ไปซักพัก การเห็นคนเอาหมาเข้าไปในสถานที่ต่างๆ จะเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าสามารถเอาเข้าได้ทุกที่ไหม
แต่ก็ถือว่าสวิสเป็นประเทศสำหรับคนที่รักน้องหมามากๆ เลยทีเดียว เพราะผมเคยสังเกตุเห็นถังขยะสาธารณบางที่ มีถุงเอาไว้เก็บของเสียจากน้องหมาติดไว้ที่ถังขยะให้ด้วย แต่คนที่เป็นเจ้าของก็คงต้องมีความรับผิดชอบต่อน้องหมาด้วยประมาณนึงเหมือนกันแหละนะ
"ถึงสนามบินรับกระเป๋าเสร็จเดินออกมางงเลย "หมา" มาได้ไงเนี่ย"
"นี่ก็อีกตัว ก็ดีนะ คนรักหมาคงชอบประเทศนี้"
-สำหรับการเดินทางในทริปนี้ ตั้งแต่ที่เริ่มออกมาจากสนามบิน สิ่งแรกที่ได้ค้นพบก็คือ พลาดละกรู ไม่น่าใช้เกียร์ธรรมดาเลย ด้วยความที่ต้องเปลี่ยนมาขับเลนขวา ก็ต้องตั้งสมาธิประมาณนึงละ แถมขับพวงมาลัยซ้ายอีก แล้วต้องเข้าเกียร์มือขวาอีก ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ถนัดเอามากๆ และต้องขับรถตามกฎจราจรสุดๆ อีก รู้สึกกดดัน 3-4 ต่อเลย ต่างจากการที่เคยไปขับที่ญี่ปุ่นมากๆ ที่ตั้งใจแค่เรื่องขับตามกฎแค่เรื่องเดียวเอง ง่ายกว่าเยอะเลย
ก็ถือว่าการขับเกียร์ธรรมดาที่นี่ค่อนข้างเป็นอุปสรรคกับการปรับตัวผมพอสมควร ...แต่จริงๆ แล้วมันไม่ยากมากนะ แต่ก็ไม่ง่ายซะทีเดียว
ผมต้องใช้เวลาพอสมควร เรียกว่าเป็นวันเลย ในการปรับตัวกว่าจะเริ่มชิน นี่ขนาดที่ไทยผมขับเกียร์ธรรมดาทุกวันนะ
สำหรับคนที่จะเลือกรถก็ลองพิจารณาดูละกันครับว่าจะเอาเกียร์ธรรมดาเพราะราคาถูกกว่า หรือเกียร์ออโต้ แพงขึ้นหน่อย แต่ขับสบายกว่า ส่วนตัวผมนะ ถ้าได้ไปอีกครั้งผมเลือกเกียร์ออโต้แน่ๆ
-ก่อนเริ่มเดินทางลืมบอกไปว่าการขับรถในสวิส การใช้ Motorway จะไม่มีการมานั่งเก็บเงินค่าทางด่วนเหมือนบ้านเรา แต่จะเป็นการซื้อสติ๊กเกอร์ที่เรียกว่า Vignette ติดไว้ด้านในหน้ารถฝั่งคนขับ ซึ่งรถเช่าส่วนใหญ่เค้าจะมีติดให้อยู่แล้ว จะเป็นแบบรายปีเลย (40 CHF) ก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อ สบายไป
-แต่สำหรับคนที่ต้องการเดินทางข้ามไป ออสเตรีย หรือ ไปเยอรมัน แต่ต้องวิ่งผ่านออสเตรีย (ผมไปเยอรมัน 2 วัน เพื่อไป ปราสาท Neuschwanstein)
***การเอารถแค่วิ่งข้าม ออสเตรีย ก็ต้องซื้อ Vignette ของออสเตรียด้วยนะครับ (9.90 CHF อันนี้ถูกสุดละ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะใช้ได้ 10 วัน)***
ตอนข้ามด่านเข้า ออสเตรีย จะเห็นเลยว่า จนท. จะมองหน้ารถทุกคันว่ามี Vignette ของออสเตรีย ติดหน้ารถไหม
***แล้วจะซื้อได้ที่ไหน...ผมซื้อที่มาร์ทในปั้มน้ำมัน ก่อนถึงด่านข้ามพรมแดนครับ ...อีกที่คือ ไปรษณีย์ ครับ***
“ซ้าย : Vignette ออสเตรีย ขวา : Vignette สวิส หน้าตาแบบนี้”
-รู้ได้ไงว่าเข้าเยอรมันแล้ว
การข้ามจาก สวิส ไป ออสเตรีย ต้องผ่านด่านตรงพรมแดน
แต่การข้ามจาก ออสเตรีย ไป เยอรมัน กลับไม่เห็นมีด่านเลย ไม่รู้เลยว่าเข้าเยอรมันตอนไหน
...แต่ที่ทำให้ผมรู้ว่าเข้าเยอรมันแล้ว คือ พอเข้าทางด่วน อยู่ๆ GPS ที่คอยบอกความเร็วว่าให้วิ่งได้เท่าไหร่ อยู่ๆ กลับเด้งหายไปซะงั้น และผมก็เริ่มเห็นว่ารถที่ร่วมทางทำไมขับเร็วจังวะ คิดไป คิดมา ก็เลย อ๋อ...รู้ละ นี่มันน่าจะ Autobahn ในเยอรมันแล้วหละ
...ด้วยความที่รถผมเป็นรถเล็ก และคิดว่ารถเช่าที่สวิสน่าจะตั้งลิมิตความเร็วไว้ด้วย คือรถผมถ้าขับเร็วเกิน 132 มันจะร้องเตือนที่หน้าจอ และมีตัวหนังสือภาษาเยอรมันเด้งขึ้นมา...อ่านไม่ออกคร้าบบบบ (ตอนนั้นไม่รู้ว่าเตือนอะไร เลยไม่กล้าขับเกิน 130 กลับไทยมาลองหาคำแปลดู มันขึ้นว่า “เตือนความเร็วสูงเกิน”) ...บอกได้เลยครับ เพื่อนร่วมทางเร็วกว่าผมเยอะเลย ผมวิ่งอยู่ 130 แซงเอาๆ แถมเร็วมากๆ สมกับที่เป็น Autobahn ในเยอรมัน สมคำล่ำลือจริงๆ
“เข้า Autobahn ในเยอรมันแล้ว สังเกตด้านล่างของจอ การบอกความเร็วที่ต้องวิ่งในวงกลมสีแดงหายไปละ กดได้เต็มที่เลยครับ ลุยยยย”
-ในสวิสจะมีเมืองที่ ***ห้ามขับรถที่ใช้น้ำมันเข้าไป*** ให้เข้าได้เฉพาะรถที่ใช้ไฟฟ้า หรือ รถไฟ (ที่ใช้ไฟฟ้า) หรือ Cable car เท่านั้น เพราะเป็นเมืองปลอดมลพิษ เช่น Zermatt, Braunwald, Murren และ Wengen ฉะนั้นการที่จะเข้าไปเมืองเหล่านี้จะต้องจอดรถที่เมืองข้างเคียงแล้วนั่งรถไฟ หรือ Cable car เข้าไปแทน
ยกตัวอย่างที่ผมไปมา 1 ที่นะครับ ผมจะไป Zermatt ก็ต้องไปจอดรถที่เมือง Tasch ก่อน ถึงจะนั่งรถไฟขึ้นไป Zermatt ได้
...ที่ Tasch จะมี Parkhaus อยู่ที่สถานีรถไฟเลย สะดวกมากครับ
***แต่ผมมีวิธีที่ดีกว่า และน่าจะประหยัดกว่าการจอดรถใน Parkhaus มาบอกครับ***
...วันที่ผมไปถึงเมือง Tasch ก็เกือบเย็นแล้ว เลยจองโรงแรมที่เมืองนี้ไว้ก่อน 1 คืน เพื่อที่จะขึ้นไป Zermatt ในวันรุ่งขึ้น โรงแรมชื่อ Swiss Budget Alpenhotel (ราคาไม่แพงด้วยครับ) แถมมีที่จอดรถฟรีด้านหลังโรงแรม โรงแรมอยู่หน้าสถานีรถไฟเลยครับ สะดวกมากๆ
ตอนเช็คอิน ผมก็ถาม พนง. โรงแรมว่า ผมขับรถมาด้วยจอดรถข้างหลังเลยใช่ไหม ...ใช่ครับ
แล้วพรุ่งนี้ผมจะไป Zermatt และจะค้าง 1 คืนถึงจะกลับลงมา ผมจะจอดรถที่ไหนได้บ้าง ...เค้าก็บอกว่า “จอดที่นี่ได้เลยครับ”
เอ้า!!! เข้าทางสิครับ แล้วเค้าก็ให้เหรียญสีทองมา 1 อัน แล้วบอกกับผมว่า ...ตอนจะออกให้เอาเหรียญหยอดที่ตู้ตรงทางออกได้เลย เวลาไหนก็ได้ ...สบายเลย จอดฟรีข้ามวันด้วย ถ้าจอดใน Parkhaus น่าจะโดนมิใช่น้อย ขอบคุณมากๆ Swiss Budget Alpenhotel
“โรงแรม Swiss Budget Alpenhotel อยู่ตรงข้ามสถานีเลย”
“ที่จอดหลังโรงแรม กว้างขวางใช้ได้เลย”
“ที่ Zermett จะใช้รถไฟฟ้าหน้าตาแบบนี้ครับ ห้ามรถใช้น้ำมันขึ้นไป”
-สวิสเป็นประเทศที่มีวงเวียนเยอะมากๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นวงเวียนเล็กๆ มีให้เห็นทุกเมืองที่ไป อย่าลืมรักษากฎการขับรถเข้าวงเวียนให้ดี รถในวงเวียนไปก่อนเสมอ
“มีวงเวียนเยอะมากๆ แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวงเวียนเล็กๆ แบบนี้ครับ”
-อีกอย่างที่ต้องระวังเวลาขับรถในชนบท คือ วัว ครับ ขับๆ อยู่โผล่มากลางถนนเฉยเลย ต้องจอดรอเค้าต้อนอย่างเดียวครับ นั่งดูก็เพลินๆ ดีนะผมว่า
"เจอวัวด้วย"
-การเข้าห้องน้ำตามที่พักรถ ...ที่พักรถใหญ่ๆ แบบที่มีปั้มน้ำมัน ร้านอาหาร ถ้าจะเข้าห้องน้ำเสียเงินทุกที่นะครับ เท่าที่เคยเจอก็ประมาณ 1 CHF (บางที่ค่าเข้าแค่ 0.50 CHF ก็มี) จะต้องหยอดตู้แล้วรับบัตรมา และบัตรสามารถเอาไปเป็นส่วนลดซื้อของในมาร์ทได้ตามจำนวนเงินที่เราเสียค่าเข้าห้องน้ำเลย คือ ลดได้ 1 CHF
“เข้าห้องน้ำต้องเสียเงิน บัตรก็สามารถเอาลดราคาสินค้าในมาร์ทได้ด้วย”
ที่เยอรมันผมไปแวะเข้าห้องน้ำก็ประมาณ 0.40 EUR แต่ไม่ได้หยอดตู้นะครับ เป็นระบบความซื่อสัตย์ คือมีตะกร้าอันนึงให้เราเอาเงินวางไว้แทน ถ้าเป็นบ้านเรานะ หายทั้งตะกร้าแน่
จะมีที่พักรถอีกแบบที่ผมเคยเข้าห้องน้ำแล้วไม่เสียเงิน คือที่พักรถแบบที่ไม่มีอะไรเลย ในนั้นจะมีแค่ที่จอดรถ กับห้องน้ำตั้งอยู่โดดๆ มีสวน มีที่นั่งให้พักผ่อน พร้อมวิวสวยๆ ระหว่างพักรถแค่นั้น แต่ก็อย่างว่าหละครับ ของฟรี สภาพห้องน้ำก็จะสู้แบบเสียเงินไม่ได้ครับ
-การที่เราขับรถเที่ยวจะสามารถไปที่ไหนก็ได้ ...นี่หละครับความได้เปรียบของการขับรถเที่ยว คือได้ไปในที่ที่รถไฟไปไม่ถึง หลังจากเอารถลงจากรถไฟที่สถานี Kandersteg ขับมาไม่นานก็เจอทะเลสาบ Blausee น้ำสีสวยมาก
"ทะเลสาบ Blausee คนส่วนมากก็จะไปนั่งตากแดดปิคนิคกัน เชิญตามสบายนะครับ ผมคนไทยไม่ชอบแดด"
"Blausee"
สุดท้ายนี้ ...เล่ายาวเลย หวังว่าเรื่องเล่าของผมคงมีประโยชน์กับคนที่กำลังคิดจะขับรถเที่ยวสวิสไม่มากก็น้อยนะครับ ถ้าข้อมูลขาดตกบกพร่องหรือผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอให้เดินทางปลอดภัย สนุกกับการขับรถเที่ยวสวิส และไม่โดนค่าปรับย้อนหลังกันทุกคนนะครับ
จะมีเรื่องแถมท้ายอีกเรื่อง แต่จะไม่เกี่ยวกับการขับรถเที่ยวหรอกนะครับ
ตอนแรกแฟนผมก็บอกให้ผมเปิดกระทู้ใหม่เขียนเรื่องเกี่ยวกับการเที่ยวสวิสที่เราไปมา แต่ผมคงไม่มีเวลามาเขียนอะไรยาวๆ ขนาดนี้อีกแล้ว และผมคิดว่าที่เที่ยวที่เราไปมา มันก็เป็นที่เที่ยวยอดฮิตเหมือนๆ กับที่คนอื่นเค้าไปๆ กันหนะแหละ หาข้อมูลที่ไหนก็มี เลยไม่อยากจะมานั่งเขียนให้ซ้ำกับคนอื่นอีก
แต่เรื่องที่ผมอยากเอามาเล่าเนี่ย ผมคิดว่ามันเป็นกิจกรรมที่คนไปเที่ยวสวิสส่วนใหญ่ อาจจะไม่มีโอกาสได้ทำกันซักเท่าไหร่ เลยอยากเอามาแชร์ให้ทุกคนได้ลองอ่านดู ว่ามันน่าสนใจขนาดไหน
***ขอเวลาผมเรียบเรียงก่อน ไว้มีเวลาจะมาโพสต์อีกทีละกันนะครับ***
มาแล้วครับเรื่องแถมอีกเรื่อง เกือบ 4 เดือนเลยกว่าจะได้เอามาเล่าให้ทุกคนฟัง เชิญติดตามได้เลยครับ
เที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ : นั่ง ฮ. ชมวิวที่สวิสเซอร์แลนด์ (Helicopter Sightseeing/Scenic Flights)
https://ppantip.com/topic/38198728