[หนังโรงเรื่องที่ 233] Ant-Man and the Wasp : ตลกสามช่า ขนาดกะทัดรัด
คะแนนความชอบ : A++ (จากสเกล D-A)
(Peyton Reed, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีมีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: หลังจากที่ไปช่วยกัปตันอเมริกาสู้กับฮีโร่ฝั่งตรงข้ามใน Civil War "สกอตต์ แลงก์" (Paul Rudd) ก็ต้องชดใช้ความผิดฐานทำผิดกฎหมายควบคุมฮีโร่ด้วยการโดนกักบริเวณในบ้านของเขาเป็นเวลา 2 ปีถ้วน
และระหว่างที่รับโทษนี้เขาก็ห้ามติดต่อกับอดีตสมัครพรรคพวก ทั้ง "โฮป" (Evangeline Lilly) และพ่อของเธอ "แฮงค์" (Michael Douglas) ที่เป็นคนคิดค้นเทคโนโลยีย่อส่วนที่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ จากการตามล่าของ FBI
แต่แล้วก็เหมือนจะมีสัญญาณบางอย่างบอกว่าพ่อลูกคู่นี้อาจจะมีโอกาสเข้าไปช่วย "เจเน็ต" แม่ของโฮปที่หลงเข้าไปในมิติควอนตัมเมื่อ 30 ปีก่อนได้
สกอตต์จะต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ระหว่างการทำตัวเป็นพ่อที่ดีด้วยการอยู่บ้านรอวันพ้นโทษ หรือจะฉีกกฎหมายเพื่อออกไปช่วยเพื่อนๆ เขาทั้งที่จะทำให้ตัวเองต้องเสี่ยงอีก
.
.
📖 การดำเนินเรื่อง 📖
เป็นหนังภาคต่อที่รักษาสไตล์ของตัวเองไว้ได้ดี คือถ้าใครจำเนื้อเรื่องภาคแรกได้ก็คงจะนึกออกว่าธีมของ Ant-Man ก็คือพล็อตขนาดย่อม ไม่ต้องใหญ่มาก ไม่อลังการเท่าไร แต่ก็ทำหน้าที่ได้ดี ซึ่งสำหรับภาคนี้มันก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่
คือในขณะที่เนื้อเรื่องของคนอื่นจะเข้มข้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน กัปตันอาจจะอยากช่วยโลก แบล็คแพนเธอร์อาจจะต้องปกครองประเทศ ส่วน Ant-Man อยากเลี้ยงลูกอยู่บ้านเฉยๆ ว่ะ
ซึ่งสำหรับผมแล้วมันนับว่าเป็นข้อดีนะ คือหนังมันเล็กแต่มันก็เล็กพริกขี้หนู มันมีตัวร้ายที่เก่งสมน้ำสมเนื้อ พลังของพวกตัวเอกก็พอไปวัดไปวา อีกทั้งมันยังเล่าพล็อตเล็กๆ ของตัวเองได้ดีและส่งต่อความบันเทิงออกมาได้เต็มที่
คือหลักๆ แล้วมันก็จะเน้นเล่าเรื่องการช่วยแม่นางเอกนั่นแหละ แต่เนื้อหาย่อยๆ ของแต่ละตัวละครก็ทำให้รู้สึก relate ได้นิดหน่อยด้วย คือทุกคนล้วนก็หาทางเอาตัวรอดในแบบของตัวเอง มันเลยเป็นเหมือนหนังเบาๆ ที่ใช้ถ่ายทอด "ความรู้สึก" ของแต่ละคนออกมาให้เราเห็นกันได้ดี
.
.
📖 ความบันเทิง 📖
ขอเอาหัวเป็นประกันเลยว่า "ความฮา" และ "ความเกรียน" คือทีเด็ดของหนังเรื่องนี้จริงๆ นี่ก็บอกไม่ถูกว่าตลอด 2 ชั่วโมงผมขำไปกี่ครั้ง คือหนังมันยิงมุกไม่เบรกจริงๆ แล้วมุกมันก็จังหวะดีไร้พิษภัยสมเกรด Marvel มากๆ
ซึ่งตัวละครที่แบกความจี้ของหนังไว้ก็คงหนีไม่พ้นพ่อหนุ่มพูดมากอย่าง "ลูอิส" (Michael Peña) ที่เกิดมาเพื่อชงมุกตบมุกจริงๆ
อีกอย่างคือความพยายามที่จะเอาคนทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์มาเล่นมุกนี่ต้องนับถือจริงๆ คือมุกมัน multi-cultural มากๆ (โดยเฉพาะฉากเปิดตัวนักทรมาน "อุซมัน" ชาวอินเดียนี่ผมลั่นก๊ากเลย อดไม่ได้จริงๆ)
สิ่งที่ชอบอีกอย่างก็คือหนังมันไม่ได้คิดจะทำอะไรเป็นจริงเป็นจังเลย ฉากที่ปกติแล้วก็ควรจะเครียด พี่แกก็ยิงมุก! ฉากที่ควรจะซึ้ง เอ้า ยิงมุก! ฉากนี้กำลังไคลแม็กซ์ เอ้า ยิงไปอีกดอก! คือพอมันเซ็ตโทนตัวเองชัดเจนแบบนี้ก็ทำให้เราปล่อยตัวตามสบายแล้วก็นั่งขำไปกับมันได้ ส่วนตัวคิดว่าการทำแบบนี้ดีกว่าการสลับอารมณ์ไปมาอีก
.
.
📖 ความพิเศษ 📖
ส่วนที่น่าสนใจก็คือลีลาการใช้พลังย่อส่วนที่เหมือนจะเพิ่มความสร้างสรรค์จากภาคแรกพอสมควร คือเราจะได้เห็นเทคนิคการต่อสู้ของตัวเอกที่หลากหลายขึ้น เกรียนขึ้น สมบุกสมบันมากขึ้น จนถึงจุดที่กระปุกลูกอมคิตตี้ก็กลายเป็นอาวุธได้แบบในตัวอย่างนั่นแหละ
รวมไปถึงการใช้พลังย่อส่วนในชีวิตประจำวันรูปแบบต่างๆ ด้วย ซึ่งมันก็เป็นสีสันที่สอดรับกับความฮาที่หนังพยายามนำเสนอได้ดี แต่ติดอยู่อย่างเดียวคือมันดูเริ่มจะตันแล้วนี่สิ ถ้ามีภาคต่อไปก็กลัวว่าจะไม่มีมุกอะไรเด็ดๆ มาเสริมเข้าไปในเรื่องแล้วหรือเปล่า?
.
.
Ant-Man and the Wasp อาจจะเป็นหนังที่อยู่ในหมวด "หนังครอบครัวไร้พิษภัย" ก็ว่าได้ มันคือหนังคั่นเวลาให้เราดูแก้เหงาระหว่างรอดูบทสรุปของ Avengers ที่ไม่ได้มีเนื้อหาที่หนักหน่วงหรือสลักสำคัญอะไรมากมาย คิดซะว่าเป็นความบันเทิงที่น่าจะเข้าไปสัมผัสในโรงแล้วกันนะครับ
ป.ล.มี End Credit (สำคัญพอสมควร)
#ตั๋วหนังมันแพง
ถูกใจรีวิวก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจได้ครับ:
https://www.facebook.com/expensivemovie/
[หนังโรงเรื่องที่ 233] Ant-Man and the Wasp : ตลกสามช่า ขนาดกะทัดรัด by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 233] Ant-Man and the Wasp : ตลกสามช่า ขนาดกะทัดรัด
คะแนนความชอบ : A++ (จากสเกล D-A)
(Peyton Reed, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีมีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: หลังจากที่ไปช่วยกัปตันอเมริกาสู้กับฮีโร่ฝั่งตรงข้ามใน Civil War "สกอตต์ แลงก์" (Paul Rudd) ก็ต้องชดใช้ความผิดฐานทำผิดกฎหมายควบคุมฮีโร่ด้วยการโดนกักบริเวณในบ้านของเขาเป็นเวลา 2 ปีถ้วน
และระหว่างที่รับโทษนี้เขาก็ห้ามติดต่อกับอดีตสมัครพรรคพวก ทั้ง "โฮป" (Evangeline Lilly) และพ่อของเธอ "แฮงค์" (Michael Douglas) ที่เป็นคนคิดค้นเทคโนโลยีย่อส่วนที่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ จากการตามล่าของ FBI
แต่แล้วก็เหมือนจะมีสัญญาณบางอย่างบอกว่าพ่อลูกคู่นี้อาจจะมีโอกาสเข้าไปช่วย "เจเน็ต" แม่ของโฮปที่หลงเข้าไปในมิติควอนตัมเมื่อ 30 ปีก่อนได้
สกอตต์จะต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ระหว่างการทำตัวเป็นพ่อที่ดีด้วยการอยู่บ้านรอวันพ้นโทษ หรือจะฉีกกฎหมายเพื่อออกไปช่วยเพื่อนๆ เขาทั้งที่จะทำให้ตัวเองต้องเสี่ยงอีก
.
เป็นหนังภาคต่อที่รักษาสไตล์ของตัวเองไว้ได้ดี คือถ้าใครจำเนื้อเรื่องภาคแรกได้ก็คงจะนึกออกว่าธีมของ Ant-Man ก็คือพล็อตขนาดย่อม ไม่ต้องใหญ่มาก ไม่อลังการเท่าไร แต่ก็ทำหน้าที่ได้ดี ซึ่งสำหรับภาคนี้มันก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่
คือในขณะที่เนื้อเรื่องของคนอื่นจะเข้มข้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน กัปตันอาจจะอยากช่วยโลก แบล็คแพนเธอร์อาจจะต้องปกครองประเทศ ส่วน Ant-Man อยากเลี้ยงลูกอยู่บ้านเฉยๆ ว่ะ
ซึ่งสำหรับผมแล้วมันนับว่าเป็นข้อดีนะ คือหนังมันเล็กแต่มันก็เล็กพริกขี้หนู มันมีตัวร้ายที่เก่งสมน้ำสมเนื้อ พลังของพวกตัวเอกก็พอไปวัดไปวา อีกทั้งมันยังเล่าพล็อตเล็กๆ ของตัวเองได้ดีและส่งต่อความบันเทิงออกมาได้เต็มที่
คือหลักๆ แล้วมันก็จะเน้นเล่าเรื่องการช่วยแม่นางเอกนั่นแหละ แต่เนื้อหาย่อยๆ ของแต่ละตัวละครก็ทำให้รู้สึก relate ได้นิดหน่อยด้วย คือทุกคนล้วนก็หาทางเอาตัวรอดในแบบของตัวเอง มันเลยเป็นเหมือนหนังเบาๆ ที่ใช้ถ่ายทอด "ความรู้สึก" ของแต่ละคนออกมาให้เราเห็นกันได้ดี
.
ขอเอาหัวเป็นประกันเลยว่า "ความฮา" และ "ความเกรียน" คือทีเด็ดของหนังเรื่องนี้จริงๆ นี่ก็บอกไม่ถูกว่าตลอด 2 ชั่วโมงผมขำไปกี่ครั้ง คือหนังมันยิงมุกไม่เบรกจริงๆ แล้วมุกมันก็จังหวะดีไร้พิษภัยสมเกรด Marvel มากๆ
ซึ่งตัวละครที่แบกความจี้ของหนังไว้ก็คงหนีไม่พ้นพ่อหนุ่มพูดมากอย่าง "ลูอิส" (Michael Peña) ที่เกิดมาเพื่อชงมุกตบมุกจริงๆ
อีกอย่างคือความพยายามที่จะเอาคนทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์มาเล่นมุกนี่ต้องนับถือจริงๆ คือมุกมัน multi-cultural มากๆ (โดยเฉพาะฉากเปิดตัวนักทรมาน "อุซมัน" ชาวอินเดียนี่ผมลั่นก๊ากเลย อดไม่ได้จริงๆ)
สิ่งที่ชอบอีกอย่างก็คือหนังมันไม่ได้คิดจะทำอะไรเป็นจริงเป็นจังเลย ฉากที่ปกติแล้วก็ควรจะเครียด พี่แกก็ยิงมุก! ฉากที่ควรจะซึ้ง เอ้า ยิงมุก! ฉากนี้กำลังไคลแม็กซ์ เอ้า ยิงไปอีกดอก! คือพอมันเซ็ตโทนตัวเองชัดเจนแบบนี้ก็ทำให้เราปล่อยตัวตามสบายแล้วก็นั่งขำไปกับมันได้ ส่วนตัวคิดว่าการทำแบบนี้ดีกว่าการสลับอารมณ์ไปมาอีก
.
ส่วนที่น่าสนใจก็คือลีลาการใช้พลังย่อส่วนที่เหมือนจะเพิ่มความสร้างสรรค์จากภาคแรกพอสมควร คือเราจะได้เห็นเทคนิคการต่อสู้ของตัวเอกที่หลากหลายขึ้น เกรียนขึ้น สมบุกสมบันมากขึ้น จนถึงจุดที่กระปุกลูกอมคิตตี้ก็กลายเป็นอาวุธได้แบบในตัวอย่างนั่นแหละ
รวมไปถึงการใช้พลังย่อส่วนในชีวิตประจำวันรูปแบบต่างๆ ด้วย ซึ่งมันก็เป็นสีสันที่สอดรับกับความฮาที่หนังพยายามนำเสนอได้ดี แต่ติดอยู่อย่างเดียวคือมันดูเริ่มจะตันแล้วนี่สิ ถ้ามีภาคต่อไปก็กลัวว่าจะไม่มีมุกอะไรเด็ดๆ มาเสริมเข้าไปในเรื่องแล้วหรือเปล่า?
.
Ant-Man and the Wasp อาจจะเป็นหนังที่อยู่ในหมวด "หนังครอบครัวไร้พิษภัย" ก็ว่าได้ มันคือหนังคั่นเวลาให้เราดูแก้เหงาระหว่างรอดูบทสรุปของ Avengers ที่ไม่ได้มีเนื้อหาที่หนักหน่วงหรือสลักสำคัญอะไรมากมาย คิดซะว่าเป็นความบันเทิงที่น่าจะเข้าไปสัมผัสในโรงแล้วกันนะครับ
ป.ล.มี End Credit (สำคัญพอสมควร)
#ตั๋วหนังมันแพง
ถูกใจรีวิวก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจได้ครับ: https://www.facebook.com/expensivemovie/