เปิดใจอากิโมโต้ ยาสุชิ ชายผู้ไม่เคยหยุดคิดสิ่งใหม่ๆให้วงการบันเทิง (03/04/17)
"ผมอยากเห็นในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน"
อากิโมโต้ ยาสุชิ
แม้ว่าอากิโมโต้ยาสิชิจะเป็นโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงให้กับ48Group แต่เค้ายังเป็นผู้นำสิ่งใหม่ๆมาสู่อุตสาหกรรมไอดอลอีกด้วย
อากิโมโต้ ยาสุชิถือกำเนิดที่โตเกียวในปี1958 สมัยยังเรียนอากิโมโต้เคยเขียนบทโทรทัศน์ให้รายการหลายรายการรวมถึงรายการ “The Best Ten” อันโด่งดังอีกด้วย ต่อมาในปี1983ชื่อของเค้าเริ่มกลายเป็นที่รู้จักจากการแต่งเพลง“Kawa no nagare no you ni” ให้กับ มิโซระ ฮิบาริ หลังจากนั้นอากิโมโต้ก็ได้แต่งเพลงฮิตติดลมบนมาอย่างต่อเนื่องอีกหลายเพลง
ปัจจุบันนี้เค้ารับบทโปรดิวเซอร์ของไอดอลแห่งชาติอย่างAKB48(รวมไปถึงโนกิซากะ46และเคยะกิซากะ46)
เพลง Kawa no nagare no you ni ที่แต่งโดยอากิโมโต้ ยาสุชิได้รับการโหวตว่าเป็นเพลงที่เพราะที่สุดในญี่ปุ่นเมื่อปี 1977
Q: ในNikkei Businessฉบับพิเศษเล่มนี้เราจะมาคุยกันเรื่องความหมายของ “ไอดอล” กันสักหน่อย อากิโมโต้ซังครับ “ไอดอล” ในความหมายของคุณคืออะไรและมี "ไอดอล" มีความเปลี่ยนแปลงยังไงครับ?
อากิโมโต้: ผมคิดว่าในช่วงหลายปีมานี้ภาพลักษณ์ของไอดอลไม่ได้เปลี่ยนไปมากสักเท่าไร พูดกันตรงๆไอดอลและอุตสาหกรรมบันเทิงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ผมคิดว่าสิงที่เปลี่ยนคือแฟนๆที่เป็นผู้บริโภคสื่อต่างหาก ในมุมมองของผมวงการไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
แนวทางของผมคือผมจะทำในสิ่งที่ผมพอใจจะทำ แต่มันจะปังหรือพังก็อยู่ที่ผู้บริโภคในตอนนั้นต้องการอะไร ถ้าหากสิ่งที่ผมคิดกับสิ่งที่แฟนๆต้องการมันตรงกันพอดีเวลานั้นแหละคือเวลาที่ไอดอลกรุ๊ปนั้นจะดังระเบิด แต่ถ้าหากไอดอลกรุ๊ปนั้นไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง ผู้คนก็จะเปรียบเทียบกับสิ่งที่เค้าคิดแล้วก็จะเริ่มคิดกันว่า “ไอดอลเปลี่ยนไปแล้วสินะ”
คุณอากุ ยูเคยบอกกับผมว่าตอนที่เครื่องวอร์คแมนเริ่มเข้ามามีบทบาท ตอนนั้นอุตสาหกรรมเพลงเปลี่ยนไปอย่างมาก ในสมัยก่อนหากคุณอยากฟังเพลงใหม่ๆ คุณก็ต้องไปแถวใจกลางเมืองที่เค้าชอบเปิดเพลงกันเพื่อไปฟังเพลงใหม่ๆแล้วก็ค่อยชอบมัน แต่ว่าตอนที่วอร์คแมนเริ่มดัง กลายเป็นว่าผู้คนเดินไปมาใส่หูฟังฟังแต่เพลงที่ตัวเองชอบ เพราะอย่างงี้ไงเพลงใหม่ๆถึงดังยาก
"การตลาดไม่ใช่ทุกอย่าง"
Q: เรารู้มาว่าคุณเชื่อว่าการสำรวจตลาดและความต้องการของผู้บริโภคไม่ใช่ทุกอย่าง ทำไมคุณถึงคิดยังงั้น?
อากิโมโต้: ตอนที่ผมเริ่มเขียนบทโทรทัศน์ตอนอายุ30 ผมมักจะเขียนโดยคิดในใจว่า “คนอยากดูอะไรในช่วงเวลาที่รายการของผมฉาย” ผมว่ามันเป็นความคิดที่โง่จริงๆ วันนึงผมคิดได้ว่าผมก็เป็นแค่ผู้ชมธรรมดาคนนึงเหมือนกัน แทนที่จะเขียนบทให้คนที่ไม่รู้จักแล้วมานั่งเครียดว่าเค้าจะชอบไหม ผมว่าผมเขียนสิ่งที่ตัวเองซึ่งเป็นคนธรรมดาคนนึงเหมือนกันกำลังสนใจดีกว่า พอคิดได้ยังงี้ผมก็เลิกห่วงเรื่องกระแสและตลาดหันมาเขียนสิ่งที่ตัวเองชอบดีกว่า
"เพลง “Nantetatte Idol(ยังไงฉันก็จะเป็นไอดอล)” คือเพลงสะท้อนความขัดแย้งของยุคก่อน"
Q: ในปี 1985 ตอนที่เพลง “Nantetatte Idol” ของโคอิซุมิ เคียวโกะวางขาย เนื้อหาของเพลงเข้าใจง่ายและสะท้อนภาพลักษณ์ของไอดอลในสมัยก่อนได้อย่างชัดเจน คุณเห็นด้วยไหม?
อากิโมโต้: ตอนที่ผมเขียนเพลงนี้ ยุคนั้นเป็นยุคที่วงร๊อคบูมมากๆ ฮอนดะ มินาโกะตั้งวง Wild Cat ขึ้น ไอดอลคนอื่นๆก็เดินเข้ามาสู่โลกของวงร๊อคเช่นกัน สังคมในตอนนั้นมองไอดอลที่แต่งตัวน่ารักๆเต้นแบ๊วๆว่าไม่เท่ห์ เพราะฉะนั้นตอนที่ผมเขียนเพลง“Nantetatte Idol”ผมต้องการจะสื่อสิ่งที่ขัดแย้งกับความคิดคนยุคนั้นว่า “เป็นไอดอลมันไม่เท่ห์ตรงไหน?” ผมว่าถ้าผมเขียนเพลงตามกระแสในตอนนั้น เพลงที่ผมเขียนคงอยู่ได้ไม่นาน
"สังคมมักจะสงสารเด็กธรรมดาที่พยายามจะโด่งดัง"
Q: ในช่วงเวลาใกล้ๆกันตอนที่วงOnyanko Club เดบิ้ว(ในปี 1985) พวกเธอเป็นไอดอลที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำไมพวกเธอถึงโด่งดังในหมู่คนทั่วไปได้?
อากิโมโต้: ตอนที่ผมตัดสินใจเริ่มคิดทำวงนี้ผมได้ความคิดมาจากตอนที่MCประกาศบนเวทีว่า "นิตตะ เอริจังไม่สามารถมาร่วมรายการได้ เนื่องจากติดสอบมิดเทอม"
ในสมัยก่อนถ้าคุณคิดถึงไอดอล คุณก็จะนึกถึงภาพเด็กสักคนไปเรียนร้องเพลงและเต้นที่สถาบันโฮริชิโกะ เด็กพวกนี้ไม่ได้เรียนในโรงเรียนปกติซึ่งมันก็ดูเท่ห์ดีในสมัยนั้น มองอีกมุมนึงคือไอดอลคือผู้ที่รับเลือกให้เป็นคนพิเศษ ซึ่งในยุค80คือยุคที่อุตสาหกรรมบันเทิงมาถึงจุดสูงสุดทำให้ผู้คนมากมายอยากเข้ามาในวงการบันเทิง
แต่ตอนที่ยามากุจิ โมโมเอะซังออกจากวงการบันเทิงและวง Candies ยุบวง ผมว่าตอนนั้นคนเริ่มตั้งคำถามกันแล้วว่า “การอยู่ในจุดสูงสุดของวงการมานานมันดีขนาดนั้นเลยหรอ?” แต่ตอนนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังมองว่าวงการบันเทิงคือโลกในฝันที่สวยหรูอยู่ เวลาผ่านไปหลายปี เด็กๆส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะไปสอบมิดเทอมมากกว่าไปออกทีวีซะงั้น ผมคิดว่านี่แหละคือก้าวใหม่ของไอดอลเลยนะ
Onyanko Club ที่ก่อตั้งโดยอากิโมโต้เดบิ้วได้เพียง 2 ปีก็ต้องยุบวงไปและอดีตเมมเบอร์ในวงได้กลายมาเป็นภรรยาของอากิโมโต้ในภายหลัง
"จะเดบิ้วอะไรก็ต้องดูว่าผู้คนกำลัง “โหยหา” สิ่งไหน"
อากิโมโต้: สมัยผมยังเด็ก ผมชอบไปดูคณะกายกรรมที่โรงละครมาก ได้เห็นพวกเค้าเริ่มเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจากโรงละครเล็กๆและค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น ตอนนั้นผมคิดว่า “สุดยอดจริงๆที่ได้เห็นการเติบโตของพวกเขา” ตอนแรกผมกะว่าจะทำโรงละครสำหรับคณะกายกรรมแบบเดียวกันที่แถวๆฮาราจูกุและอาโอยาม่า แต่หาที่ตั้งโรงละครอยู่นานก็ไม่เจอที่เหมาะๆสักที หาไปหามาก็มาเจอที่เหมาะๆแถวอากิฮาบาร่านี่แหละ แต่ถ้าเราเปิดโรงละครสำหรับคณะกายกรรมที่อากิฮาบาระคงไม่เหมาะ ผมว่าทำวงไอดอลคงน่าจะเป็นที่สนใจในแถบนี้มากกว่า ดังนั้นในปี2005ผมจึงตัดสินใจสร้างAKB48ขึ้นมา
ตอนที่สร้างวงผมไม่ได้สนใจการตลาดหรือความต้องการของผู้บริโภคเท่าไรนักหรอก ดังนั้นผมเลยเจอเสียงต่อต้านมามากมายจากหลายฝ่าย แต่ในหัวผมตอนนั้นคิดแต่ว่า “ไอดอลที่แสดงทุกวันเพื่อที่คุณจะได้เห็นการเติบโตของพวกเธอ น่าสนุกจะตาย”
ในตอนนั้นการโหลดเถื่อนกำลังเป็นที่แพร่หลาย ผมเลยต้องหาทางเพื่อให้วงอยู่รอดซึ่งการแสดงสดเนี่ยแหละคือทางรอด
พอเปิดตัวไปในเดือนธันวาปี2005 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธุ์ปีถัดมาตั๋วเธียเตอร์ก็ขายหมดเกลี้ยง การพูดกันปากต่อปากในอินเตอร์เน็ตมันลุกลามไปเร็วจริงๆ ชาวเน็ตพูดกันว่า “เราเจออะไรเจ๋งๆมาด้วยแหละ” พวกเค้าพูดเหมือนเจอฐานทัพลับยังไงยังงั้นเลย
ในยุคนี้มันไม่มีสูตรสำเร็จในการปั้นไอดอลวงนึงให้โด่งดังขึ้นมาหรอกนะ สิ่งที่สำคัญคือการนำเสนอสิ่งที่สังคมกำลังต้องการ มันก็เหมือนการเสิร์ฟแกงกระหรี่เนื้อทอดให้กับนักเบสบอลที่เพิ่งซ้อมเสร็จนั่นแหละ สิ่งนี้แหละที่เป็นตัวตัดสินว่าวงไหนจะรุ่งหรือร่วง ผมคิดว่าสิ่งที่วงOnyankoเติมเต็มให้กับสังคมในตอนนั้นก็คือความที่วงเป็นมือสมัครเล่นที่ไม่ได้เก่งกาจอะไร ในปัจจุบันนี้ผมว่าสิ่งที่AKB48เติมเต็มให้กับสังคมก็คือความรู้สึกเห็นใจให้ไอดอลที่ค่อยๆพัฒนาตัวเองขึ้นมา
Q: ภาพลักษณ์ของไอดอลที่สังคมต้องการเป็นแบบไหนครับ?
อากิโมโต้: เอาจริงๆผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
ผมว่าความคิดของคนส่วนใหญ่ก็คงอยากเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยผู้คนก็ยังคิดแบบนี้ ยกตัวอย่างตอนที่ผมสร้างโนกิซากะ46ที่เป็นวงคู่แข่งของAKB ในโลกไอดอลไม่มีใครเค้าทำแบบนี้หรอก อีกตัวอย่างก็คือตอนที่เคยะกิซากะเปิดตัวอย่างงดงามด้วยเพลง Silent Majority แม้ว่าเนื้อหาของเพลงนี้มันค่อนข้างรุนแรง แต่ผมว่าที่มันดังเพราะคนอยากเห็นในสิ่งที่เค้าไม่เคยเห็นมาก่อน
ตอนแรกผมตั้งใจจะเอาเพลงSilent Majorityไปเป็นเพลงประกอบโฆษณา ตอนนั้นมีคนมาขอให้ผมแต่งเพลงที่มีเนื้อหาน่ารักสดใส แต่แต่งไปแต่งมาไม่รู้ทำไมมันถึงออกมาคนละขั้วแบบนี้ แต่ในใจผมคิดว่าเพลงนี้มันเจ๋งดี มันเหมือนตอนนี้สังคมต้องการอะไรเค็มๆบ้างหลังการที่เสพรสหวานมานานคุณคิดเหมือนผมไหม?
เพลง Silent Majority - Keyakizaka46 เนื่อเพลงว่าถึงพลังเงียบที่ไม่เคยกล้าแสดงออกอยู่ในสังคม เพียงแต่เจ้าของเสียงยังไม่กล้าที่จะแสดงความเห็นมันถึงเวลาแล้วหล่ะ ที่ต้องลุกขึ้นมาแสดงตัวกันสักที เพื่อไม่ให้พวก False Majority เอาไปเหมารวมอีกต่อไป
Q: คุณคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างไอดอลคืออะไร? ตอนไหนที่คุณรู้สึกตัวว่าสิ่งนี้มันน่าสนใจ? คุณใช้บรรทัดฐานอะไรในการตัดสินใจ?
อากิโมโต้: ผมมักจะบอกบรรดาสต๊าฟเสมอว่าอย่าไปยึดติดกับความคิดเดิมๆ คนมักจะไม่ค่อยสนสิ่งที่เคยเห็น,เคยฟัง หรือเข้าใจมันแล้ว ตอนที่คนเริ่มตั้งคำถามว่า “นี่มันอะไรวะเนี่ย?” นั่นแสดงว่าเค้าเริ่มให้ความสนใจแล้ว
พอผมพูดแบบนี้ คนก็จะเริ่มคิดว่า “อากิโมโต้จะทำอะไรแผลงๆอีกแล้วสินะ” ผมอยากบอกพวกคุณว่ามันไม่ใช่อย่างงั้นนะ ผมแค่อยากก้าวข้ามกำแพงที่บอกว่า “ไอดอลทำแบบนี้ไม่ได้” แล้วก็ “ไอดอลไม่ควรทำแบบนี้” โดยการฉีกกรอบเดิมๆ
มีตัวอย่างอยู่หลายเรื่อง ครั้งนึงตอนที่AKBเพิ่งเริ่มต้น ผมได้รับรายงานว่ามีเมมเบอร์ข้อเท้าเคล็ด เราเลยให้เธอหยุดพัก พอเราถามเธอว่า “ซวยชะมัด เจ็บมากไหม?” เธอบอกว่าไม่เจ็บเท่าไรยังเดินไหว แต่ถ้าเต้นจะเจ็บมาก
ผมก็เลยบอกว่าให้เอาเก้าอี้ขึ้นไปบนเวทีไหม นั่งไปร้องเพลงไปก็ได้ ที่ผมพูดยังงั้นเพราะว่าไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน นี่ต้องเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าสำหรับแฟนๆแน่นอน เราอยากทลายกำแพงที่ว่า “เมมเบอร์ที่บาดเจ็บจะขึ้นแสดงไม่ได้”
"การออดิชั่นสุดแปลก"
อากิโมโต้: มีตัวอย่างชัดๆอยู่เคสนึงคือชิมาซากิ ฮารุกะผู้ที่โด่งดังเพราะความเย็นชาต่อแฟนๆของเธอ ผมได้ยินจากสต๊าฟมาว่าเธอเป็นคนที่นิสัยดีมากๆ แต่ความคิดของเธอที่มีต่อแฟนๆดูจะไม่ค่อยดีเท่าไร จนเมมเบอร์บางคนเริ่มเข้าใจเธอผิด พวกสต๊าฟมาบอกให้ผมไปดุเธอบ้าง แต่ผมคิดว่าไอดอลที่ไม่ได้พยายามเอาใจแฟนๆมันก็ดูน่าสนุกดี ไม่ได้เสียหายอะไร มีเมมเบอร์แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
การออดิชั่นของAKBจะไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องสักเท่าไร ถ้าออดิชั่นแบบธรรมดาทั่วไปกรรมการจะเรียกผู้สมัครทีละ2-3คนในแต่ละรอบ จากนั้นก็ให้คะแนนพวกเธอจากหน้าตาและการแสดงทักษะต่างๆ แต่เราใช้ระบบที่ต่างออกไป ถ้าหากกรรมการสักคนนึงโพล่งออกมาว่า “ผมชอบเด็กคนนี้” แล้วทุกคนร้อง “เอ๋----!?” เธอคนนั้นจะผ่าน เหตุผลที่ทำแบบนี้เพราะว่าแฟนๆก็คงรู้สึกต่อเด็กคนนี้แบบเดียวกันกับพวกเรา จากนั้นก็จะเริ่มเกิดความเห็นอกเห็นใจเด็กคนนี้ แต่ถ้าเรารับคนที่เก่งแทบทุกด้าน พอมาถึงจุดนึงเราจะเจอสถานการณ์ที่ทุกคนเท่ากันหมด
ชิมาซากิ ฮารุกะ อดีตเมมเบอร์ของAKB48 รุ่นที่ 9
Q: คุณใช้วิธีอะไรในการสร้างโมเดลธุกิจให้AKB48?
อากิโมโต้: ผมไม่ค่อยรู้เรื่องธุรกิจเท่าไรหรอกนะ แต่ผมรู้ว่าเราคงแพ้แน่หากเราทำเหมือนๆกับที่คนอื่นเค้าทำมาแล้ว ดังนั้นผมเลยไม่ทำแบบคนอื่น ถ้าหากเรายังคิดอะไรใหม่ๆไม่ออกเราก็ควรจะอดทนไว้ มันคงง่ายเกินไปหากทุกอย่างหมุนรอบตัวเรา ตั้งแต่เริ่มทำAKBใหม่ๆผมมักจะบอกกับสต๊าฟว่า “จงทำตัวให้เหมือนน้ำคาลพิสบริสุทธ์” เพราะว่าน้ำคาลพิสบริสุทธ์สามารถเอาไปทำได้หลายอย่างเช่นไอศครีมไปจนถึงลูกอม
ผมอยากให้ไอดอลเปิดกว้างมากกว่านี้ ผมคิดถึงน้ำคาลพิสบริสุทธิ์เพราะใครๆก็เอาไปใช้ประโยชน์ได้ เมื่อมีคนเอาไปใช้ประโยชน์และยังมีคนอยากซื้อคาลพิส ธุรกิจมันก็ยังเติบโตต่อไปได้ หากวันนึงผมหมดไอเดียก็จะมีคนนำเสนอเดียใหม่ๆเข้ามาแทน
น้ำคาลพิส
เปิดใจอากิโมโต้ ยาสุชิ ถึงการสร้าง48Gและการเติบโตของไอดอลญี่ปุ่นในต่างประเทศ
"ผมอยากเห็นในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน"
อากิโมโต้ ยาสุชิ
แม้ว่าอากิโมโต้ยาสิชิจะเป็นโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงให้กับ48Group แต่เค้ายังเป็นผู้นำสิ่งใหม่ๆมาสู่อุตสาหกรรมไอดอลอีกด้วย
อากิโมโต้ ยาสุชิถือกำเนิดที่โตเกียวในปี1958 สมัยยังเรียนอากิโมโต้เคยเขียนบทโทรทัศน์ให้รายการหลายรายการรวมถึงรายการ “The Best Ten” อันโด่งดังอีกด้วย ต่อมาในปี1983ชื่อของเค้าเริ่มกลายเป็นที่รู้จักจากการแต่งเพลง“Kawa no nagare no you ni” ให้กับ มิโซระ ฮิบาริ หลังจากนั้นอากิโมโต้ก็ได้แต่งเพลงฮิตติดลมบนมาอย่างต่อเนื่องอีกหลายเพลง
ปัจจุบันนี้เค้ารับบทโปรดิวเซอร์ของไอดอลแห่งชาติอย่างAKB48(รวมไปถึงโนกิซากะ46และเคยะกิซากะ46)
เพลง Kawa no nagare no you ni ที่แต่งโดยอากิโมโต้ ยาสุชิได้รับการโหวตว่าเป็นเพลงที่เพราะที่สุดในญี่ปุ่นเมื่อปี 1977
Q: ในNikkei Businessฉบับพิเศษเล่มนี้เราจะมาคุยกันเรื่องความหมายของ “ไอดอล” กันสักหน่อย อากิโมโต้ซังครับ “ไอดอล” ในความหมายของคุณคืออะไรและมี "ไอดอล" มีความเปลี่ยนแปลงยังไงครับ?
อากิโมโต้: ผมคิดว่าในช่วงหลายปีมานี้ภาพลักษณ์ของไอดอลไม่ได้เปลี่ยนไปมากสักเท่าไร พูดกันตรงๆไอดอลและอุตสาหกรรมบันเทิงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ผมคิดว่าสิงที่เปลี่ยนคือแฟนๆที่เป็นผู้บริโภคสื่อต่างหาก ในมุมมองของผมวงการไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
แนวทางของผมคือผมจะทำในสิ่งที่ผมพอใจจะทำ แต่มันจะปังหรือพังก็อยู่ที่ผู้บริโภคในตอนนั้นต้องการอะไร ถ้าหากสิ่งที่ผมคิดกับสิ่งที่แฟนๆต้องการมันตรงกันพอดีเวลานั้นแหละคือเวลาที่ไอดอลกรุ๊ปนั้นจะดังระเบิด แต่ถ้าหากไอดอลกรุ๊ปนั้นไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง ผู้คนก็จะเปรียบเทียบกับสิ่งที่เค้าคิดแล้วก็จะเริ่มคิดกันว่า “ไอดอลเปลี่ยนไปแล้วสินะ”
คุณอากุ ยูเคยบอกกับผมว่าตอนที่เครื่องวอร์คแมนเริ่มเข้ามามีบทบาท ตอนนั้นอุตสาหกรรมเพลงเปลี่ยนไปอย่างมาก ในสมัยก่อนหากคุณอยากฟังเพลงใหม่ๆ คุณก็ต้องไปแถวใจกลางเมืองที่เค้าชอบเปิดเพลงกันเพื่อไปฟังเพลงใหม่ๆแล้วก็ค่อยชอบมัน แต่ว่าตอนที่วอร์คแมนเริ่มดัง กลายเป็นว่าผู้คนเดินไปมาใส่หูฟังฟังแต่เพลงที่ตัวเองชอบ เพราะอย่างงี้ไงเพลงใหม่ๆถึงดังยาก
"การตลาดไม่ใช่ทุกอย่าง"
Q: เรารู้มาว่าคุณเชื่อว่าการสำรวจตลาดและความต้องการของผู้บริโภคไม่ใช่ทุกอย่าง ทำไมคุณถึงคิดยังงั้น?
อากิโมโต้: ตอนที่ผมเริ่มเขียนบทโทรทัศน์ตอนอายุ30 ผมมักจะเขียนโดยคิดในใจว่า “คนอยากดูอะไรในช่วงเวลาที่รายการของผมฉาย” ผมว่ามันเป็นความคิดที่โง่จริงๆ วันนึงผมคิดได้ว่าผมก็เป็นแค่ผู้ชมธรรมดาคนนึงเหมือนกัน แทนที่จะเขียนบทให้คนที่ไม่รู้จักแล้วมานั่งเครียดว่าเค้าจะชอบไหม ผมว่าผมเขียนสิ่งที่ตัวเองซึ่งเป็นคนธรรมดาคนนึงเหมือนกันกำลังสนใจดีกว่า พอคิดได้ยังงี้ผมก็เลิกห่วงเรื่องกระแสและตลาดหันมาเขียนสิ่งที่ตัวเองชอบดีกว่า
"เพลง “Nantetatte Idol(ยังไงฉันก็จะเป็นไอดอล)” คือเพลงสะท้อนความขัดแย้งของยุคก่อน"
Q: ในปี 1985 ตอนที่เพลง “Nantetatte Idol” ของโคอิซุมิ เคียวโกะวางขาย เนื้อหาของเพลงเข้าใจง่ายและสะท้อนภาพลักษณ์ของไอดอลในสมัยก่อนได้อย่างชัดเจน คุณเห็นด้วยไหม?
อากิโมโต้: ตอนที่ผมเขียนเพลงนี้ ยุคนั้นเป็นยุคที่วงร๊อคบูมมากๆ ฮอนดะ มินาโกะตั้งวง Wild Cat ขึ้น ไอดอลคนอื่นๆก็เดินเข้ามาสู่โลกของวงร๊อคเช่นกัน สังคมในตอนนั้นมองไอดอลที่แต่งตัวน่ารักๆเต้นแบ๊วๆว่าไม่เท่ห์ เพราะฉะนั้นตอนที่ผมเขียนเพลง“Nantetatte Idol”ผมต้องการจะสื่อสิ่งที่ขัดแย้งกับความคิดคนยุคนั้นว่า “เป็นไอดอลมันไม่เท่ห์ตรงไหน?” ผมว่าถ้าผมเขียนเพลงตามกระแสในตอนนั้น เพลงที่ผมเขียนคงอยู่ได้ไม่นาน
"สังคมมักจะสงสารเด็กธรรมดาที่พยายามจะโด่งดัง"
Q: ในช่วงเวลาใกล้ๆกันตอนที่วงOnyanko Club เดบิ้ว(ในปี 1985) พวกเธอเป็นไอดอลที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำไมพวกเธอถึงโด่งดังในหมู่คนทั่วไปได้?
อากิโมโต้: ตอนที่ผมตัดสินใจเริ่มคิดทำวงนี้ผมได้ความคิดมาจากตอนที่MCประกาศบนเวทีว่า "นิตตะ เอริจังไม่สามารถมาร่วมรายการได้ เนื่องจากติดสอบมิดเทอม"
ในสมัยก่อนถ้าคุณคิดถึงไอดอล คุณก็จะนึกถึงภาพเด็กสักคนไปเรียนร้องเพลงและเต้นที่สถาบันโฮริชิโกะ เด็กพวกนี้ไม่ได้เรียนในโรงเรียนปกติซึ่งมันก็ดูเท่ห์ดีในสมัยนั้น มองอีกมุมนึงคือไอดอลคือผู้ที่รับเลือกให้เป็นคนพิเศษ ซึ่งในยุค80คือยุคที่อุตสาหกรรมบันเทิงมาถึงจุดสูงสุดทำให้ผู้คนมากมายอยากเข้ามาในวงการบันเทิง
แต่ตอนที่ยามากุจิ โมโมเอะซังออกจากวงการบันเทิงและวง Candies ยุบวง ผมว่าตอนนั้นคนเริ่มตั้งคำถามกันแล้วว่า “การอยู่ในจุดสูงสุดของวงการมานานมันดีขนาดนั้นเลยหรอ?” แต่ตอนนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังมองว่าวงการบันเทิงคือโลกในฝันที่สวยหรูอยู่ เวลาผ่านไปหลายปี เด็กๆส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะไปสอบมิดเทอมมากกว่าไปออกทีวีซะงั้น ผมคิดว่านี่แหละคือก้าวใหม่ของไอดอลเลยนะ
Onyanko Club ที่ก่อตั้งโดยอากิโมโต้เดบิ้วได้เพียง 2 ปีก็ต้องยุบวงไปและอดีตเมมเบอร์ในวงได้กลายมาเป็นภรรยาของอากิโมโต้ในภายหลัง
"จะเดบิ้วอะไรก็ต้องดูว่าผู้คนกำลัง “โหยหา” สิ่งไหน"
อากิโมโต้: สมัยผมยังเด็ก ผมชอบไปดูคณะกายกรรมที่โรงละครมาก ได้เห็นพวกเค้าเริ่มเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจากโรงละครเล็กๆและค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น ตอนนั้นผมคิดว่า “สุดยอดจริงๆที่ได้เห็นการเติบโตของพวกเขา” ตอนแรกผมกะว่าจะทำโรงละครสำหรับคณะกายกรรมแบบเดียวกันที่แถวๆฮาราจูกุและอาโอยาม่า แต่หาที่ตั้งโรงละครอยู่นานก็ไม่เจอที่เหมาะๆสักที หาไปหามาก็มาเจอที่เหมาะๆแถวอากิฮาบาร่านี่แหละ แต่ถ้าเราเปิดโรงละครสำหรับคณะกายกรรมที่อากิฮาบาระคงไม่เหมาะ ผมว่าทำวงไอดอลคงน่าจะเป็นที่สนใจในแถบนี้มากกว่า ดังนั้นในปี2005ผมจึงตัดสินใจสร้างAKB48ขึ้นมา
ตอนที่สร้างวงผมไม่ได้สนใจการตลาดหรือความต้องการของผู้บริโภคเท่าไรนักหรอก ดังนั้นผมเลยเจอเสียงต่อต้านมามากมายจากหลายฝ่าย แต่ในหัวผมตอนนั้นคิดแต่ว่า “ไอดอลที่แสดงทุกวันเพื่อที่คุณจะได้เห็นการเติบโตของพวกเธอ น่าสนุกจะตาย”
ในตอนนั้นการโหลดเถื่อนกำลังเป็นที่แพร่หลาย ผมเลยต้องหาทางเพื่อให้วงอยู่รอดซึ่งการแสดงสดเนี่ยแหละคือทางรอด
พอเปิดตัวไปในเดือนธันวาปี2005 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธุ์ปีถัดมาตั๋วเธียเตอร์ก็ขายหมดเกลี้ยง การพูดกันปากต่อปากในอินเตอร์เน็ตมันลุกลามไปเร็วจริงๆ ชาวเน็ตพูดกันว่า “เราเจออะไรเจ๋งๆมาด้วยแหละ” พวกเค้าพูดเหมือนเจอฐานทัพลับยังไงยังงั้นเลย
ในยุคนี้มันไม่มีสูตรสำเร็จในการปั้นไอดอลวงนึงให้โด่งดังขึ้นมาหรอกนะ สิ่งที่สำคัญคือการนำเสนอสิ่งที่สังคมกำลังต้องการ มันก็เหมือนการเสิร์ฟแกงกระหรี่เนื้อทอดให้กับนักเบสบอลที่เพิ่งซ้อมเสร็จนั่นแหละ สิ่งนี้แหละที่เป็นตัวตัดสินว่าวงไหนจะรุ่งหรือร่วง ผมคิดว่าสิ่งที่วงOnyankoเติมเต็มให้กับสังคมในตอนนั้นก็คือความที่วงเป็นมือสมัครเล่นที่ไม่ได้เก่งกาจอะไร ในปัจจุบันนี้ผมว่าสิ่งที่AKB48เติมเต็มให้กับสังคมก็คือความรู้สึกเห็นใจให้ไอดอลที่ค่อยๆพัฒนาตัวเองขึ้นมา
Q: ภาพลักษณ์ของไอดอลที่สังคมต้องการเป็นแบบไหนครับ?
อากิโมโต้: เอาจริงๆผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
ผมว่าความคิดของคนส่วนใหญ่ก็คงอยากเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยผู้คนก็ยังคิดแบบนี้ ยกตัวอย่างตอนที่ผมสร้างโนกิซากะ46ที่เป็นวงคู่แข่งของAKB ในโลกไอดอลไม่มีใครเค้าทำแบบนี้หรอก อีกตัวอย่างก็คือตอนที่เคยะกิซากะเปิดตัวอย่างงดงามด้วยเพลง Silent Majority แม้ว่าเนื้อหาของเพลงนี้มันค่อนข้างรุนแรง แต่ผมว่าที่มันดังเพราะคนอยากเห็นในสิ่งที่เค้าไม่เคยเห็นมาก่อน
ตอนแรกผมตั้งใจจะเอาเพลงSilent Majorityไปเป็นเพลงประกอบโฆษณา ตอนนั้นมีคนมาขอให้ผมแต่งเพลงที่มีเนื้อหาน่ารักสดใส แต่แต่งไปแต่งมาไม่รู้ทำไมมันถึงออกมาคนละขั้วแบบนี้ แต่ในใจผมคิดว่าเพลงนี้มันเจ๋งดี มันเหมือนตอนนี้สังคมต้องการอะไรเค็มๆบ้างหลังการที่เสพรสหวานมานานคุณคิดเหมือนผมไหม?
เพลง Silent Majority - Keyakizaka46 เนื่อเพลงว่าถึงพลังเงียบที่ไม่เคยกล้าแสดงออกอยู่ในสังคม เพียงแต่เจ้าของเสียงยังไม่กล้าที่จะแสดงความเห็นมันถึงเวลาแล้วหล่ะ ที่ต้องลุกขึ้นมาแสดงตัวกันสักที เพื่อไม่ให้พวก False Majority เอาไปเหมารวมอีกต่อไป
Q: คุณคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างไอดอลคืออะไร? ตอนไหนที่คุณรู้สึกตัวว่าสิ่งนี้มันน่าสนใจ? คุณใช้บรรทัดฐานอะไรในการตัดสินใจ?
อากิโมโต้: ผมมักจะบอกบรรดาสต๊าฟเสมอว่าอย่าไปยึดติดกับความคิดเดิมๆ คนมักจะไม่ค่อยสนสิ่งที่เคยเห็น,เคยฟัง หรือเข้าใจมันแล้ว ตอนที่คนเริ่มตั้งคำถามว่า “นี่มันอะไรวะเนี่ย?” นั่นแสดงว่าเค้าเริ่มให้ความสนใจแล้ว
พอผมพูดแบบนี้ คนก็จะเริ่มคิดว่า “อากิโมโต้จะทำอะไรแผลงๆอีกแล้วสินะ” ผมอยากบอกพวกคุณว่ามันไม่ใช่อย่างงั้นนะ ผมแค่อยากก้าวข้ามกำแพงที่บอกว่า “ไอดอลทำแบบนี้ไม่ได้” แล้วก็ “ไอดอลไม่ควรทำแบบนี้” โดยการฉีกกรอบเดิมๆ
มีตัวอย่างอยู่หลายเรื่อง ครั้งนึงตอนที่AKBเพิ่งเริ่มต้น ผมได้รับรายงานว่ามีเมมเบอร์ข้อเท้าเคล็ด เราเลยให้เธอหยุดพัก พอเราถามเธอว่า “ซวยชะมัด เจ็บมากไหม?” เธอบอกว่าไม่เจ็บเท่าไรยังเดินไหว แต่ถ้าเต้นจะเจ็บมาก
ผมก็เลยบอกว่าให้เอาเก้าอี้ขึ้นไปบนเวทีไหม นั่งไปร้องเพลงไปก็ได้ ที่ผมพูดยังงั้นเพราะว่าไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน นี่ต้องเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าสำหรับแฟนๆแน่นอน เราอยากทลายกำแพงที่ว่า “เมมเบอร์ที่บาดเจ็บจะขึ้นแสดงไม่ได้”
"การออดิชั่นสุดแปลก"
อากิโมโต้: มีตัวอย่างชัดๆอยู่เคสนึงคือชิมาซากิ ฮารุกะผู้ที่โด่งดังเพราะความเย็นชาต่อแฟนๆของเธอ ผมได้ยินจากสต๊าฟมาว่าเธอเป็นคนที่นิสัยดีมากๆ แต่ความคิดของเธอที่มีต่อแฟนๆดูจะไม่ค่อยดีเท่าไร จนเมมเบอร์บางคนเริ่มเข้าใจเธอผิด พวกสต๊าฟมาบอกให้ผมไปดุเธอบ้าง แต่ผมคิดว่าไอดอลที่ไม่ได้พยายามเอาใจแฟนๆมันก็ดูน่าสนุกดี ไม่ได้เสียหายอะไร มีเมมเบอร์แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
การออดิชั่นของAKBจะไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องสักเท่าไร ถ้าออดิชั่นแบบธรรมดาทั่วไปกรรมการจะเรียกผู้สมัครทีละ2-3คนในแต่ละรอบ จากนั้นก็ให้คะแนนพวกเธอจากหน้าตาและการแสดงทักษะต่างๆ แต่เราใช้ระบบที่ต่างออกไป ถ้าหากกรรมการสักคนนึงโพล่งออกมาว่า “ผมชอบเด็กคนนี้” แล้วทุกคนร้อง “เอ๋----!?” เธอคนนั้นจะผ่าน เหตุผลที่ทำแบบนี้เพราะว่าแฟนๆก็คงรู้สึกต่อเด็กคนนี้แบบเดียวกันกับพวกเรา จากนั้นก็จะเริ่มเกิดความเห็นอกเห็นใจเด็กคนนี้ แต่ถ้าเรารับคนที่เก่งแทบทุกด้าน พอมาถึงจุดนึงเราจะเจอสถานการณ์ที่ทุกคนเท่ากันหมด
ชิมาซากิ ฮารุกะ อดีตเมมเบอร์ของAKB48 รุ่นที่ 9
Q: คุณใช้วิธีอะไรในการสร้างโมเดลธุกิจให้AKB48?
อากิโมโต้: ผมไม่ค่อยรู้เรื่องธุรกิจเท่าไรหรอกนะ แต่ผมรู้ว่าเราคงแพ้แน่หากเราทำเหมือนๆกับที่คนอื่นเค้าทำมาแล้ว ดังนั้นผมเลยไม่ทำแบบคนอื่น ถ้าหากเรายังคิดอะไรใหม่ๆไม่ออกเราก็ควรจะอดทนไว้ มันคงง่ายเกินไปหากทุกอย่างหมุนรอบตัวเรา ตั้งแต่เริ่มทำAKBใหม่ๆผมมักจะบอกกับสต๊าฟว่า “จงทำตัวให้เหมือนน้ำคาลพิสบริสุทธ์” เพราะว่าน้ำคาลพิสบริสุทธ์สามารถเอาไปทำได้หลายอย่างเช่นไอศครีมไปจนถึงลูกอม
ผมอยากให้ไอดอลเปิดกว้างมากกว่านี้ ผมคิดถึงน้ำคาลพิสบริสุทธิ์เพราะใครๆก็เอาไปใช้ประโยชน์ได้ เมื่อมีคนเอาไปใช้ประโยชน์และยังมีคนอยากซื้อคาลพิส ธุรกิจมันก็ยังเติบโตต่อไปได้ หากวันนึงผมหมดไอเดียก็จะมีคนนำเสนอเดียใหม่ๆเข้ามาแทน
น้ำคาลพิส