สามีขอหย่า ในวันที่ฉันเป็นโรคซึมเศร้า

สวัสดีค่ะเราเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า เกือบปีแล้วที่รักษาโรคซึมเศร้า พบจิตแพทย์ ทานยาและหวังว่าจะหายในไม่ช้า ขอไม่เปิดเผยตัวตนนะคะ สมัครสมาชิกพันทิปใหม่ เพื่อให้เรื่องนี้ไม่กระทบกับญาติทั้งฝั่งเราและสามี....เราเครียดกับปัญหานี้จริงๆ
   
เราไม่รู้ตัวหรอกว่าโรคซึมเศร้าเข้ามาแฝงในชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนสาวๆ เป็นคนเนี้ยบมาก ห้องหับต้องสะอาด ใครยืมอะไรต้องเอากลับมาที่เดิม บ่นเพื่อนรูมเมทตลอดว่าทำห้องรก แต่พออายุ 23-24 เริ่มเข้าทำงานตามประสาเด็กจบใหม่  แต่รถมอเตอร์ไซค์ดันมาหายและอกหักจริงจังเป็นครั้งแรก คือตอนนั้นเองเราเปลี่ยนไปทุกอย่างเลย ทิ้งข้าวของให้กองสุมๆ ไว้ในห้อง ไม่มีอารมณ์จัดการ นานๆ ถึงทำที ทำงานมาหนักแล้ว ไม่มีเวลา ตอนนั้นเราก็คิดว่าเอ้อ....เรามันขี้เกียจ  เรามันท้อแท้ไปเอง เราโสดนานหลายปีคิดว่าคงขึ้นคานแล้ว ชีวิตมีแต่ทำงาน กิน เที่ยว ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง แต่เมื่อพบรักกับสามี และตัดสินใจแต่งงานกัน เราต้องย้ายไปอยู่บ้านสามี ปากบอกไม่ต้องปรับตัวอะไรมากกกกกเราเข้ากันได้ดี  ......เดี๋ยวกลับมาต่อค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
เราไม่มีความรู้อะไร
แต่เป็นเรา ถ้าเค้าอยากหย่า เราจะให้หย่า
แล้วมาโฟกัส ทำชีวิตตัวเองให้ดีๆ
กับมารักตัวเองให้เป็น
ฟังดูไม่มันใช่ชีวิตเลย ที่ต้องไปคอยเอาใจคนอื่น
พิสูจน์ตัวเอง กับพ่อแม่ตัวเอง เคยทำดีขนาดนี้ไหม

เป็นเราจะรีบดูแลตัวเอง ดูแลพ่อแม่ตัวเอง
ทะเบียนสมรส จะกอดไปทำไมค่ะ
บังคับจิตใจคนอื่นจะได้อะไร
บังคับตัวเองให้ได้ก่อน ทำเรื่องดีๆที่ควรทำ
มาตั้งนาน แต่ลืม แต่ไม่ใส่ใจก่อน
ตอนนี้ห้องเราก็ไม่เรียบร้อย เปะนะคะ
เราทำงาน  แต่เราแบ่งเวลา ดูแลแม่ ทำเรื่องดีๆ
มีความสุขกับตัวเอง แม่เราก็มีความสุขสดชื่น
มาทำงานก็ไปวัด ไปนั่งสมาธิ ทำให้คนในครอบครัว
แม่ โชคดีที่มีเราเป็นลูก ทำรึยัง

เราทำอยู่ ถ้าจะแต่งงาน อีกฝ่ายก็ต้องมีความสุขที่มีเรา
โดยที่เราไม่ต้องพิสูจน์อะไรกับใคร
ควบคุมตัวเอง ให้รักตัวเองให้เป็นก่อนนะคะ
แล้วทุกอย่างจะดีเอง
ความคิดเห็นที่ 16
หัวข้อลักษณะนี้ ผมไม่รู้จะออกความเห็นยังไงแบบที่ไม่เหมือนกับด่า จขกท หรือ คนในเรื่องสักที

แต่หวังว่าคนที่อ่านแล้วเข้าใจก็ยังมี


จุดประเด็นส่วนมากเหมือนกันหมด คือ วางใจไว้ผิดที่ (ผมก็เคย ออกตัวเลย จะได้เข้าใจกัน) นั่นคือ ความคิดแบบยึดติดสูง ว่าฉันจะทำได้ขนาดนี้ ขนาดนั้น  ฉันสามารถ "ควบคุม" ทุกอย่างได้ ถ้าฉันจะทำ  เป็นความยึดติดระดับสูง ซึ่งค้านกับหลักการ สามัญลักษณะที่สุด

คือ ค้านกับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ค้านกับการที่ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปเสมอ(อย่าเข้าใจว่ามันจะเหมือนเดิม)  ทุกอย่างแฝงไว้ด้วยทุกข์เสมอ ไม่มากก็น้อย (อย่าเข้าใจเลยว่าอะไรๆ มันคือความสุข สนุกสนาน เพราะมันมันเผยทุกข์ออกมาก็เสียใจหนัก)  และไม่ใช่อะไรที่เราบังคับควบคุมสั่งเอาได้เลย (สิ่งต่างๆ ถ้ามันได้ดังใจก็เพียงเพราะ เหตุปัจจัยมันเกิดพร้อมให้ได้มา  ถ้าเหตุปัจจัยเปลี่ยนไป ทำให้เสียไปมันก็ต้องเสีย  เราทำได้ด้วยการสร้างเหตุปัจจัย แล้วรอว่าผลจะเกิดหรือไม่ ไม่ใช่ว่าเราจะสั่งได้ เช่นอ่านหนังสือสอบแล้วต้องได้คะแนนดีอันนี้ผิด แต่อยากได้คะแนนดีก็ยังคงต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบอันนี้ก็ยังถูก เพียงแต่จะได้คะแนนจริงๆ หรือไม่ เราสั่งไม่ได้ เอาให้ได้ตามอยากนั้นไม่ได้  แต่ยังต้องทำ ไม่ทำก็ไม่ได้หรอก)

กรณี จขกท พอวางใจไว้ไม่ถูก ยึดถือยึดติด แล้วเมื่อโลกมันเกิดแสดงความเป็นจริงออกมาให้เห็นว่า  รักเขาแค่ไหน ดีกับเขาแค่ไหน อยากให้เขาดีแค่ไหน สุดท้าย เขาก็อาจจะต้องไป เปลี่ยนไป หรือไปรักคนอื่น  สิ่งที่เราเห็นว่าดีนั้น อาจจะดีกับเราคนเดียวและ การที่เราอยากให้คนอื่นได้ดีบ้าง หรือ สิ่งที่เราเรียกว่ารักอยากให้คนอื่นได้ดีบ้าง มันเป็นแค่ของเรา และถึงวันนึงเมื่อมันไม่ใช่ หรือ พบกับตัวเองว่ามันไม่ได้ดังใจ  ตรงนั้น เหมือนโลกสลาย เหมือนถูกโลกทรยศ ความเชื่อ ความมั่นใจ ก็หมดลง  แต่จริงๆ  โลกไม่เคยทรยศเรา มีแต่เราที่ไม่เข้าใจมันจริงๆ ต่างหาก   หรือ ที่เรียกว่า ไม่เข้าใจ "ธรรม"  เนี่ยแหละ

ผลทางใจ เมื่อผิดหวัง หรือ ผิดคาดกับโลก มันหนักหนา แล้วแต่คน และแล้วแต่บุญกรรม บางคนได้พบหลักศาสนาที่ดี หรือ เจอเพื่อนที่ดี ก็สามารถชักชวนกันเข้าให้เกิดความคิดดีๆ ปรับเปลี่ยนความเข้าใจได้

แต่ถ้าไปทางอบายมุช คงไม่ต้องพูดถึง  

และถ้ายังไม่เข้าใจโลก ยิ่งยึดถือต่อไปอีก ทางก็จะแคบลงๆ และโดยเฉพาะคนที่ยังเห็นว่าโลกนี้ตัวเองเท่านั้นที่จะบันดาล ทุกอย่างขึ้นกับตัวเอง ให้ความสำคัญกับตัวเองสูง   จขกท อาจจะไม่ทราบ แต่เท่าที่เขียนมา  จขกท พอใจที่จะเป้คนที่พลิกฟื้น หรื เอาชนะ หรือ เป็นที่พึ่งให้กับคนอื่น  บอกตรงๆ ว่า สำคัญตัวผิดเกินไป  หรือพูดให้เบา คือ แบกโลกหนักเกินความจำเป็น

เมื่อแบกโลกหนักเกินไป เกินภาวะที่จะเป็นไปได้ เพราะคนเราบอกแล้วว่าโลกนี้ไม่สามารถเอาอะไรได้ตามใจ คำว่า ดูแลตัวเองก็เต็มที่แล้ว แต่ยังหวังจะไปปรับปรุงคนอื่น สามี หรือ สังคมอะไรก็ตาม นั่นเรียกว่าไปผิดทาง   แต่ถ้าเชื่อมั่นอย่างนั้น แล้วก็จะรู้ว่าทำไม่ได้ เมื่อนั้นจะเกิดความเครียด และที่สุด จะหมดศรัทธาและหมดความมั่นใจ หมดความเชื่อถือให้เกียรติตัวเองลงไปตามลำดับ แล้วก็กลายเป็นคนไม่เอาอะไรเลย

คือ ถ้าจะทำก็ทำเต็มที่ แต่ถ้ามันจะไม่ได้อะไรเลย ก็อายตัวเอง เพราะตัวเองตั้งใจไว้สูงมาก !!  คนแบบนี้ไม่รอให้ใครมาดูถูก แต่จะดูถูกตัวเองเสียก่อนเลยนี่แหละ!! และนั่นจะยิ่งทำให้ ชีวิตตกต่ำลงไปอีก คือ เครียด กดดัน  เพราะเริ่มต้นวางใจไว้ผิด คิดว่าโลกนี้เราจัดการได้  พอทำไม่ได้เพราะผิดกฏของโลกก็เสียใจและดูถูกตัวเองทั้งที่ไม่จำเป็น

การเป็นคนมาตรฐานสูงไม่ใช่เรื่องไม่ดี  แต่ให้จำไว้ว่า อย่าแบกโลก  และเราเองไม่ใช่ว่าดีกว่าใคร แต่เราเลือกที่จะปฏิบัติตัวในมาตรฐานที่เราพอใจ  

คนอื่นเขาจะทำไงก็เรื่องของเขา ถ้าเขาชอบแบบเราก็คุยกันง่าย ถ้าไม่ก็ห่างๆ กันไว้ไม่มีเรื่อง



ผมก็พล่ามพูดไปเรื่อย ต้องมีหลายคนรู้สึกว่า นายนี่พูดมากไม่เข้าท่า เขาบอกมานิดเดียวทำไมพูดได้เป็นคุ้งเป็นแคว ไม่เป็นไรเพราะนั่นมันก็จริง ผมก็ได้แต่เดาแต่ก็ด้วยความหวังว่าจะสะกิดให้ย้อนระลึกคิดอะไร  

หาให้เจอแล้วกัน ใจคุณวางไว้ที่ไหน  วางสูงไปต่ำไปอย่างไร

ยึดติดกับอะไร ถ้าไม่ยึดจะได้ไหม

ต่อจากนั้น ถึงจะสามารถแก้ได้ กับ อารมณ์ที่ดิ่งขึ้น ดิ่งลง  คนเราจะโมโห ก็เพราะเราคิดว่าเราดี  เราถูก เราต้องโวย หรือ เราต้องปกป้องตัวเอง  ก็ถ้าไม่มีอะไรให้ยึด ใครจะด่า หรือ ว่าร้าย หรือ โจมตีก็จะเฉยๆ  

กับภาวะปัจจุบัน ขอให้ยอมรับก่อน ว่าเราคงมีปัญหา ใครจะทิ้ง จะไม่ทิ้ง คงต้องให้สิทธิ์เขาละ  อยู่กับตัวเองให้ได้ หาตัวเองให้เจอ  หมอก็ต้องไปหาอยู่แล้ว เพราะยาจะช่วยรักษาอาการ รักษาสติได้  แต่ไม่ร็นะ ผมว่ายังไงก็ต้องแก้ที่ใจ  ดูที่ธรรมเป็นหลัก   อะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยให้คุณวางได้ ผ่อนลง ก็เอาอันนั้น  อะไรที่ทำให้คิดยึด เอาเรื่อง รุนแรง  อย่าไปสัมผัส

อย่างพวกเพลงเศร้า เพลงซึม อกหัก ชีวิตย้ำแย่ อย่าได้ฟังเลย  ถ้าหาได้ เอาเพลงปลุกใจ สนับสนุนโลก  จะดีกว่า

ช่วยได้แค่นี้ ขอให้โชคดี
ความคิดเห็นที่ 13
คุณเป็นซึมเศร้าเพราะครอบครัวสามีหรือเปล่าคุณ

คาดคั้นตัวเองให้ต้องรับทุกอย่างของบ้านสามีให้ได้ ต้องเอาอกเอาใจพ่อแม่ญาติพี่น้องสามี
ทั้งๆที่สามีคุณก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เฉือยเอย งานไม่ทำเอย
แล้วทำไม ความผิดคุณมันถึงใหญ่เป็นภูเขาไกรลาสขนาดนั้น

ถ้าคุณผิดปกติขนาดนั้น แต่คนที่สังเกตเห็นกลายเป็นญาติสามี
คนที่ห่วงคุณมาบอกให้พ่อแม่และสามีรู้เพื่อให้ช่วยดูแลคุณกลายเป็นลูกพี่ลูกน้องสามี
แต่คนที่อยู่บ้านเดียวกัน ไม่สนใจอะไรเลย   มันคืออะไรกัน
นี่แต่งงานไปเป็นหัวหน้าแม่บ้านของสามีเหรอคะ

แล้วแปลกใจจังคุณเลือกเล่าเรื่องการเจ็บป่วยของคุณให้ญาติสามี แทนที่จะเล่าให้แม่คุณ พี่น้องคุณหรือเพื่อนสนิทตัวเองฟัง


เป็นเรา ถ้าเค้าไม่เคยช่วยเหลือเรื่องอาการเจ็บป่วยคุณ ไม่ไถ่ถามไม่ดูแล แล้วอยากหย่า
เราจะหย่าให้เลยค่ะ
ิเราว่าเรามีดีกว่านั้น เอาเวลาปวดหัวเรื่องบ้านสามีไปรักษาจริงจังดีกว่าค่ะ
ถ้ารักษามานานไม่ได้ผล ลองเปลี่ยนแพทย์เปลี่ยนโรงพยาบาลดูนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่