การดื้อดึงฝ่าฝืนกฏข้อบังคับของสถาบันและองค์กรต่างๆของรัฐโดยการอ้างว่าการสวมฮิญาบเป็นขัอบังคับที่เป็นความศรัทธาในศาสนาอิสลามนั้น เป็นเรื่องของสังคมมุสลิมไทยเองที่ ขาดทักษะในการอยู่แบบสังคมพหุวัฒนธรรม ตามหลักการของศาสนาอิสลาม มุสลิมไม่มีข้อบังคับให้แต่งกายตามธรรมเนียมและประเพณีอรับ อิสลามไม่มีมีเครืองแบบของผู้นับถือศาสนาอิสลาม
ข้อบังคับในเรื่องการแต่งกายของหญิงชายมุสลิม มีบัญญัติไว้อย่างชัดเจน ว่าจะต้องปกปิดอวัยวะเพศและส่วนของร่างกายที่เป็นสิ่งยั่วยวนอารมณ์ทางเพศ, มุสลิมชายหญิงจะต้องแต่งกายด้วยความสง่างามและมีมโนธรรม ซึ่งไม่แตกต่างจากการแต่งกายที่เรียบร้อยอย่างสุภาพของชายหญิงผู้ศรัทธาในศาสนาอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาอิสลามไม่มีการบังคับให้หญิง ต้องคลุมศรีษะหรือปิดหน้าปิดตา เช่นการแต่งตัวของชาวอรับทะเลทราย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/37691074
https://ppantip.com/topic/31457748/comment6
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.quranicpath.com/misconceptions/hijab_niqab.html
คัมภีร์อัลกุรอานได้เปิดเผยเผยความลับและความงามของผู้หญิง และมีบัญชาให้หญิงผู้ศรัทธา จงให้เกียรติของขวัญนี้ด้วยการแต่งกายด้วยความสง่างามและมีมโนธรรม ผู้ที่มีเจตนาไม่ดีผู้ซึ่งพยายามหาคำกล่าวอ้างเพื่อต้องการเอาวัฒนธรรมและประเพณีการแต่งกายของตน รวมทั้งอุดมการณ์ทางการเมือง เสาะหาและบิดเบนความหมายบัญญัติในอัลกุรอานให้สอดคล้องกับความต้องการของตน
ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่มุสลิมผู้ศรัทธาที่แท้จริงต่ออิสลาม จะต้องใช้เจตนาที่เที่ยงตรงในการอธิบายบัญญัติในอัลกุรอาน, ในเรื่องนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในบัญญัติที่ 24:31 มีเพียงแต่ข้อบังคับให้หญิงปิดทรวงอกโดยใช้ผ้าคลุมหัวตามประเพณีอรับ ดึงมาปิดทรวงอกอย่างมิดชิด แต่ไม่มีคำสั่งให้คลุมหัว แม้แต่น้อย
ผู้รู้ในศาสนาอิสลามส่วนมาก อธิบายอัลกุรอานอย่างเบี่ยงเบนความเป็นจริงของศาสนาและความศรัทธาต่ออัลลอฮ์, ทำให้ผู้คนออกห่างจากการเข้าใจอัลกุรอานโดยการออกกฏต่างๆที่ทำให้ยากต่อมุสลิมที่จะหาความเข้าใจและศึกษาอัลกุอานด้วยตนเองได้, ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าไม่มีข้อกำหนดที่จะครอบคลุมผมในคัมภีร์อัลกุรอ่าน,และไม่มีข้อกำหนดสำหรับผู้หญิง ในการคลุมใบหน้า ศรีษะ,นัยตา,จมูก,ปากและหู ซึ่งอวัยวะเหล่านี้พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้มีสิ่งกีดขวางตลอดเวลา, ศรีษะเป็นสิ่งที่พระเจ้ามีความประสงค์ที่จะไม่ให้มนุษย์ปกคลุมโดยไม่มีความจำเป็น ซึ่งบัญญัติต่างๆในอัลกุรอานสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์
การสวมฮิญาบในปัจจุบันเป็นผลมาจากการเมืองของโลกมุสลิมในภาคตะวันออกกลาง, การปิดหน้า,การคลุมหัว,หรือการคลุมปิดทั้งตัวไม่ใช่แต่เป็นเรื่องของเครื่องแต่งกายตามชาติพันธุ์เท่านั้น มันเป็นโครงการของภราดรมุสลิม(Muslim Brotherhood) ในการรวบรวมประเทศที่มีมุสลิมเป็นส่วนใหญ่, และ ทุกๆประเทศที่มีชนส่วนน้อยหรือส่วนมากนับถือศาสนาอิสลามในเอเซีย, รวมทั้งประชากรของโลกอรับมุสลิมในรูปของการอพยพหรือผู้ลี้ภัยเข้าไปในประเทศต่างๆในยุโรป, ประเทศออสเตรเลีย,อาฟริกา และสหรัฐอเมริกา โดยอ้างว่าเป็นข้อบังคับแห่งความศรัทธาของศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นการตีความทางศาสนาในเรื่องข้อบังคับการแต่งกายของสตรีมุสลิม เพื่อแยกให้เห็นความมีค่าคุณธรรมและศีลธรรมที่สูงกว่าหญิงที่ไม่ใช่มุสลิม โดยใช้ฮิญาบ หรือการคลุมหัว หรือการคลุมร่างกายทั้งตัวของสตรี เป็นเครืองหมายหรือสัญญาลักษณ์ของมุสลิมเช่นเดียวกับเตรื่องหมายดาวและเดือนที่เห็นอยู่ตามมัสยิดต่างๆ
ผู้นำสังคมมุสลิมไทยควรจะเข้าใจว่า และเห็นได้ว่า ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่ประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น ได้รับสิทธิและความเป็นอยู่ในการปฏิบัติศาสนกิจตามหลักการของศาสนาอย่างฟุ่มเฟือย ดีกว่ามุสลิมในประเทศต่างๆบนโลกนี้ มุสลิมไทยควรจะเห็นใจชาวไทยที่นับถือต่างศาสนาผู้ที่ มีนำ้ใจเอื้อเฟิ้อต่อชาวไทยมุสลิม ไม่ว่าจะในสังคมเล็กๆระหว่างมิตรสหาย หรือในสังคมระดับชาติ ทำไมมุสลิมไทยเราจึงไม่มีน้ำใจเอื้อเฟิ้อต่อเพื่อนชาวไทยด้วยกันบ้าง ตราบใดที่การกระทำไม่ขัดต่อหลักศรัทธาของศาสนาอิสลาม
ศาสนาอิสลามไม่ได้สอนให้มุสลิมปฏิวัติสังคมที่เราอยู่อาศัยให้เป็นสังคมอรับ เราเป็นคนไทยไม่ว่าเราจะพูดภาษาอรับ หรือแต่งกายเป็นอรับอย่างไรมันก็ไม่เปลี่ยนเราจากการเป็นคนไทยไปได้ มุสลิมไทยที่นำอุดมการณ์ทางการเมืองของอรับภราดรภาพมุสลิมเขามาใช้ในสังคมไทยนั้นไม่เป็นการบังควร เราเป็นคนไทยเราควรยึดประเพณีไทยประจำชาติคือ ความกรุณาปราณีและมีความเห็นใจและเข้าใจซึ่งกันและกัน
บรรดาผู้รู้ทางศาสนาอิสลาม
ผู้ที่รู้อยู่แก่ใจว่าการคลุมฮิญาบไม่ใช่หลักศรัทธาของศาสนาอิสลามนั้น ไม่ควรหลอกตัวเองและหน่วยราชการ รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ในสังคมไทยเราให้หลงเชื่อว่า การสวมฮิญาบเป็นข้อบังคับในศาสนาอิสลาม การสวมฮิญาบไม่ได้เป็นหลักประกันว่าผู้สวมใส่จะมีคุณค่าคุณธรรมและศีลธรรมสูงกว่าผู้ที่ไม่สวมฮิญาบก็หาไม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สังคมมุสลิมไทยเองที่ ขาดทักษะในการอยู่แบบสังคมพหุวัฒนธรรม
ข้อบังคับในเรื่องการแต่งกายของหญิงชายมุสลิม มีบัญญัติไว้อย่างชัดเจน ว่าจะต้องปกปิดอวัยวะเพศและส่วนของร่างกายที่เป็นสิ่งยั่วยวนอารมณ์ทางเพศ, มุสลิมชายหญิงจะต้องแต่งกายด้วยความสง่างามและมีมโนธรรม ซึ่งไม่แตกต่างจากการแต่งกายที่เรียบร้อยอย่างสุภาพของชายหญิงผู้ศรัทธาในศาสนาอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาอิสลามไม่มีการบังคับให้หญิง ต้องคลุมศรีษะหรือปิดหน้าปิดตา เช่นการแต่งตัวของชาวอรับทะเลทราย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การสวมฮิญาบในปัจจุบันเป็นผลมาจากการเมืองของโลกมุสลิมในภาคตะวันออกกลาง, การปิดหน้า,การคลุมหัว,หรือการคลุมปิดทั้งตัวไม่ใช่แต่เป็นเรื่องของเครื่องแต่งกายตามชาติพันธุ์เท่านั้น มันเป็นโครงการของภราดรมุสลิม(Muslim Brotherhood) ในการรวบรวมประเทศที่มีมุสลิมเป็นส่วนใหญ่, และ ทุกๆประเทศที่มีชนส่วนน้อยหรือส่วนมากนับถือศาสนาอิสลามในเอเซีย, รวมทั้งประชากรของโลกอรับมุสลิมในรูปของการอพยพหรือผู้ลี้ภัยเข้าไปในประเทศต่างๆในยุโรป, ประเทศออสเตรเลีย,อาฟริกา และสหรัฐอเมริกา โดยอ้างว่าเป็นข้อบังคับแห่งความศรัทธาของศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นการตีความทางศาสนาในเรื่องข้อบังคับการแต่งกายของสตรีมุสลิม เพื่อแยกให้เห็นความมีค่าคุณธรรมและศีลธรรมที่สูงกว่าหญิงที่ไม่ใช่มุสลิม โดยใช้ฮิญาบ หรือการคลุมหัว หรือการคลุมร่างกายทั้งตัวของสตรี เป็นเครืองหมายหรือสัญญาลักษณ์ของมุสลิมเช่นเดียวกับเตรื่องหมายดาวและเดือนที่เห็นอยู่ตามมัสยิดต่างๆ
ผู้นำสังคมมุสลิมไทยควรจะเข้าใจว่า และเห็นได้ว่า ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่ประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น ได้รับสิทธิและความเป็นอยู่ในการปฏิบัติศาสนกิจตามหลักการของศาสนาอย่างฟุ่มเฟือย ดีกว่ามุสลิมในประเทศต่างๆบนโลกนี้ มุสลิมไทยควรจะเห็นใจชาวไทยที่นับถือต่างศาสนาผู้ที่ มีนำ้ใจเอื้อเฟิ้อต่อชาวไทยมุสลิม ไม่ว่าจะในสังคมเล็กๆระหว่างมิตรสหาย หรือในสังคมระดับชาติ ทำไมมุสลิมไทยเราจึงไม่มีน้ำใจเอื้อเฟิ้อต่อเพื่อนชาวไทยด้วยกันบ้าง ตราบใดที่การกระทำไม่ขัดต่อหลักศรัทธาของศาสนาอิสลาม
ศาสนาอิสลามไม่ได้สอนให้มุสลิมปฏิวัติสังคมที่เราอยู่อาศัยให้เป็นสังคมอรับ เราเป็นคนไทยไม่ว่าเราจะพูดภาษาอรับ หรือแต่งกายเป็นอรับอย่างไรมันก็ไม่เปลี่ยนเราจากการเป็นคนไทยไปได้ มุสลิมไทยที่นำอุดมการณ์ทางการเมืองของอรับภราดรภาพมุสลิมเขามาใช้ในสังคมไทยนั้นไม่เป็นการบังควร เราเป็นคนไทยเราควรยึดประเพณีไทยประจำชาติคือ ความกรุณาปราณีและมีความเห็นใจและเข้าใจซึ่งกันและกัน
บรรดาผู้รู้ทางศาสนาอิสลาม ผู้ที่รู้อยู่แก่ใจว่าการคลุมฮิญาบไม่ใช่หลักศรัทธาของศาสนาอิสลามนั้น ไม่ควรหลอกตัวเองและหน่วยราชการ รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ในสังคมไทยเราให้หลงเชื่อว่า การสวมฮิญาบเป็นข้อบังคับในศาสนาอิสลาม การสวมฮิญาบไม่ได้เป็นหลักประกันว่าผู้สวมใส่จะมีคุณค่าคุณธรรมและศีลธรรมสูงกว่าผู้ที่ไม่สวมฮิญาบก็หาไม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้