ขับรถเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ Part 2

แล้วเลือกรถยังไง ตรงนี้แหละที่ผมเลือกนานมากๆ เป็นเดือนๆ กว่าจะได้รถที่ต้องการ

ผมไป 2 คน ประเป๋าใหญ่ 2 ใบ เล็ก 1 ใบ (30” 1 ใบ กับ 28” 1 ใบ และ 20” 1 ใบ) ผมเลยต้องการรถที่พอดีกับจำนวนคน กับ กระเป๋า และ พอดีกับเงิน ที่เรามีด้วย อิอิ กลุ่มเป้าหมายเลยอยู่ที่รถระดับ Compact Car กลุ่มถูกสุด และก็หารถที่มันบอกว่าใส่กระเป๋าเดินทางได้ 2 ใบ

แต่...ไซส์ไหนหละ นี่แหละที่ยาก ถามไปในเวปเค้าว่าใส่กระเป๋าไซส์ไหนได้ เค้าก็ตอบกลับมาว่าใส่กระเป๋าได้ใบละ 23 kg. เยี่ยม ตอบมาเป็นกิโล กรูอยากรู้ขนาดเว้ย เค้าบอกเค้าไม่รู้จริงๆ สุดท้ายวัดดวงกับ AUDI A1 SPORTBACK 1.4 4 ประตู เกียร์ธรรมดา ...รถเล็กมาก ใหญ่กว่า Mini นิดเดียว ไม่รู้จะใส่กระเป๋าเราได้ไหม เลยต้องไปหาข้อมูลมิติรถ Audi A1 ใน Google อีก ดูแล้วก็คิดว่าน่าจะได้ เพราะพับเบาะได้ นั่งกัน 2 คนเอง (สุดท้ายก็ได้จริงๆ ครับ ไป 2 คนสบายเลย)

การเช่ารถ รถยิ่งใหญ่ ยิ่งแพง แถมรถใหญ่ผมว่าขับยาก จอดก็ยาก ถนนสวิสบางที่ไม่ได้กว้างนะครับ อย่างในชนบท โดยเฉพาะบนเขา บอกเลย

แล้วเวลาของการ รับ-คืน รถนะครับ รับรถเวลาไหนควรคืนเวลานั้น (คือให้ครบ 24 ชม.) ตัวอย่างเช่น ผมรับรถ วันที่ 2 พ.ค. 10:30 น. คืน วันที่ 13 พ.ค. 10:30 น. รวม 11 วัน
ตอนแรกผมคิดว่าจะรับ 10:00 น. คืน 11:00 น. เนื่องจากขากลับเครื่องออกบ่าย เลยไม่อยากไปถึงเร็วนัก และ คิดว่าเลท 1 ชม. คงไม่คิดเพิ่มมาก (รถเช่าบ้านเราให้เลทได้ประมาณ 1 ชม.) แต่ไม่ใช่ครับ มันคิดเพิ่มเกือบ 4 พันบาทเลย เบาๆ สไตล์สวิส


สรุป...รถที่ผมจองไปคือ AUDI A1 SPORTBACK 1.4 4 ประตู
-เอา GPS ติดรถด้วย ก็แพงนะ ทั้งทริปจ่าย 7-8 พันบาท แต่จำเป็นไหม บอกเลย...มากกกกกกกก เพราะสวิสเป็นประเทศที่เข้มงวดในเรื่องกฎจราจรมาก โดยเฉพาะเรื่องความเร็ว มีเยอะที่โดนค่าปรับหักเงินผ่านบัตรเครดิตย้อนหลังเป็นหมื่นบาท
และทำไมต้องใช้...จากประสบการณ์เลยนะครับ คือเรื่องเส้นทางมันแม่นยำมากๆ และอีกอย่างคือวิ่งตรงไหนต้องใช้ความเร็วเท่าไหร่ มันบอกโชว์ในหน้าจอเลย (ถนนบางเส้นในสวิสเวลาเปลี่ยนความเร็ว บางทีก็ไม่มีป้ายบอกนะครับว่าให้วิ่งเท่าไหร่ คือคุณต้องรู้เองว่าตรงนี้เป็นถนนแบบไหน วิ่งได้กี่ กม./ชม. ฉะนั้นจึงควรเช่าไว้ครับ) แถมเวลาขับเพลินๆ เร็วเกินกำหนดมันจะเตือน ปี๊ดๆๆ ด้วย เจ๋งเลย ถ้าใช้ Google Map อย่างเดียวตายแน่ เปลืองเน็ทด้วย


“นี่หละครับคือข้อดีของการเช่า GPS แสนแพงในสวิส ...สังเกตด้านล่างของสุดจอ ตัวเลข 100 ในวงกลมสีแดง คือ ถนนที่เราวิ่งอยู่จำกัดความเร็วที่ 100 km/h ส่วนเลขถัดมา 99 km/h คือความเร็วที่ผมวิ่งอยู่ตอนนี้”

-ผมซื้อประกันตัว Medium แพงกว่าประกัน Basic ที่เค้าให้ ...ที่เลือกประกันตัวนี้เพราะครอบคลุมทั้งหมด เพราะประกันพื้นฐานจะไม่รวม ผู้โดยสารในรถ กระจกแตก ไฟแตก ยางรั่ว เอาเซฟๆ ดีกว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นไม่ใช่บ้านเรา จ่ายแพงกว่าแต่สบายใจ เพิ่มอีก 8700 กว่าบาท

-ทำไมผมถึงจองเกียร์ธรรมดา เพราะรถในยุโรปส่วนใหญ่เป็นเกียร์ธรรมดาครับ ดูในเวปรถเช่าได้เลย 80% up เป็นเกียร์ธรรมดา ถ้าเอาเกียร์ออโต้ก็จะแพงขึ้นไปอีกหน่อย แถมมีตัวเลือกน้อยด้วย และปกติผมขับรถเกียร์ธรรมดาประจำอยู่แล้ว เลยคิดว่าได้ แต่พลาดซะแล้วววววววว เดี๋ยวมาเหลาให้ฟังอีกที
ค่าเช่ารถรวมทุกอย่างที่เพิ่มมาข้างต้นโดนไปเบ็ดเสร็จ 35173.44 บ. (11 วัน ตกวันละเกือบ 3200 บ.)

-แถมอีกอย่างนะครับ ถึงผมกับแฟนจะไม่ได้เดินทางโดยรถไฟ แต่ก็ซื้อ Swiss Half Fare Pass ไปด้วย (บัตรลดครึ่งราคา ราคาประมาณใบละ 4000 บ. แล้วแต่ค่าเงิน ณ ขณะนั้น) เพราะในบ้างสถานที่ก็ไม่อนุญาตให้ขับรถเข้าไป หรือเอารถเข้าไปไม่ได้ เช่น พวกเขาดังต่างๆ ก็ต้องนั่งรถไฟบ้าง Cable Car บ้าง แล้วซื้อไปจะคุ้มไหม สำหรับผมที่ต้องขึ้นเขา 4 ลูก คุ้มครับ (จริงๆ 2 ลูกก็คุ้มละ ถ้า 1 ในนั้นมี Jungfrau รวมอยู่ด้วย)

5.ศึกษากฎจราจรไปด้วยซักหน่อยก็จะดีนะ ...เพราะค่าปรับในสวิสไม่ธรรมดานะครับ (อยู่ในหัวข้อ “กฎจราจร” มีลิ้งค์กฎจราจรในสวิสแบบคร่าวๆ ให้ดู)

ขั้นตอนเตรียมตัวก็จะมีประมาณเท่านี้ครับ


ต่อไปจะมาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการรับรถนะครับ
ผมรับรถที่สนามบิน Zurich รับกระเป๋าเดินออกมาเลี้ยวซ้ายมองหาป้าย Car Rental ตามป้ายไปเรื่อยๆ เลยครับ มันจะพาเดินข้ามมาอีกอาคารไม่ไกลมากก็ถึงละ โซนรับรถ เป็นห้องใหญ่ๆ รวมหลายๆ บริษัทอยู่ด้วยกัน ก็เดินไปหาที่บูทเจ้าที่เราเช่าได้เลย


“รับกระเป๋าออกมาเลี้ยวซ้ายจะเห็นป้าย Car Rental ก็ตามป้ายมา ต้องขึ้นบันไดเลื่อน ขึ้นลิฟท์ดีกว่า ของเยอะ”


“ออกจากลิฟท์ก็เดินขวามาเรื่อยๆ จะเจอห้องนี้ครับ ในห้องจะรวมรถเช่าทุกเจ้าเลย”

พอถึงบูท europcar พอเจ๊เจ้าหน้าที่เห็นชื่อผมก็ทำท่า โอ้ว...กำลังรออยู่เลย

แล้วเจ๊แกก็พาไปอีกบูทตรงข้ามกัน (ลืมบอกไปว่าก่อนไปผมสมัคร Privilege Club ของ europcar ไปด้วย เผื่อได้เช่าอีก น่าจะมีสิทธิพิเศษอะไรบ้างแหละ มีให้กดก็กดๆ ไป) คล้ายกับว่าที่เราทำ Privilege Club กับเค้า เค้าเลยเตรียมทุกอย่างรอเราไว้แล้ว ไม่ต้องเสียเวลากรอกอะไรเลย เร็วมาก เร็วจนงง ไม่เกิน 2 นาที แค่ยื่นพาสสปอร์ต ใบขับขี่สากล ***แล้วเค้าก็ขอใบขับขี่ของไทยด้วยนะครับ*** ดีนะพกไป ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน (รอผู้รู้มาตอบดีกว่า) แต่อย่าลืมเอาไปด้วยดีที่สุดครับ

แล้วเจ๊แกก็ยื่นกุญแจรถ ซองเอกสาร กับ GPS ให้ แล้วบอกว่า...เดินออกประตูนี้ไปนะ จะเป็นที่จอดรถ รถจอดอยู่ช่องเลขที่ 127 นะ จบ
...เอ่อ แค่นี้เลยเหรอ จะไม่ไปดูรถกับเราเลยเหรอ เช่ารถมาทั้งไทย ทั้งญี่ปุ่น ไม่เคยง่ายขนาดนี้เลย สั้นๆ แถมยังงงๆ อีกด้วย ไม่ตรวจรถ ไม่อะไรเลย หรือ เพราะ Privilege Club วะ

ด้วยความที่เจ๊แกจบงานเร็วมากก็เลยถามอะไรซักหน่อยละกันวะ ยังเขินๆ อยู่ รับรถเร็วเกิน
รถคันนี้เติมน้ำมันอะไรครับ...เติมเบนซิน 95
แล้วคืนรถยังไงครับ...ถึงวันคุณก็เข้ามาที่จอด ***Parking 3*** แล้วคุณจะเห็นป้ายช่องจอดของเราก็ขับเข้ามาเลย จอดได้เลยทุกช่อง แล้วจะมีคนเดินมารับรถเอง
(จริงๆ วันคืน ผมเดินไปคืนกุญแจเอง เพราะที่สวิสเท่าที่สังเกตมา การจ้าง พนง. จะจ้างคนน้อยมาก ถ้าจะรอเค้าเดินมาหานะ นานชัวร์ๆ เดินเอาไปคืนเองเร็วกว่า ...ตอนคืนก็ไม่มาตรวจรถเหมือนเดิม คืนกุญแจปุ๊บ พนง. บอกเรียบร้อยละไปได้เลย)

สั้นๆ ง่ายๆ พึ่งตนเองสไตล์ฝรั่ง แค่นี้ก็แค่นี้วะ ที่เหลือลุยเองละกัน

พอเดินมาถึงรถก็เก็บกระเป๋าขึ้นรถ ...เป็ะมาก ใส่กระเป๋าได้หมดทุกใบ อิอิ ไม่พับเบาะด้วย รอดตายละกรู


“เวลาคืนรถ ก่อนถึงสนามบินจะมีป้ายบอกทางไป Parking 3 ก็วิ่งตามป้ายไปเรื่อยๆ จะเจอทางเข้าแบบนี้ (เห็นป้ายไฟด้านซ้ายของรูปไหมครับ มีป้ายบริษัทเช่ารถเพียบเลย) ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลยครับ พอเลี้ยวซ้ายเข้าไปก็จะมีป้ายบอกที่จอดรถของแต่ละเจ้า ก็จอดแล้วค่อยเอากุญแจไปคืนที่บูทที่ตั้งอยู่ในที่จอดรถนั่นหละครับ”

ต่อมาก็เริ่มเช็คการใช้รถคร่าวๆ

-เดินไปดูฝาถังเปิดยังไง

-GPS ใช้ยังไง


“ผมใช้พิกัด Latitude&Longtitude ในการหาสถานที่ พอกรอกเสร็จก็จะขึ้นชื่อถนนขึ้นมา ที่มีรูปธงเล็กๆ อยู่ข้างหน้า ก็ให้เราแตะตรงนั้นเลย”


“พอแตะที่ชื่อถนนปุ๊บก็จะมาที่หน้านี้ ให้เรากดที่คำว่า Drive ได้เลย”


“พอกดที่ Drive แล้วมันจะขึ้นแผนที่เส้นทางที่เราจะวิ่งไป ถ้าโอเคก็กด Let’s go ได้เลย เป็นอันจบ”

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
"คลิปการใช้งาน GPS ครับ"


-อย่าลืมหัดใช้ระบบ Cruise Control ในรถด้วย มันเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการใช้รถที่สวิส เดี๋ยวบอกอีกทีว่าจำเป็นยังไง อย่างของ AUDI A1จะเป็นก้านเล็กๆ ด้านซ้ายของพวงมาลัย ถัดลงมาจากก้านไฟเลี้ยว จะใช้งานโดยเมื่อเราเร่งความเร็วถึงความเร็วที่ต้องการ ให้กดปุ่มด้านข้าง มันจะล็อคความเร็วนั้นไว้โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่งอีก ถ้าจะเพิ่มความเร็วก็ให้เหยียบคันเร่งขึ้นไป แล้วค่อยกดล็อคซ้ำอีกที หรือ ดันก้านขึ้นบน จะบวกความเร็วให้ทีละ 1 kph ถ้าดันก้านลงก็จะลดความเร็วลงทีละ 1 kph เช่นกัน ถ้าจะเลิกใช้ก็ให้ดันก้านออกจากตัว หรือเบรกให้ความเร็วลดลงต่ำกว่าที่เราล็อคไว้ มันก็จะปลดล็อคเอง

-อีกเรื่องอย่าลืมดูเกียร์ถอยของรถเราด้วยนะครับว่าเข้ายังไง ผมพลาดตั้งแต่ออกตัวเลย ขึ้นรถเสร็จผมต้องเลี้ยวซ้ายยูเทิร์นออกจากช่องจอดรถ สรุปเลี้ยวไม่พ้น เลยจะถอย ...เวรละ หาเกียร์ถอยไม่เจอซะงั้น เข้าไงวะ หาอยู่พักนึงเลย แถมมีรถมาจ่อกดดันอีก มั่วไป มั่วมา ดันเข้าได้ รอดตัวไป เกือบได้ลงมาเข็น 55555
ที่หาเกียร์ถอยไม่เจอเพราะรถมี 6 เกียร์ สำหรับ Audi A1 คันนี้เกียร์ถอยจะอยู่ซ้ายสุด โดยกดหัวเกียร์ลงแล้วดันไปซ้ายสุดๆ อีก 1 แก๊ก แล้วดันขึ้นบน ถึงจะเข้าได้ (รถที่ผมใช้ที่ไทยก็ 6 เกียร์นะ แต่การเข้าไม่เหมือนกัน)



ต่อ Part 3 ครับ https://ppantip.com/topic/37824789
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่