และแล้ว ดราม่าฟุตบอลโลก 2018 ระลอกสองก็เกิดขึ้นจนได้ หนีไม่พ้นเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ฟีฟ่า คราวนี้เป็นคิวของเอไอเอส ที่ไปออกอากาศการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ผ่านทางแอปพลิเคชั่น AIS PLAY โดยไม่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์จากฟีฟ่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เท้าความสักนิดว่า เมื่อตอนต้นเดือนที่ผ่านมามีประเด็นให้ระแวดระวังกันมาครั้งหนึ่งแล้ว โดยทรูวิชั่นส์ก็ได้ออกมาบอกว่า เขาได้รับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2018 ในฐานะ Official Broadcaster ของฟีฟ่า จึงต้องมีหน้าที่เป็นผู้ดูแลกฎกติกามารยาทต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์มาตรฐานโลกของฟีฟ่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกอากาศ การดูแลการละเมิดลิขสิทธิ์ ตลอดจนถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลโลก ภายใต้ข้อกำหนดเงื่อนไขของฟีฟ่า เพราะหากเกิดการทำผิดลิขสิทธิ์ขึ้นมา ทรูวิชั่นส์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น จะมีผลไปถึงการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดในอนาคตอีกด้วย ซึ่งเป็นชื่อเสียงของประเทศไทย รวมถึงสปอนเซอร์ทุกราย
ในอดีตก็เคยมีเหตุการณ์การละเมิดลิขสิทธิ์ฟีฟ่ามาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อฟุตบอลโลกครั้งก่อน ที่อาร์เอสได้รับลิขสิทธิ์จากฟีฟ่า แต่ก็ไปทำผิดกฎกติกามารยาท ทำให้ฟีฟ่าหัวฟัดหัวเหวี่ยงและเกิดอาการเคือง ไม่พอใจและไม่ไว้วางใจให้อาร์เอสเข้ามายื่นขอรับลิขสิทธิ์ในครั้งนี้อีก
เหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดจากการที่เอไอเอสออกอากาศการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ผ่านแอปพลิเคชั่น AIS Play และ AIS Play Box ตั้งแต่นัดแรกที่เปิดฉากถ่ายทอดสด ซึ่งทางทรูวิชั่นส์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้มีคำสั่งให้เอไอเอสยุติการแพร่ภาพดังกล่าว
เอไอเอสออกอากาศแล้วผิดยังไง
อันนี้ขอแบ่งเป็น 2 เคส คือ
1.
ออกอากาศผ่าน AIS Play Box ... ข้อนี้เหตุผลคือ AIS Play Box สามารถออกอากาศได้จริง ภายใต้กฎ Must Carry ของกสทช. เพราะถือเป็นฟรีทีวี ซึ่งก็เหมือน ๆ กับที่เราดูทีวีที่บ้านผ่านกล่อง PSI หรือกล่องอื่น ๆ เป็นต้น
ดังนั้น เอไอเอสจึงยังมีสิทธิ์ที่จะออกอากาศการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ทางช่องทางนี้ได้ต่อไป แต่ไม่ทราบว่าทำไมเอไอเอสจึงระงับการออกอากาศทางช่องทางนี้ด้วย ซึ่งไม่เกี่ยวกับการที่ทรูวิชั่นส์ฟ้องร้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ เลย
(เพราะทรูวิชั่นส์ฟ้องแค่กรณีออกอากาศผ่านแอปพลิเคชั่นเท่านั้น ไม่ได้ฟ้องเรื่องออกอากาศผ่านทางกล่องทีวี)
2.
ออกอากาศผ่านแอปพลิเคชั่น AIS PLAY ... ข้อนี้ตามกฎของฟีฟ่า คือ ทรูวิชั่นส์ซึ่งได้รับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดอย่างเป็นทางการ จึงต้องแจ้งให้ทางฟีฟ่ารับทราบว่าจะให้ใครออกอากาศได้บ้าง ซึ่งทางทรูวิชั่นส์ได้แจ้งไปแล้วว่า การออกอากาศผ่านทางช่องฟรีทีวีจะมีช่อง ททบ.5, อัมรินทร์ทีวี และ True4U ส่วนการออกอากาศผ่าน Mobile Application จะมีเพียง TrueID เท่านั้น
ดังนั้น กรณีที่เอไอเอสนำสัญญาณการออกอากาศจากฟรีทีวีไปออกในแอปพลิเคชั่น AIS Play จึงถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของฟีฟ่า ที่คุ้มครองเฉพาะช่องทางที่ผู้ได้รับลิขสิทธิ์คือทรูวิชั่นส์แจ้งให้ทราบเท่านั้น
(อันนี้ในทางมารยาท ก็น่าแปลกใจนะครับ สำหรับบริษัทใหญ่และมีชื่อเสียงอย่างเอไอเอส ที่ได้รับรางวัลด้านธรรมาภิบาลจาก DJSI ที่จะมาพลาดอะไรง่าย ๆ แบบนี้)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ประกาศเอไอเอส
ขออภัยลูกค้าที่ใช้ AIS Play และ AIS Play Box ทุกท่าน ที่ไม่สามารถรับชมการถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2018 ได้ หลังทรูยื่นฟ้องศาลให้ระงับการถ่ายทอดผ่าน AIS Play และ AIS Play Box
ตามที่ บริษัท ซุปเปอร์ บอรดแบนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด (SBN) บริษัทในเครือของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ในฐานะผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อให้บริการโครงข่ายกิจการกระจายเสียง หรือโทรทัศน์ สำหรับกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ ได้ดำเนินการถ่ายทอดรายการโทรทัศน์จากช่อง Free TV ทุกช่อง รวมถึงรายการการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 จากทั้ง 3 ช่อง ได้แก่ ช่อง 5, ช่อง TRUE4U และช่องอัมรินทร์ทีวีผ่าน AIS Play และ AIS Play Box มาตั้งแต่ต้นจนถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2561 แล้วนั้น
บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจง และยืนยันว่า ที่ผ่านมาการออกอากาศรายการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 จากช่อง 5, ช่อง TRUE4U และช่องอัมรินทร์ทีวี ผ่านแอพพลิเคชั่น AIS Play และ AIS Play Box เป็นหน้าที่ที่บริษัทต้องปฏิบัติตามตามประกาศกสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป (ประกาศ Must Carry) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนทั่วไปได้รับชมรายการโทรทัศน์ที่มีการออกอากาศทั่วไป (Free TV) ได้โดยตรงอย่างต่อเนื่อง และไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำซ้ำ ดัดแปลง ผังรายการ หรือเนื้อหารายการ เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนให้สามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงในทุกช่องทาง
ปัจจุบันบริษัทฯ มีความจำเป็นต้องยุติการออกอากาศการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2561 เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป เนื่องจากศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศกลาง ได้มีคำสั่งให้บริษัทยุติ การเผยแพร่รายการดังกล่าวตามที่ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด ได้ร้องขอต่อศาลไว้บริษัทฯ จึงขออภัยผู้ใช้บริการทุกท่านในการยุติการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ตามคำสั่งศาลข้างต้น
ทำไมทรูวิชั่นส์ต้องฟ้องร้องเอไอเอสต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ
จากข้อ 2. ข้างต้น เมื่อเอไอเอสออกอากาศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฟีฟ่า และไม่ได้ขอให้ทรูวิชั่นส์ซึ่งเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการ ช่วยไปขอทางฟีฟ่าให้ ทรูวิชั่นส์ก็ต้องทำตามหน้าที่ เพราะถ้าไม่ทำ ทรูวิชั่นส์ก็จะมีความผิดและต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งเป็นภาระหนักที่ไม่น่าจะแบกไหว และหากฟีฟ่าเกิดฟ้องร้องทรูวิชั่นส์ขึ้นมา เอไอเอสคงไม่มาช่วยทรูวิชั่นส์เป็นแน่ ที่สำคัญประเทศไทยก็จะโดนแบนจากการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในครั้งต่อ ๆ ไป
(อันนี้สำคัญนะครับ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตามที่ AIS Play ได้นำสิทธิการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ผ่านมือถือไปใช้ โดยไม่เคยได้รับอนุญาตจากทางฟีฟ่า (FIFA) ล่วงหน้า และไม่เคยดำเนินการแจ้งขอผ่านบริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด ที่เป็นตัวกลางในการดูแลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในประเทศไทยให้ขออนุญาตจาก FIFA เพื่อถ่ายทอดสดผ่านแอพพลิเคชั่น AIS Play บนมือถือ จึงเป็นความรับผิดชอบของบริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด ในฐานะผู้ดูแลลิขสิทธิ์ในประเทศไทย ต้องดูแลให้เป็นไปตามกติกาข้อกำหนดของ FIFA เพื่อปกป้องชื่อเสียงของประเทศไทยจากการฟ้องร้องทางลิขสิทธิ์
บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด จึงได้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง โดยเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2561 ศาลมีคำสั่งให้บริษัท ไมโม่เทค จำกัดและบริษัท ซุปเปอร์ บรอดแบนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด (“บริษัทในเครือ AIS”) ดำเนินการแจ้งการยุติแพร่ภาพให้ผู้ชมที่ใช้แอพพลิเคชั่น AIS PLAY ทราบผ่านแอพพลิเคชั่น AIS PLAY ภายในเวลาที่ศาลกำหนด และเมื่อครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว บริษัทในเครือ AIS ยุติการนำสัญญาณการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2018 ของ ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป เข้าสู่ระบบการเผยแพร่ผ่านแอพพลิเคชั่น AIS PLAY หรือแอพพลิเคชั่นอื่นใดของบริษัทในเครือ AIS ในทันทีต่อไป
โดยถือว่าบริษัทในเครือ AIS นำงานแพร่เสียงแพร่ภาพที่ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป ได้รับลิขสิทธิ์และมีลิขสิทธิ์มาเผยแพร่ต่อสาธารณะชนโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป อันเป็นการดำเนินการที่กระทบกระเทือนต่อสิทธิ์ของทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป โดยตรงและสุ่มเสี่ยงต่อการที่สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (“FIFA”) อาจบอกเลิกสัญญากับทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จึงอาจก่อให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่ไม่อาจชดใช้ด้วยเงินหรือทดแทนด้วยสิ่งอื่นใด
ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป มีความเป็นห่วงว่า หาก FIFA เลิกสัญญาให้ใช้สิทธิกับทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป ดังกล่าวจะส่งผลให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะไม่สามารถรับชมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2018 ได้อีกต่อไป
คำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ
หลังจากทรูวิชั่นส์ยื่นคำร้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ แล้ว ต่อมา วันที่ 26 มิ.ย. 2561 ศาลได้มีคำสั่งให้เอไอเอสยุติการแพร่ภาพผ่านแอปพลิเคชั่น AIS PLAY ในทันที และให้แจ้งผู้ชมผู้ใช้บริการภายใน 48 ช.ม. ซึ่งเอไอเอสเพิ่งออกประกาศแจ้งเมื่อคืนนี้ 28 มิ.ย.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อันนี้ผมสงสัยเองครับ เมื่อเช้าผมหาข้อมูลจากกูเกิ้ล ดันไปพบว่า มีข้อความในเว็บแห่งหนึ่งลงไว้เมื่อสองวันก่อน ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่เอไอเอสจะประกาศให้ผู้ชมทราบว่าจะระงับการออกอากาศ แต่เมื่อคลิกเข้าไปดูกลับเป็นข้อความลงวันที่วันนี้ 29 มิ.ย.
บทสรุปเรื่องนี้ คือ
แม้เอไอเอสจะยุติการออกอากาศ แต่ยังไงทุกคนก็ยังสามารถดูการถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2018 ตามช่องทางที่ถูกลิขสิทธิ์ได้เหมือนเดิมครับ ทางช่อง True4U 24, ช่อง 5 และ Amarin TV 34
ใครตะแบง ดราม่าถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2018
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดจากการที่เอไอเอสออกอากาศการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ผ่านแอปพลิเคชั่น AIS Play และ AIS Play Box ตั้งแต่นัดแรกที่เปิดฉากถ่ายทอดสด ซึ่งทางทรูวิชั่นส์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้มีคำสั่งให้เอไอเอสยุติการแพร่ภาพดังกล่าว
เอไอเอสออกอากาศแล้วผิดยังไง
อันนี้ขอแบ่งเป็น 2 เคส คือ
1. ออกอากาศผ่าน AIS Play Box ... ข้อนี้เหตุผลคือ AIS Play Box สามารถออกอากาศได้จริง ภายใต้กฎ Must Carry ของกสทช. เพราะถือเป็นฟรีทีวี ซึ่งก็เหมือน ๆ กับที่เราดูทีวีที่บ้านผ่านกล่อง PSI หรือกล่องอื่น ๆ เป็นต้น
ดังนั้น เอไอเอสจึงยังมีสิทธิ์ที่จะออกอากาศการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ทางช่องทางนี้ได้ต่อไป แต่ไม่ทราบว่าทำไมเอไอเอสจึงระงับการออกอากาศทางช่องทางนี้ด้วย ซึ่งไม่เกี่ยวกับการที่ทรูวิชั่นส์ฟ้องร้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ เลย (เพราะทรูวิชั่นส์ฟ้องแค่กรณีออกอากาศผ่านแอปพลิเคชั่นเท่านั้น ไม่ได้ฟ้องเรื่องออกอากาศผ่านทางกล่องทีวี)
2. ออกอากาศผ่านแอปพลิเคชั่น AIS PLAY ... ข้อนี้ตามกฎของฟีฟ่า คือ ทรูวิชั่นส์ซึ่งได้รับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดอย่างเป็นทางการ จึงต้องแจ้งให้ทางฟีฟ่ารับทราบว่าจะให้ใครออกอากาศได้บ้าง ซึ่งทางทรูวิชั่นส์ได้แจ้งไปแล้วว่า การออกอากาศผ่านทางช่องฟรีทีวีจะมีช่อง ททบ.5, อัมรินทร์ทีวี และ True4U ส่วนการออกอากาศผ่าน Mobile Application จะมีเพียง TrueID เท่านั้น
ดังนั้น กรณีที่เอไอเอสนำสัญญาณการออกอากาศจากฟรีทีวีไปออกในแอปพลิเคชั่น AIS Play จึงถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของฟีฟ่า ที่คุ้มครองเฉพาะช่องทางที่ผู้ได้รับลิขสิทธิ์คือทรูวิชั่นส์แจ้งให้ทราบเท่านั้น (อันนี้ในทางมารยาท ก็น่าแปลกใจนะครับ สำหรับบริษัทใหญ่และมีชื่อเสียงอย่างเอไอเอส ที่ได้รับรางวัลด้านธรรมาภิบาลจาก DJSI ที่จะมาพลาดอะไรง่าย ๆ แบบนี้)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทำไมทรูวิชั่นส์ต้องฟ้องร้องเอไอเอสต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ
จากข้อ 2. ข้างต้น เมื่อเอไอเอสออกอากาศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฟีฟ่า และไม่ได้ขอให้ทรูวิชั่นส์ซึ่งเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการ ช่วยไปขอทางฟีฟ่าให้ ทรูวิชั่นส์ก็ต้องทำตามหน้าที่ เพราะถ้าไม่ทำ ทรูวิชั่นส์ก็จะมีความผิดและต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งเป็นภาระหนักที่ไม่น่าจะแบกไหว และหากฟีฟ่าเกิดฟ้องร้องทรูวิชั่นส์ขึ้นมา เอไอเอสคงไม่มาช่วยทรูวิชั่นส์เป็นแน่ ที่สำคัญประเทศไทยก็จะโดนแบนจากการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในครั้งต่อ ๆ ไป (อันนี้สำคัญนะครับ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ
หลังจากทรูวิชั่นส์ยื่นคำร้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ แล้ว ต่อมา วันที่ 26 มิ.ย. 2561 ศาลได้มีคำสั่งให้เอไอเอสยุติการแพร่ภาพผ่านแอปพลิเคชั่น AIS PLAY ในทันที และให้แจ้งผู้ชมผู้ใช้บริการภายใน 48 ช.ม. ซึ่งเอไอเอสเพิ่งออกประกาศแจ้งเมื่อคืนนี้ 28 มิ.ย.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทสรุปเรื่องนี้ คือ แม้เอไอเอสจะยุติการออกอากาศ แต่ยังไงทุกคนก็ยังสามารถดูการถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2018 ตามช่องทางที่ถูกลิขสิทธิ์ได้เหมือนเดิมครับ ทางช่อง True4U 24, ช่อง 5 และ Amarin TV 34