สวัสดีครับ ทุกท่าน
พ่อผมเขามีภาวะทางอารมณ์ที่ดีๆร้ายๆ เมื่อก่อนก็ไม่เป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากหลายๆเรื่อง หลายๆ ปัญหาที่เจอมาในชีวิต อารมณ์เขาเปลี่ยนแปลงไปมา ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ขาดสติ และทำร้ายร่างกาย ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาไม่มีอาการลักษณะนี้ เขาเป็นร่าเริง แจ่มใส ชอบช่วยเหลือคนอื่น มีงานบุญต่าง ๆ ก็จะไปคอยช่วยเหลือ ปัจจุบัน ไม่ไปเลย
ครั้งหนึ่งมีการทำร้ายร่างกายแม่ ผมจึงไม่โอเคก็เหตุการณ์ดังกล่าว เพราะเกิดขึ้นหลายครั้งและรุนนแรงขึ้น จนญาติๆ พี่ๆของผมที่อยู่โดยรอบบ้านที่ ตจว. โทรมาบอกผม ผมจึงเตรียมเอกสาร โอนหนี้สินและภาระต่างๆ เพื่อที่จะมารับผิดชอบเอง พร้อม เอกสารการหย่า แต่อยู่ดี ๆ ในใจผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า หรือพ่อผมป่วย ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่มีความรุ้เรื่องโรคต่าง ๆ ทางจิตเวชและนึกได้ว่า มีคนที่รู้จักที่เป็นหมอ เลยลองโทรไปปรึกษาเขา เขาเลยบอกให้ไปพบหมอเฉพาะทาง ผมก็เลยตัดสินใจไปจะพาพ่อไปหาหมอ แต่ด้วยเวลาที่บีบรัด และเงื่อนไขที่มี ทั้งลางาน และถ้าจะไปหาหมอ ผมต้องพาไปเท่านั้น เพราะพ่อจะเชื่อใจผม ทั้งเวลาตรวจของหมอ โทรไป 3 รพ. ไม่มีคิวว่างเลย ก็เลยมี รพ. 1 ใน 3 นั้นที่บอกผมว่า ลองมาดู ผมก็เลยไปแบบเสี่ยงดวงว่าคิวจะว่างไหม ในส่วนของสภาพแวดล้อมของ รพ. ผมต้องดูว่า รพ.ที่จะพาไป ต้องเป็นที่ที่เขารู้สึกโอเค นั่นคือ ไม่วุ่นวายและไม่ให้เขาเห็นคนไข้จิตเวชคนอื่น ๆ เพราะอาจทำให้เขาคิดฟุ้งซ่านได้ และกลัวเขาคิดว่าเราว่าเขาเป็นบ้า (คนที่ไม่เข้าใจเรื่องด้านจิตเวช จะเป็นอะไรที่ยากมาก ที่จะทำให้เขาเข้าใจได้) และต้องไม่พบเจอคนในหมู่บ้าน เพราะหากเจออาจมีการทักทายหรือการแซวกันที่ไม่ควรทำ อย่างที่เราเห็นๆ กันในละครต่าง ๆ
เหตุผลที่ไม่ใช้บัตรทอง เพราะถ้าไป สถานพยาบาล ตามระบบ ผมจะไม่มีวันลางานเพียงพอที่ผมจะพาพ่อไปหาหมอได้ และอีกอย่าง เขาไม่ทำเรื่องส่งตัวคนไข้ง่ายๆ
ผมลางานนั่งรถทัวร์จากภาคตะวันออกไปอีสาน แล้วพาพ่อและแม่นั่งรถทัวร์จากอีสานเข้า กทม เพื่อมาหาหมอ ตอนเช้าก่อนจะพามาขึ้นรถทัวร์ พ่อไม่รุ้ว่าต้องไปหาหมอด้านจิตเวช ผมบอกแค่เพียง ''พ่อจำได้ไหม ที่ผมพาพ่อไปตรวจสุขภาพเมื่อปีที่แล้ว แล้วหมอให้ตรวจซ้ำ แต่รอบนี้ เราจะไปกรุงเทพ ไม่ใช่ รพ.กรุงเทพนะ เราจะไปหาที่ กทม. กัน" นั่งรถทัวร์มากันสามคน พ่อแม่และผม ระหว่างทาง พ่อไม่พูดอะไร ทั้งๆ ที่เขาชอบพูดคุยเรื่องงานก่อสร้างมาก ปกติแล้ว ถ้าเห็นเขาจะทักว่า อย่างนั้นอย่างนี้
ผมมมาถึง รพ.ก่อน เวลา คลินิกนอกเวลาเปิด เมื่อห้องเปิด ก้เดินเข้าไปหน้า เคาเตอร์แจ้งพยาบาล สิ่งได้รับการตอบกลับมาคือ คิวเต็ม ซึ่ง ณ ตอนนั้น น้ำตาผมไหลออกมาเลย แล้วผมพูดกับพยาบาลว่า รบกวนคุยกับคุณหมอให้หน่อยครับ ผมเดินทางมาไกลกว่า 300 กิโล เพื่อพาพ่อมาพบหมอ พยาบาลก็เข้าไปสอบถามหมอว่าจะรับเคสไหม มีหมอ 3 คนวันนั้น ตอนแรกเต็ม แต่เหมือนเขาโทรมาเลื่อนนัด อยู่ดีๆ หมอท่านนึงบอกว่า ให้เข้าไปพบ เพราะคนที่นัดไม่ได้มา ตอนนั้นรู้สึกโชคดีมาก ที่ได้ตรวจ หมอก็ทำซักประวัติทีละคน ร่วม ชั่วโมงกว่า หมอก็แนะนำต่าง ๆ และอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ รวมถึงตัวของพ่อเองด้วย และนัดมาฟังผลตรวจจาก lab. อีกสองสัปดาห์
ผล Lab ออกมาว่า เป็นซึมเศร้า หมอก็ให้ยาทานและให้ครอบครัวสังเกตุอาการ ดีเกินไปก็แจ้งหมอ ไม่ดีก็ยิ่งต้องแจ้งหมอ เมื่อมาพบหมอทุก ๆ เดือน
พ่อก็รับยามาเรื่อยๆ อาการก็ดีขึ้น เหล้าก็เลิกดื่ม
แต่เมื่อเขาหยุดยา และไม่ได้รับการรักษาที่ต่อเนื่อง คือ เริ่มมีอาการหลอน เมื่อดื่มเหล้าสักประมาณหหนึ่ง ไม่ถึงกับเมา เกิดได้ยินเสียงแว่วในหู แล้วก็พูดเองเออเองว่า แม่พูดอย่างนั้น อย่างนี้ แต่หลังจากตื่นเช้ามา เขาก็ปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จำอะไรไม่ได้ ว่าพูดอะไรไป บางครั้งก็พูดแต่จะขู่ฆ่าอย่างเดียว มีการบีบคอ ทำร้ายร่างกายกัน กลางคืนเขาก็หลับๆตื่น ๆ ตื่นมาก็อารมณ์แปรปรวน
ผมก็เครียดและเหนื่อยมาก ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เพราะอยู่ห่างไกลกัน ตอนนี้ก็กำลังคิดวางแผนในการรักษาว่า จะไปที่ไหนอย่างไร เพราะคงต้องเริ่มจากการเลิกเหล้าก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่า จะทำอย่างไร เกลี้ยกล่อมอย่างไร พ่อถึงจะตกลงทำด้วยดีครับ จนบางครั้ง ยังรู้สึกว่า เหมือนตัวเองจะเป็นซึมเศร้าเหมือนกัน
การพาคนไปเลิกสุราและรักษาโรคซิมเศร้า
พ่อผมเขามีภาวะทางอารมณ์ที่ดีๆร้ายๆ เมื่อก่อนก็ไม่เป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากหลายๆเรื่อง หลายๆ ปัญหาที่เจอมาในชีวิต อารมณ์เขาเปลี่ยนแปลงไปมา ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ขาดสติ และทำร้ายร่างกาย ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาไม่มีอาการลักษณะนี้ เขาเป็นร่าเริง แจ่มใส ชอบช่วยเหลือคนอื่น มีงานบุญต่าง ๆ ก็จะไปคอยช่วยเหลือ ปัจจุบัน ไม่ไปเลย
ครั้งหนึ่งมีการทำร้ายร่างกายแม่ ผมจึงไม่โอเคก็เหตุการณ์ดังกล่าว เพราะเกิดขึ้นหลายครั้งและรุนนแรงขึ้น จนญาติๆ พี่ๆของผมที่อยู่โดยรอบบ้านที่ ตจว. โทรมาบอกผม ผมจึงเตรียมเอกสาร โอนหนี้สินและภาระต่างๆ เพื่อที่จะมารับผิดชอบเอง พร้อม เอกสารการหย่า แต่อยู่ดี ๆ ในใจผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า หรือพ่อผมป่วย ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่มีความรุ้เรื่องโรคต่าง ๆ ทางจิตเวชและนึกได้ว่า มีคนที่รู้จักที่เป็นหมอ เลยลองโทรไปปรึกษาเขา เขาเลยบอกให้ไปพบหมอเฉพาะทาง ผมก็เลยตัดสินใจไปจะพาพ่อไปหาหมอ แต่ด้วยเวลาที่บีบรัด และเงื่อนไขที่มี ทั้งลางาน และถ้าจะไปหาหมอ ผมต้องพาไปเท่านั้น เพราะพ่อจะเชื่อใจผม ทั้งเวลาตรวจของหมอ โทรไป 3 รพ. ไม่มีคิวว่างเลย ก็เลยมี รพ. 1 ใน 3 นั้นที่บอกผมว่า ลองมาดู ผมก็เลยไปแบบเสี่ยงดวงว่าคิวจะว่างไหม ในส่วนของสภาพแวดล้อมของ รพ. ผมต้องดูว่า รพ.ที่จะพาไป ต้องเป็นที่ที่เขารู้สึกโอเค นั่นคือ ไม่วุ่นวายและไม่ให้เขาเห็นคนไข้จิตเวชคนอื่น ๆ เพราะอาจทำให้เขาคิดฟุ้งซ่านได้ และกลัวเขาคิดว่าเราว่าเขาเป็นบ้า (คนที่ไม่เข้าใจเรื่องด้านจิตเวช จะเป็นอะไรที่ยากมาก ที่จะทำให้เขาเข้าใจได้) และต้องไม่พบเจอคนในหมู่บ้าน เพราะหากเจออาจมีการทักทายหรือการแซวกันที่ไม่ควรทำ อย่างที่เราเห็นๆ กันในละครต่าง ๆ
เหตุผลที่ไม่ใช้บัตรทอง เพราะถ้าไป สถานพยาบาล ตามระบบ ผมจะไม่มีวันลางานเพียงพอที่ผมจะพาพ่อไปหาหมอได้ และอีกอย่าง เขาไม่ทำเรื่องส่งตัวคนไข้ง่ายๆ
ผมลางานนั่งรถทัวร์จากภาคตะวันออกไปอีสาน แล้วพาพ่อและแม่นั่งรถทัวร์จากอีสานเข้า กทม เพื่อมาหาหมอ ตอนเช้าก่อนจะพามาขึ้นรถทัวร์ พ่อไม่รุ้ว่าต้องไปหาหมอด้านจิตเวช ผมบอกแค่เพียง ''พ่อจำได้ไหม ที่ผมพาพ่อไปตรวจสุขภาพเมื่อปีที่แล้ว แล้วหมอให้ตรวจซ้ำ แต่รอบนี้ เราจะไปกรุงเทพ ไม่ใช่ รพ.กรุงเทพนะ เราจะไปหาที่ กทม. กัน" นั่งรถทัวร์มากันสามคน พ่อแม่และผม ระหว่างทาง พ่อไม่พูดอะไร ทั้งๆ ที่เขาชอบพูดคุยเรื่องงานก่อสร้างมาก ปกติแล้ว ถ้าเห็นเขาจะทักว่า อย่างนั้นอย่างนี้
ผมมมาถึง รพ.ก่อน เวลา คลินิกนอกเวลาเปิด เมื่อห้องเปิด ก้เดินเข้าไปหน้า เคาเตอร์แจ้งพยาบาล สิ่งได้รับการตอบกลับมาคือ คิวเต็ม ซึ่ง ณ ตอนนั้น น้ำตาผมไหลออกมาเลย แล้วผมพูดกับพยาบาลว่า รบกวนคุยกับคุณหมอให้หน่อยครับ ผมเดินทางมาไกลกว่า 300 กิโล เพื่อพาพ่อมาพบหมอ พยาบาลก็เข้าไปสอบถามหมอว่าจะรับเคสไหม มีหมอ 3 คนวันนั้น ตอนแรกเต็ม แต่เหมือนเขาโทรมาเลื่อนนัด อยู่ดีๆ หมอท่านนึงบอกว่า ให้เข้าไปพบ เพราะคนที่นัดไม่ได้มา ตอนนั้นรู้สึกโชคดีมาก ที่ได้ตรวจ หมอก็ทำซักประวัติทีละคน ร่วม ชั่วโมงกว่า หมอก็แนะนำต่าง ๆ และอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ รวมถึงตัวของพ่อเองด้วย และนัดมาฟังผลตรวจจาก lab. อีกสองสัปดาห์
ผล Lab ออกมาว่า เป็นซึมเศร้า หมอก็ให้ยาทานและให้ครอบครัวสังเกตุอาการ ดีเกินไปก็แจ้งหมอ ไม่ดีก็ยิ่งต้องแจ้งหมอ เมื่อมาพบหมอทุก ๆ เดือน
พ่อก็รับยามาเรื่อยๆ อาการก็ดีขึ้น เหล้าก็เลิกดื่ม
แต่เมื่อเขาหยุดยา และไม่ได้รับการรักษาที่ต่อเนื่อง คือ เริ่มมีอาการหลอน เมื่อดื่มเหล้าสักประมาณหหนึ่ง ไม่ถึงกับเมา เกิดได้ยินเสียงแว่วในหู แล้วก็พูดเองเออเองว่า แม่พูดอย่างนั้น อย่างนี้ แต่หลังจากตื่นเช้ามา เขาก็ปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จำอะไรไม่ได้ ว่าพูดอะไรไป บางครั้งก็พูดแต่จะขู่ฆ่าอย่างเดียว มีการบีบคอ ทำร้ายร่างกายกัน กลางคืนเขาก็หลับๆตื่น ๆ ตื่นมาก็อารมณ์แปรปรวน
ผมก็เครียดและเหนื่อยมาก ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เพราะอยู่ห่างไกลกัน ตอนนี้ก็กำลังคิดวางแผนในการรักษาว่า จะไปที่ไหนอย่างไร เพราะคงต้องเริ่มจากการเลิกเหล้าก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่า จะทำอย่างไร เกลี้ยกล่อมอย่างไร พ่อถึงจะตกลงทำด้วยดีครับ จนบางครั้ง ยังรู้สึกว่า เหมือนตัวเองจะเป็นซึมเศร้าเหมือนกัน