มอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพฯมีประมาณ 2 แสนคน แต่ละคนขับกันประมาณ 20-30 เที่ยวต่อวัน เมื่อรวมแล้วมอเตอร์ไซค์รับจ้างทั้งหมดวิ่งรับส่งเป็นจำนวน 4-6 ล้านเที่ยวต่อวัน มากกว่าจำนวนเที่ยวของรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดินรวมกันแล้วถึง 4 เท่าทีเดียว
กล่าวได้ว่า เป็นระบบคมนาคมที่มหึมามาก มีให้เห็นอยู่แทบทุกพื้นที่ และที่สำคัญคือคนกรุงเทพฯใช้บริการบ่อยมากๆแต่กลับไม่ค่อยมีใครลงไปศึกษาเรื่องนี้
ความเป็นมาและพัฒนาการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพฯ
แต่เดิมกรุงเทพฯเป็นเมืองของการคมนาคมทางน้ำที่มีตัวแบบจากอยุธยา
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการเปลี่ยนแปลงการคมนาคมเป็นใช้เส้นทางทางบกแทนตามแนวคิดของตะวันตก ทำให้กรุงเทพฯขยายออกและมีการพัฒนาถนนขึ้น แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการร่วมมือกันพัฒนาระหว่างไทยและสหรัฐระหว่างช่วงหลังสงครามเวียดนาม การร่วมมือกันพัฒนาครั้งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ
การพัฒนาผังเมือง
ประมาณพ.ศ.2503 สหรัฐให้ที่ปรึกษามาร่างแผนแม่บทแรก โดยมีแนวคิดคือ
พยายามพัฒนาให้เป็นเมืองที่เดินทางโดยใช้รถยนต์เป็นพื้นฐาน และต้องการสร้างถนนใหญ่จากนอกกรุงเทพฯเข้ามาในเมือง ซึ่งแนวคิดนี้ส่งผลให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเร็วมาก ในช่วงเวลา 30 ปีระหว่างการพัฒนานี้อัตราการเพิ่มขึ้นของรถยนต์พุ่งสูงอย่างรวดเร็วพร้อมกับอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรก็พุ่งตามไปด้วย
ปัญหาก็คือรัฐบาลไทยยอมรับแผนแม่บทนี้เพียงแค่บางแนวคิดโดยสร้างแค่ถนนใหญ่ แต่ไม่เคยยอมรับแนวคิดการสร้างถนนเล็กอื่นๆ เห็นได้ว่าในกรุงเทพฯมีซอยยาวๆที่ไม่ติดกันเป็นจำนวนมาก และซอยแต่ละซอยก็มีทางออกเพียงทางเดียวทุกคนที่ออกจากบ้านต้องออกซอยเดียวกัน แตกต่างกับผังเมืองของปารีสที่แม้ว่าจะมีซอยเล็กๆแต่มีทางออกเยอะ
ช่วงที่กรุงเทพฯขยายตัวก็จะพบปัญหาการจราจรเป็นเงาตามตัวมา ด้วยระบบถนนที่เป็นแบบนี้ทำให้รัฐบาลไม่สามารถพัฒนาระบบการคมนาคมสาธารณะได้ รถเมล์และรถไฟฟ้าไม่สามารถเข้าไปในซอยได้ คนที่จะออกจากซอยก็ต้องมีรถยนต์ ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ถูกแก้ไขโดยรัฐบาลแต่อย่างใด กลับกลายเป็นระบบเศรษฐกิจนอกระบบเป็นผู้เข้ามาแก้ปัญหาแทน ซึ่งก็คือ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง
จากที่ศึกษามาจริงๆแล้วระบบมอเตอร์ไซค์รับจ้างเกิดขึ้นที่
ซอยงามดูพลี เขตสาทร ในกรุงเทพฯ เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว โดยเป็นวินที่อยู่กันแบบร่วมมือกัน คนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ก็เป็นพวกคนทำงานอาสาสมัคร ทำงานวันละครึ่งชั่วโมง หรือ หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ช่วงเวลานั้นระบบมอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพฯกระจายตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มเกิดวินมอเตอร์ไซค์ขึ้นอีกหลายที่ และพัฒนาระบบการจัดการอย่างต่อเนื่อง
ลักษณะที่สำคัญของระบบมอเตอร์ไซค์รับจ้างคือ "เสื้อกั๊ก" ที่เป็นสัญลักษณ์แสดงตัวของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะรู้ว่าคนที่ทำผิดเป็นใคร "คิว" ทำให้ทุกคนในวินรู้ลำดับ
"การควบคุมเขตแดน" และ
"ผู้มีอิทธิพล" ซึ่งเป็นส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกัน หากมีวินจำนวนมากและเข้ามาแข่งกันก็ต้องเป็นบทบาทของผู้มีอิทธิพลที่จะเข้ามาควบคุมบริเวณต่างๆ
แต่ระบบของมอเตอร์ไซค์รับจ้างต้องมาพบกับ 2 จุดเปลี่ยนที่สำคัญ หนึ่งคือ
วิกฤติต้มยำกุ้งในปีพ.ศ.2540 หลายคนที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯก็ไม่มีงานทำ ต้องไปทำงานนอกระบบ จำนวนมอเตอร์ไซค์รับจ้างพุ่งสูงขึ้นมาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จุดเปลี่ยนที่สองคือ นโยบายของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาในปี พ.ศ.2546 โดยช่วงนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธออกนโยบายที่เรียกว่า "ปราบปรามกลุ่มอิทธิพลมืด" 5 กลุ่มโดยหนึ่งในนั้นคือกลุ่มที่ควบคุมมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
รูปแบบของนโยบายนี้ก็คือให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างไปลงทะเบียนที่เขตเพื่อรับเสื้อกั๊ก และส่งเสริมให้มีการจัดการภายในโดยมีหัวหน้ามอเตอร์ไซค์ดูแลในแต่ละวิน
ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการควบคุมผู้มีอิทธิพล(ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ และตำรวจ)
คนที่เป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างเห็นว่านโยบายนี้มีประโยชน์ต่อพวกเขาทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ได้ทำงานอย่างเป็นอิสระมากขึ้น แต่หลังจากที่รัฐบาลของคุณทักษิณถูกรัฐประหาร ผู้มีอิทธิพลก็กลับมา ปัญหาที่เห็นก็คือเสื้อวินที่แจกมีจำนวนจำกัด คนที่ได้รับเสื้อวินไปก็เอาไปขายให้กับผู้มีอิทธิพล หากเป็นพื้นที่ทำเลดีๆแล้วสนนราคาเสื้อกั๊กอาจขึ้นไปถึงตัวละ 2 แสนบาท
จริงๆแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่เสื้อกั๊ก แต่เราเห็นแล้วว่าอยู่ที่การควบคุมบริเวณต่างหาก ถ้าไม่มีระบบที่สามารถควบคุมได้ ผู้มีอิทธิพลจะกลับมา ปัญหาที่ตามมาคือรัฐบาลยุคต่อๆมาไม่สามารถควบคุมผู้มีอิทธิพลได้ ผู้มีอิทธิพลก็กลับมาอีกครั้ง คนที่ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างหลายคนก็อยากสร้างระบบการจัดการที่จะช่วยให้มีอำนาจในสังคมได้ โดยประมาณ 8 เดือนที่แล้วเหล่าผู้ขับขี่ได้จัดตั้งสมาคมมอเตอร์ไซค์รับจ้างมีลักษณะคล้ายกับสหภาพแรงงานที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องผู้มีอิทธิพล และให้คำปรึกษาในหลายๆด้าน นอกจากนี้ยังให้บริการด้านต่างๆให้กับสังคมด้วย
สังคมวิทยาของคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง (ภูมิทัศน์มนุษย์)
จากข้อมูลแล้วมอเตอร์ไซค์รับจ้างส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด เป็นผู้ชาย มีอายุระหว่าง 20- 40 ปี เข้ามากรุงเทพฯเพื่อหวังว่าจะส่งเสียครอบครัวที่อยู่ต่างจังหวัด หลายๆคนไม่ได้เข้ามาทำอาชีพมอเตอร์ไซค์รับจ้างเป็นอาชีพแรก ซึ่งสาเหตุที่หลายคนเข้ามาทำอาชีพนี้ก็เพราะว่าเป็นอาชีพที่มีความอิสระ แต่คำถามคือ ความหมายของคำว่า "อิสระ" ของมอเตอร์ไซค์รับจ้างคืออะไร
แนวคิดเรื่องความอิสระของมอเตอร์ไซค์รับจ้างแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ
อิสระจากคำสั่งต่างๆ เพราะไม่มีนายจ้าง และ
อิสระที่สามารถเดินทางไปมาระหว่างกรุงเทพฯและต่างจังหวัดได้ ถ้าเราวิเคราะห์เรื่องความเป็นอิสระจะช่วยให้เราเข้าใจตำแหน่งทางสังคมของกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างได้
ข้อมูลจากการสัมภาษณ์มอเตอร์ไซค์รับจ้างหลายคนพบว่า ประสบการณ์ที่หลายคนมักพูดถึงบ่อยๆคือ คนกรุงเทพฯดูถูกคนที่มาจากต่างจังหวัด หลายคนคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีการศึกษา สกปรก อันตรายและคนขี้เกียจ คนที่ทำงานกับครอบครัวจะรู้สึกเป็นกันเองมากกว่า เวลาที่มาทำงานในกรุงเทพฯต้องเรียนรู้วิธีการทำงานในความสัมพันธ์แบบใหม่คือ"เจ้านาย" และ "ลูกน้อง" หลายๆคนรู้สึกเจ้านายไม่ให้เขาลองทำ ไม่มีโอกาส ไม่มีอิสระและไม่สามารถเป็นเจ้าของตัวเองได้จึงเปลี่ยนมาเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพราะได้เป็นเจ้านายตัวเอง นอกจากนี้ยังรู้สึกมีบทบาท มีตัวตนในเมืองและได้พัฒนาความรู้ในเมืองเกี่ยวกับสังคมไทย เพราะกิจกรรมยามว่างในวินคือการอ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความมีอยู่ทางการเมืองของมอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วย มีการศึกษาเรื่องการเมืองที่ดี
บทบาทของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเมืองนั้นไม่ได้มีแค่ในบริบทการขนส่งเท่านั้น
แต่ยังเป็นคนที่รับส่งสินค้า เอกสาร อาหาร หรืออะไรก็ตามที่คนในพื้นที่ต้องการ นอกจากนี้มอเตอร์ไซค์รับจ้างยังเป็นคนที่ไปจ่ายบิลทางการเงินต่างๆ มีผู้ใหญ่ที่ให้เงินหลายหมื่นบาทฝากไว้กับมือมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้เอาไปฝากเงิน เห็นได้ว่าคนในพื้นที่ต้องมีความเชื่อใจไม่ใช่แค่ในเรื่องการขนส่งเท่านั้น มอเตอร์ไซค์รับจ้างบางคนยังเป็นผู้ช่วยให้กับผู้ใหญ่ในพื้นที่ (ทั้งเรื่องถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย)
มอเตอร์ไซค์รับจ้างส่วนหนึ่งยังมีความสัมพันธ์กับตำรวจ เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆอย่างไฟไหม้หรืออุบัติเหตุคนที่โทรศัพท์เรียกตำรวจจะเป็นกลุ่มคนเหล่านี้ มีคำกล่าวว่า ตำรวจเป็นเหมือนน้ำที่ล้างทุกอย่างเพราะมักจะมาเมื่อทุกอย่างจบเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตก็มักจะเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาช่วยก่อนเพราะจริงๆแล้วตำรวจมาช้า แต่มอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ในพื้นที่เดินทางได้อย่างรวดเร็ว
ตำแหน่งทางสังคมของมอเตอร์ไซค์รับจ้างมีจุดเด่นตรงที่มีอิสระในตัวเองเลือกรับงานได้ เป็นคนที่มีบทบาทในพื้นที่แต่ไม่ใช่บทบาทในชั้นล่าง มอเตอร์ไซค์รับจ้างจะอยู่ในฐานะตัวเชื่อมในหลายๆเรื่อง และมีส่วนกับการพัฒนาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับทุกคนที่อยู่ในบริเวณกับคนที่อยู่บริเวณอื่น ดังนั้น มอเตอร์ไซค์รับจ้างมีตำแหน่งที่พิเศษมากในสังคมท้องถิ่นที่ทำให้คนจากชนบทมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับชนชั้นกลางและชนชั้นสูง กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างบางทีก็เข้าออกในละแวกที่อยู่อาศัย หรือในที่ทำงานของคนในพื้นที่ แม้ว่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่มีอำนาจจากสาธารณะแต่เขาสามารถใช้ความสัมพันธ์กับคนในสังคมสร้างอำนาจได้
กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพฯที่มาจากต่างจังหวัดจะมีโอกาสกลับบ้านได้มากกว่ากลุ่มอาชีพอื่นที่มาจากต่างจังหวัดเหมือนกัน หลายคนมีครอบครัวพักอยู่ที่ต่างจังหวัด บ่อยครั้งที่กลับบ้านพวกเขาไม่ได้แค่เดินทางไปมาระหว่างกรุงเทพฯและบ้านเกิดเท่านั้น แต่ยังนำเอาสินค้า แนวคิด เทคโนโลยี หรือวิถีชีวิตจากกรุงเทพฯกลับไปด้วย เช่น เพื่อนที่เดินทางกลับอุดรธานีหอบเอาไก่เคเอฟซี และพิซซ่ากลับไปฝากที่บ้าน
ดังนั้น มอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่ใช่แค่เป็นตัวเชื่อมในการขนส่งเท่านั้น
แต่เป็นตัวเชื่อมในทางชนชั้นหรือวิถีชีวิตต่างๆด้วย ในชีวิตของเขายังมีโอกาสสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ และเครือข่ายใหม่ๆขึ้นในสังคม เป็นเหมือนคนที่สอดแทรก สร้างพื้นที่ของตัวเองที่ไม่เคยมีเกิดขึ้นในสังคมมาก่อน เหมือนอย่างเวลาที่รถติดคนอื่นไม่สามารถไปไหนได้แต่พวกเขาสามารถเดินทางได้ ทั้งนี้ ประสบการณ์ที่มีความหลากหลายของมอเตอร์ไซค์รับจ้างทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่เห็นความไม่เท่าเทียมกันได้ชัดๆจึงทำให้พวกเขาเป็นกลุ่มที่มีบทบาทในทางการเมืองด้วย
บทบาทของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในการเมืองบนท้องถนน
หลายคนอาจมองว่าการมีส่วนร่วมของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองว่าเป็น ม็อบรับจ้าง เป็นเพียงคนที่รับเงินมาโดยที่ไม่เข้าใจทางการเมือง ไม่มีอุดมการณ์ของตัวเองเลย แต่จริงๆแล้วถ้าลองวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ทางการเมืองของบทบาททางการเมืองของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีการพัฒนาการมีส่วนร่วมของมอเตอร์ไซค์รับจ้างและมีการพัฒนาเรื่องการศึกษาทางการเมืองด้วย ซึ่งหากเราต้องการเข้าใจบทบาททางการเมืองของมอเตอร์ไซค์รับจ้างแล้วต้องมองวิธีการที่จะทำให้พวกเขาเหล่านี้มีบทบาทในทางการเมืองได้คือ มิติเชิงเครือข่าย และ เชิงอุดมคติหรือนโยบายของรัฐบาล
จริงๆแล้วคนที่ทำอาชีพด้านการขนส่งมีบทบาทที่ใหญ่มากในทางการเมืองระดับชาติ เช่นการประท้วงหยุดงานครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2466 ก็เกิดโดยผู้ขับรถราง แต่สำหรับบทบาทของมอเตอร์ไซค์รับจ้างครั้งแรกเลยก็คือเหตุการณ์ประท้วงเมื่อปีพ.ศ. 2535 ที่ราชดำเนินโดยมีที่มาจากการเมืองเชิงโครงสร้างและความสัมพันธ์กับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ (บุคคลสำคัญที่มีส่วนกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปีพ.ศ. 2523-2542) โดยพลเอกชวลิตเป็นคนที่สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับชนชั้นล่าง อาจเป็นเพราะว่าช่วงนั้นกอ.รมน.ต้องการให้คนชั้นล่างสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล พลเอกชวลิตเองก็เป็นคนที่มีประสบการณ์และมีฝีมือในเรื่องการเคลื่อนไหวซึ่งตัวเขาเองก็เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางเครือข่ายแบบเดิมเป็นเครือข่ายที่มีความสัมพันธ์กับการเมืองภาคเลือกตั้ง และอาจเป็นคนแรกที่ตระหนักถึงบทบาททางการเมืองที่เป็นไปได้ของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
บทบาททางสังคม, เส้นโลหิตใหญ่ในการขนส่ง และตัวเชื่อมทางชนชั้น ของ ผู้ประกอบอาชีพ "มอเตอร์ไซด์รับจ้าง"
มอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพฯมีประมาณ 2 แสนคน แต่ละคนขับกันประมาณ 20-30 เที่ยวต่อวัน เมื่อรวมแล้วมอเตอร์ไซค์รับจ้างทั้งหมดวิ่งรับส่งเป็นจำนวน 4-6 ล้านเที่ยวต่อวัน มากกว่าจำนวนเที่ยวของรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดินรวมกันแล้วถึง 4 เท่าทีเดียว
กล่าวได้ว่า เป็นระบบคมนาคมที่มหึมามาก มีให้เห็นอยู่แทบทุกพื้นที่ และที่สำคัญคือคนกรุงเทพฯใช้บริการบ่อยมากๆแต่กลับไม่ค่อยมีใครลงไปศึกษาเรื่องนี้
แต่เดิมกรุงเทพฯเป็นเมืองของการคมนาคมทางน้ำที่มีตัวแบบจากอยุธยา ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการเปลี่ยนแปลงการคมนาคมเป็นใช้เส้นทางทางบกแทนตามแนวคิดของตะวันตก ทำให้กรุงเทพฯขยายออกและมีการพัฒนาถนนขึ้น แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการร่วมมือกันพัฒนาระหว่างไทยและสหรัฐระหว่างช่วงหลังสงครามเวียดนาม การร่วมมือกันพัฒนาครั้งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ การพัฒนาผังเมือง
ประมาณพ.ศ.2503 สหรัฐให้ที่ปรึกษามาร่างแผนแม่บทแรก โดยมีแนวคิดคือ พยายามพัฒนาให้เป็นเมืองที่เดินทางโดยใช้รถยนต์เป็นพื้นฐาน และต้องการสร้างถนนใหญ่จากนอกกรุงเทพฯเข้ามาในเมือง ซึ่งแนวคิดนี้ส่งผลให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเร็วมาก ในช่วงเวลา 30 ปีระหว่างการพัฒนานี้อัตราการเพิ่มขึ้นของรถยนต์พุ่งสูงอย่างรวดเร็วพร้อมกับอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรก็พุ่งตามไปด้วย
ปัญหาก็คือรัฐบาลไทยยอมรับแผนแม่บทนี้เพียงแค่บางแนวคิดโดยสร้างแค่ถนนใหญ่ แต่ไม่เคยยอมรับแนวคิดการสร้างถนนเล็กอื่นๆ เห็นได้ว่าในกรุงเทพฯมีซอยยาวๆที่ไม่ติดกันเป็นจำนวนมาก และซอยแต่ละซอยก็มีทางออกเพียงทางเดียวทุกคนที่ออกจากบ้านต้องออกซอยเดียวกัน แตกต่างกับผังเมืองของปารีสที่แม้ว่าจะมีซอยเล็กๆแต่มีทางออกเยอะ
ช่วงที่กรุงเทพฯขยายตัวก็จะพบปัญหาการจราจรเป็นเงาตามตัวมา ด้วยระบบถนนที่เป็นแบบนี้ทำให้รัฐบาลไม่สามารถพัฒนาระบบการคมนาคมสาธารณะได้ รถเมล์และรถไฟฟ้าไม่สามารถเข้าไปในซอยได้ คนที่จะออกจากซอยก็ต้องมีรถยนต์ ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ถูกแก้ไขโดยรัฐบาลแต่อย่างใด กลับกลายเป็นระบบเศรษฐกิจนอกระบบเป็นผู้เข้ามาแก้ปัญหาแทน ซึ่งก็คือ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง
จากที่ศึกษามาจริงๆแล้วระบบมอเตอร์ไซค์รับจ้างเกิดขึ้นที่ซอยงามดูพลี เขตสาทร ในกรุงเทพฯ เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว โดยเป็นวินที่อยู่กันแบบร่วมมือกัน คนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ก็เป็นพวกคนทำงานอาสาสมัคร ทำงานวันละครึ่งชั่วโมง หรือ หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ช่วงเวลานั้นระบบมอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพฯกระจายตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มเกิดวินมอเตอร์ไซค์ขึ้นอีกหลายที่ และพัฒนาระบบการจัดการอย่างต่อเนื่อง
ลักษณะที่สำคัญของระบบมอเตอร์ไซค์รับจ้างคือ "เสื้อกั๊ก" ที่เป็นสัญลักษณ์แสดงตัวของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะรู้ว่าคนที่ทำผิดเป็นใคร "คิว" ทำให้ทุกคนในวินรู้ลำดับ
"การควบคุมเขตแดน" และ "ผู้มีอิทธิพล" ซึ่งเป็นส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกัน หากมีวินจำนวนมากและเข้ามาแข่งกันก็ต้องเป็นบทบาทของผู้มีอิทธิพลที่จะเข้ามาควบคุมบริเวณต่างๆ
แต่ระบบของมอเตอร์ไซค์รับจ้างต้องมาพบกับ 2 จุดเปลี่ยนที่สำคัญ หนึ่งคือ วิกฤติต้มยำกุ้งในปีพ.ศ.2540 หลายคนที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯก็ไม่มีงานทำ ต้องไปทำงานนอกระบบ จำนวนมอเตอร์ไซค์รับจ้างพุ่งสูงขึ้นมาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รูปแบบของนโยบายนี้ก็คือให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างไปลงทะเบียนที่เขตเพื่อรับเสื้อกั๊ก และส่งเสริมให้มีการจัดการภายในโดยมีหัวหน้ามอเตอร์ไซค์ดูแลในแต่ละวิน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการควบคุมผู้มีอิทธิพล(ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ และตำรวจ)
คนที่เป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างเห็นว่านโยบายนี้มีประโยชน์ต่อพวกเขาทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ได้ทำงานอย่างเป็นอิสระมากขึ้น แต่หลังจากที่รัฐบาลของคุณทักษิณถูกรัฐประหาร ผู้มีอิทธิพลก็กลับมา ปัญหาที่เห็นก็คือเสื้อวินที่แจกมีจำนวนจำกัด คนที่ได้รับเสื้อวินไปก็เอาไปขายให้กับผู้มีอิทธิพล หากเป็นพื้นที่ทำเลดีๆแล้วสนนราคาเสื้อกั๊กอาจขึ้นไปถึงตัวละ 2 แสนบาท
จริงๆแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่เสื้อกั๊ก แต่เราเห็นแล้วว่าอยู่ที่การควบคุมบริเวณต่างหาก ถ้าไม่มีระบบที่สามารถควบคุมได้ ผู้มีอิทธิพลจะกลับมา ปัญหาที่ตามมาคือรัฐบาลยุคต่อๆมาไม่สามารถควบคุมผู้มีอิทธิพลได้ ผู้มีอิทธิพลก็กลับมาอีกครั้ง คนที่ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างหลายคนก็อยากสร้างระบบการจัดการที่จะช่วยให้มีอำนาจในสังคมได้ โดยประมาณ 8 เดือนที่แล้วเหล่าผู้ขับขี่ได้จัดตั้งสมาคมมอเตอร์ไซค์รับจ้างมีลักษณะคล้ายกับสหภาพแรงงานที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องผู้มีอิทธิพล และให้คำปรึกษาในหลายๆด้าน นอกจากนี้ยังให้บริการด้านต่างๆให้กับสังคมด้วย
จากข้อมูลแล้วมอเตอร์ไซค์รับจ้างส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด เป็นผู้ชาย มีอายุระหว่าง 20- 40 ปี เข้ามากรุงเทพฯเพื่อหวังว่าจะส่งเสียครอบครัวที่อยู่ต่างจังหวัด หลายๆคนไม่ได้เข้ามาทำอาชีพมอเตอร์ไซค์รับจ้างเป็นอาชีพแรก ซึ่งสาเหตุที่หลายคนเข้ามาทำอาชีพนี้ก็เพราะว่าเป็นอาชีพที่มีความอิสระ แต่คำถามคือ ความหมายของคำว่า "อิสระ" ของมอเตอร์ไซค์รับจ้างคืออะไร
แนวคิดเรื่องความอิสระของมอเตอร์ไซค์รับจ้างแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ อิสระจากคำสั่งต่างๆ เพราะไม่มีนายจ้าง และ อิสระที่สามารถเดินทางไปมาระหว่างกรุงเทพฯและต่างจังหวัดได้ ถ้าเราวิเคราะห์เรื่องความเป็นอิสระจะช่วยให้เราเข้าใจตำแหน่งทางสังคมของกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างได้
ข้อมูลจากการสัมภาษณ์มอเตอร์ไซค์รับจ้างหลายคนพบว่า ประสบการณ์ที่หลายคนมักพูดถึงบ่อยๆคือ คนกรุงเทพฯดูถูกคนที่มาจากต่างจังหวัด หลายคนคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีการศึกษา สกปรก อันตรายและคนขี้เกียจ คนที่ทำงานกับครอบครัวจะรู้สึกเป็นกันเองมากกว่า เวลาที่มาทำงานในกรุงเทพฯต้องเรียนรู้วิธีการทำงานในความสัมพันธ์แบบใหม่คือ"เจ้านาย" และ "ลูกน้อง" หลายๆคนรู้สึกเจ้านายไม่ให้เขาลองทำ ไม่มีโอกาส ไม่มีอิสระและไม่สามารถเป็นเจ้าของตัวเองได้จึงเปลี่ยนมาเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพราะได้เป็นเจ้านายตัวเอง นอกจากนี้ยังรู้สึกมีบทบาท มีตัวตนในเมืองและได้พัฒนาความรู้ในเมืองเกี่ยวกับสังคมไทย เพราะกิจกรรมยามว่างในวินคือการอ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความมีอยู่ทางการเมืองของมอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วย มีการศึกษาเรื่องการเมืองที่ดี
บทบาทของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเมืองนั้นไม่ได้มีแค่ในบริบทการขนส่งเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่รับส่งสินค้า เอกสาร อาหาร หรืออะไรก็ตามที่คนในพื้นที่ต้องการ นอกจากนี้มอเตอร์ไซค์รับจ้างยังเป็นคนที่ไปจ่ายบิลทางการเงินต่างๆ มีผู้ใหญ่ที่ให้เงินหลายหมื่นบาทฝากไว้กับมือมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้เอาไปฝากเงิน เห็นได้ว่าคนในพื้นที่ต้องมีความเชื่อใจไม่ใช่แค่ในเรื่องการขนส่งเท่านั้น มอเตอร์ไซค์รับจ้างบางคนยังเป็นผู้ช่วยให้กับผู้ใหญ่ในพื้นที่ (ทั้งเรื่องถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย)
มอเตอร์ไซค์รับจ้างส่วนหนึ่งยังมีความสัมพันธ์กับตำรวจ เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆอย่างไฟไหม้หรืออุบัติเหตุคนที่โทรศัพท์เรียกตำรวจจะเป็นกลุ่มคนเหล่านี้ มีคำกล่าวว่า ตำรวจเป็นเหมือนน้ำที่ล้างทุกอย่างเพราะมักจะมาเมื่อทุกอย่างจบเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตก็มักจะเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาช่วยก่อนเพราะจริงๆแล้วตำรวจมาช้า แต่มอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ในพื้นที่เดินทางได้อย่างรวดเร็ว
ตำแหน่งทางสังคมของมอเตอร์ไซค์รับจ้างมีจุดเด่นตรงที่มีอิสระในตัวเองเลือกรับงานได้ เป็นคนที่มีบทบาทในพื้นที่แต่ไม่ใช่บทบาทในชั้นล่าง มอเตอร์ไซค์รับจ้างจะอยู่ในฐานะตัวเชื่อมในหลายๆเรื่อง และมีส่วนกับการพัฒนาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับทุกคนที่อยู่ในบริเวณกับคนที่อยู่บริเวณอื่น ดังนั้น มอเตอร์ไซค์รับจ้างมีตำแหน่งที่พิเศษมากในสังคมท้องถิ่นที่ทำให้คนจากชนบทมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับชนชั้นกลางและชนชั้นสูง กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างบางทีก็เข้าออกในละแวกที่อยู่อาศัย หรือในที่ทำงานของคนในพื้นที่ แม้ว่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่มีอำนาจจากสาธารณะแต่เขาสามารถใช้ความสัมพันธ์กับคนในสังคมสร้างอำนาจได้
กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพฯที่มาจากต่างจังหวัดจะมีโอกาสกลับบ้านได้มากกว่ากลุ่มอาชีพอื่นที่มาจากต่างจังหวัดเหมือนกัน หลายคนมีครอบครัวพักอยู่ที่ต่างจังหวัด บ่อยครั้งที่กลับบ้านพวกเขาไม่ได้แค่เดินทางไปมาระหว่างกรุงเทพฯและบ้านเกิดเท่านั้น แต่ยังนำเอาสินค้า แนวคิด เทคโนโลยี หรือวิถีชีวิตจากกรุงเทพฯกลับไปด้วย เช่น เพื่อนที่เดินทางกลับอุดรธานีหอบเอาไก่เคเอฟซี และพิซซ่ากลับไปฝากที่บ้าน
ดังนั้น มอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่ใช่แค่เป็นตัวเชื่อมในการขนส่งเท่านั้น แต่เป็นตัวเชื่อมในทางชนชั้นหรือวิถีชีวิตต่างๆด้วย ในชีวิตของเขายังมีโอกาสสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ และเครือข่ายใหม่ๆขึ้นในสังคม เป็นเหมือนคนที่สอดแทรก สร้างพื้นที่ของตัวเองที่ไม่เคยมีเกิดขึ้นในสังคมมาก่อน เหมือนอย่างเวลาที่รถติดคนอื่นไม่สามารถไปไหนได้แต่พวกเขาสามารถเดินทางได้ ทั้งนี้ ประสบการณ์ที่มีความหลากหลายของมอเตอร์ไซค์รับจ้างทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่เห็นความไม่เท่าเทียมกันได้ชัดๆจึงทำให้พวกเขาเป็นกลุ่มที่มีบทบาทในทางการเมืองด้วย
หลายคนอาจมองว่าการมีส่วนร่วมของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองว่าเป็น ม็อบรับจ้าง เป็นเพียงคนที่รับเงินมาโดยที่ไม่เข้าใจทางการเมือง ไม่มีอุดมการณ์ของตัวเองเลย แต่จริงๆแล้วถ้าลองวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ทางการเมืองของบทบาททางการเมืองของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีการพัฒนาการมีส่วนร่วมของมอเตอร์ไซค์รับจ้างและมีการพัฒนาเรื่องการศึกษาทางการเมืองด้วย ซึ่งหากเราต้องการเข้าใจบทบาททางการเมืองของมอเตอร์ไซค์รับจ้างแล้วต้องมองวิธีการที่จะทำให้พวกเขาเหล่านี้มีบทบาทในทางการเมืองได้คือ มิติเชิงเครือข่าย และ เชิงอุดมคติหรือนโยบายของรัฐบาล
จริงๆแล้วคนที่ทำอาชีพด้านการขนส่งมีบทบาทที่ใหญ่มากในทางการเมืองระดับชาติ เช่นการประท้วงหยุดงานครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2466 ก็เกิดโดยผู้ขับรถราง แต่สำหรับบทบาทของมอเตอร์ไซค์รับจ้างครั้งแรกเลยก็คือเหตุการณ์ประท้วงเมื่อปีพ.ศ. 2535 ที่ราชดำเนินโดยมีที่มาจากการเมืองเชิงโครงสร้างและความสัมพันธ์กับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ (บุคคลสำคัญที่มีส่วนกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปีพ.ศ. 2523-2542) โดยพลเอกชวลิตเป็นคนที่สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับชนชั้นล่าง อาจเป็นเพราะว่าช่วงนั้นกอ.รมน.ต้องการให้คนชั้นล่างสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล พลเอกชวลิตเองก็เป็นคนที่มีประสบการณ์และมีฝีมือในเรื่องการเคลื่อนไหวซึ่งตัวเขาเองก็เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางเครือข่ายแบบเดิมเป็นเครือข่ายที่มีความสัมพันธ์กับการเมืองภาคเลือกตั้ง และอาจเป็นคนแรกที่ตระหนักถึงบทบาททางการเมืองที่เป็นไปได้ของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง