หลังจากความพ่ายแพ้ให้กับเม็กซิโก 0-1 ในนัดแรกของกลุ่ม G เยอรมนีก็ต้องพบกับศึกหนักกับสวีเดน ทีมที่เล่นบอลได้เหนียวแน่นทีมหนึ่ง ด้วยแนวรับที่แข็งแกร่ง แดนกลางที่ไล่บอลปิดพื้นที่ได้ดี และแท็กติกการคุมโซนอันชาญฉลาดซึ่งในรอบคัดเลือก สวีเดนถือว่าเป็นทีมปราบเซียนโดยเขี่ยเนเธอร์แลนด์ตกรอบแบ่งกลุ่มและเขี่ยอิตาลีในตกรอบเพลย์ออฟมาแล้ว
นัดนี้บุนเดสเทรนเนอร์โยอาคิม เลิฟได้เปลี่ยนแปลงผู้เล่นจากชุดเดิมถึง 4 คน โดยใส่อันโตนิโอ รือดิเกอร์ลงแทนมัทส์ ฮุมเมิลส์ที่มีอาการบาดเจ็บ โยนาส เฮคเตอร์ เจ้าของพื้นที่ฝั่งซ้ายเดิมหายป่วยจึงได้กลับมาลงสนามและมารวิน พลัทเท่นฮาร์ดท์ต้องหลีกทางให้ เซบาสเตียน รูดี้และมาร์โค รอยส์ลงแทนซามี่ เคดิร่าและเมซุท โอซิลตามลำดับ โดยแผนการเล่นยังคงเป็น 4-2-3-1 เหมือนเดิม ซึ่งตามทีมชีต ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ถูกหุบเข้ามาใน โดยมาร์โค รอยส์ได้เล่นริมเส้นฝั่งซ้าย ส่วนสวีเดนยืนพื้นผู้เล่นจากนัดชนะเกาหลีใต้ 1-0 เปลี่ยนแค่ตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟโดยให้วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟลงสนามเป็นตัวจริง
ครึ่งแรกเป็นเยอรมนีที่ได้โอกาสเปิดเกมเร็วบุกใส่สวีเดนเป็นระลอก ๆ โดยสวีเดนตั้งรับเหนียวแน่นรอโอกาสสวนกลับเป็นระยะๆ ในนาทีที่ 30 เยอรมนีต้องเปลี่ยนผู้เล่นคนแรกโดยเอาอิลคาย กุนโดกันลงเล่นแทนเซบาสเตียน รูดี้เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่จมูก หลังจากนั้นไม่นานนักในนาทีที่ 32 เยอรมนีเสียประตูให้สวีเดนเนื่องจากโทนี่ โครสผ่านบอลพลาดกลางสนามให้มาร์คุสเบิร์กตัดบอลได้ บอลถูกครอสจากวิคเตอร์ เคลสสันทางกราบขวาให้โอล่า ตอยโวเน่นยิงแฉลบเปลี่ยนทางอันโตนิโอ รือดิเกอร์เข้าประตูไป สวีเดนนำ 0-1 จากนั้นเยอรมนีพยายามโหมบุกหนักแต่ยังทำอะไรไม่ได้ จบครึ่งแรกสวีเดนนำ 1-0
ครึ่งหลังเยอรมนีทำการแก้เกม บุนเดสเทรนเนอร์โยอาคิม เลิฟส่งมาริโอ โกเมซ ศูนย์หน้าร่างยักษ์ลงสนามแทนยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ที่เล่นไม่ออก (อีกแล้ว) โดยให้โกเมซเล่นกองหน้าตัวเป้ายืนค้ำกองหลังสวีเดน โยกติโม แวร์เนอร์เป็นกลางรุกริมเส้นฝั่งซ้าย แล้วหุบมาร์โค รอยส์เข้ากลางเป็นตัวฟรี เกมของเยอรมนีมีความวูบวาบขึ้น จนได้ประตูตีเสมออย่างรวมเร็วโดยแวร์เนอร์กรากบอลจากฝั่งซ้ายตบเข้าในกระดอนเท้าโกเมซให้รอยส์ใช้หน้าแข้งตวัดบอลยิงประตูเข้าไป เสมอ 1-1 จากนั้นเยอรมนีเปิดเกมรุกใส่สวีเดนจนมีโอกาสทำประตูอีกหลายครั้งแต่พลาดไปหมด ขณะที่สวีเดนก็ได้จังหวะสวนกลับเป็นระยะๆแต่ติดเซฟของมานูเอล นอยเออร์ผู้รักษาประตู ในนาทีที่ 82 สถานการณ์เยอรมนีย่ำแย่เมื่อทีมเหลือ 10 คนจากการที่เยโรม บัวเต็งได้รับใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงต้องออกจากสนามจากการที่เขาสกัดมาร์คุส เบิร์กจากด้านหลัง อย่างไรก็ตามเยอรมนีมาได้ประตัยจนได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 95 จากการที่เยอรมนีได้ลูกฟรีคิกทางฝั่งซ้าย โทนี่ โครสเขี่ยเปลี่ยนจุดให้รอยส์ก่อนโครสจะปั่นด้วยขวาเสียบสามเหลี่ยมเข้าประตูเข้าไปอย่างงดงาม เยอรมนีนำ 2-1 และจบเกมเยอรมนีชนะไปด้วยสกอร์ดังกล่าว
จากเกมนี้ มีพัฒนาการเชิงบวกอะไรบ้าง ?
1.นักเตะที่ลงเล่นแทนตำแหน่งของผู้เล่นเดิม ๆ ในนัดก่อนไม่ว่าจะเป็นมาร์โค รอยส์ เซบาสเตียน รูดี้ โยนาส เฮคเตอร์ หรือแม้แต่อิลคาย กุนโดกันมีฟอร์มการเล่นที่ดีกว่าซามี่ เคดิร่า เมซุท โอซิลและมาร์วิน พลัทเท่นฮาร์ดท์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะรอยส์แมน ออฟ เดอะ แมทช์ที่เล่นได้วูบวาบในบทบาทตัวฟรี สังเกตได้จากทิศทางการวิ่งไปทั่วทั้งกราบซ้าย กราบขวา หรือด้านในสนามจนไม่ถูกประกบตายโดยแนวรับสวีเดน อีกทั้งยังยิงประตูตีเสมอให้ทีมได้ในช่วงต้นครึ่งหลังจนนำมาซึ่งผลทางจิตวิทยาในการปิดเกมสู้เพื่อเอาชนะในท้ายที่สุด
2.ปัญหาคู่มิดฟิลด์ตัวกลางที่ลอยสูงจนลงมาไล่บอลไม่ทัน ได้รับการแก้ไขในระดับหนึ่ง เซบาสเตียน รูดี้แสดงให้เห็นว่ามีความเหมาะสมในตำแหน่งนี้และเล่นได้เข้าขากับโครส สามารถยืนสลับตำแหน่งได้ดี สามารถกรองบอลในแดนกลางก่อนจะถึงแดนหลังได้ดีพอควร แต่โชคร้ายที่ถูกเปลี่ยนตัวออกเนื่องจากบาดเจ็บที่จมูก ส่วนอิลคาย กุนโดกันที่ลงมาแทนแม้ว่าจะทำผลงานที่ไม่ดีนักและประสานงานไม่เข้าขากับโครสจนส่งผลให้โครสจ่ายพลาดและเสียประตู โดยภาพรวมแต่ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีกว่าเคดิร่าตรงที่ลงมายืนหน้าแผงหลังเมื่อโครสดันขึ้นไปทำเกม และขึ้นหน้ายามที่โครสตั้งเกมจากแนวลึก ซึ่งถือว่าแนวทางการเล่นที่ถูกต้องของมิดฟิลด์ Box2Box
3.ได้ค้นพบทีมที่เหมาะสมและลงตัวยิ่งขึ้น ผู้เล่น 11 คนแรกเริ่มเล่นได้ลงตัวมากขึ้นในแต่ละตำแหน่ง โยชัว คิมมิชรักษาตำแหน่งการเล่นได้ดี ไม่พลาดเหมือนนัดที่แล้ว โดยเฉพาะครึ่งหลังการเปลี่ยนมาริโอ โกเมซลงมาแล้วโยกแวร์เนอร์เป็นริมเส้นทำให้ค้นพบศักยภาพที่มีอยู่ในตัวของกองหน้าร่างเล็กอย่างแวร์เนอร์ว่าเล่นริมเส้นได้ดีกว่ากองหน้าตัวเป้า (เหมือนกรณีลูคัส โพดอลสกี้) อีกทั้งตำแหน่งกองหน้าตัวเป้ายังคงต้องพึ่งพากองหน้าที่ยืนค้ำได้ดีอย่างโกเมซ เนื่องจากสไตล์การเล่นของเยอรมนีนั้นไม่ต่างจากหลาย ๆ ทีมในยุโรปที่การเล่นมีรูปแบบแน่นอน และต้องมีกองหน้าที่แข็งแกร่งและพักบอลได้ดีคอยดึงผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามเข้าหาเพื่อเปิดพื้นที่ให้เพื่อนร่วมทีมสอดเข้าทำ โกเมซจึงจำเป็น
4.สปิริตกลับคืนมา เกมนี้นักเตะเยอรมันได้แสดงให้เห็นถึงสปิริตการเล่น หัวใจนักสู้ที่ไม่เคยยอมแพ้ตลอดกว่า 90 นาทีแม้ว่าทีมจะโดนนำอยู่ก็ตาม มีทีมเวิคการประสานงานที่เยี่ยมยอด ยิ่งกว่านั้น การตีเสมอได้เร็วช่วยให้เดินเกมง่ายขึ้น แรงกดดันไม่มากเท่าที่ควร นอกจากนี้ นักเตะทุกคนมีความขยันไล่สกัดบอลคืนจากคู่แข่ง ผิดกับนัดก่อนราวฟ้ากับเหว การเล่นมีพลังในการเดินหน้าเอาชนะคู่แข่ง
5.ความเด็ดขาดแม่นยำในการแ ก้เกม เทรนเนอร์โยอาคิม เลิฟแก้เกมได้เยี่ยมในยามที่ทีมถูกนำ การส่งโกเมซลงแทนดรักซ์เลอร์แล้วโยกแวร์เนอร์เป็นริมเส้นคือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและไม่ดันทุรัง นอกจากนี้การส่งรอยส์และบรันด์ทที่มีไฟอยากพิสูจน์ตัวเองย่อมแสดงถึงการให้โอกาส และส่งผลต่อสปิริตทีมอีกด้วย
ถึงกระนั้นก็ยังมีจุดให้ตำหนิอยู่พอสมควร
1.คู่เซนเตอร์ยังขาดความแน่นอน การขาดหายไปของฮุมเมิลส์ เซนเตอร์สายบุ๋นที่อ่านเกมได้ดี ไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง และคอยดักซ้อนจังหวะสุดท้ายตลอดกลับไม่มีใครทดแทนได้ รือดิเกอร์แสดงให้เห็นว่าเขาจับจังหวะไม่ทันในหลายจังหวะรวมถึงลูกที่ทีมเสียประตู เขาเหมาะเป็นตัวชนมากกว่า ส่วนบัวเต็งนัดนี้การเล่นโดยภาพรวมดีกว่านัดก่อนแต่กลับสกัดโฉ่งฉ่างบางจังหวะจนได้ใบแดงและไมได้ลงเล่นในนัดถัดปี่พบกับเกาหลีใต้ เป็นปัญหาหนักอกของทางเยอรมนีในการแก้ไขปัญหานี้
2.มึลเลอร์ควรเล่นริมเส้นต่อไปหรือไม่ ? ช่วงหลังมานี้ มึลเลอร์ทำผลงานได้ย่ำแย่มาหลายนัดในตำแหน่งริมเส้น รวมถึงในนัดนี้ด้วยแม้ว่าเขาจะผ่านบอลในจังหวะสำคัญได้มากที่สุด แต่กลับไม่เกิดประตูแต่อย่างใด สาเหตุที่เขาเล่นไม่ดีนักก็เนื่องจากความเร็วของเขาตกลงไป อีกทั้งฟุตบอลยุคนี้เริ่มเน้นการปิดพื้นที่ริมเส้นมากขึ้นทำให้เขาเล่นได้อย่างยากลำบาก แต่เขาสามารถเล่นตำแหน่งอื่นได้และอาจทำได้ดีกว่าด้วย ในบาเยิร์น มิวนิค หลายนัดเขาเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกหรือกองหน้าตัวต่ำ ซึ่งทำได้ดีทีเดียว เขามีส่วนร่วมในเกมมากพอควร ให้บอลเร็วและง่าย ผ่านบอลในจังหวะสำคัญได้บ่อย ๆ และสอดขึ้นมายิงแถวสองได้ดี เลิฟน่าจะปรับบทบาทของเขาให้เล่นหุบเข้าในมากขึ้นจะช่วยให้เขากลับคืนสู่ฟอร์มสุดยอดเหมือนเดิม อีกทั้งส่งผลดีต่อทีมชาติ ช่วยให้เกมการเล่นเฉียบคมและไหลลื่นยิ่งขึ้น
3.โครงสร้างทีมขาดความสมดุล หลังจากนัดนี้ เมื่อเห็นทีมที่ควรจะเป็นก็ยังได้เห็นโครงสร้างทีมที่ไม่สมดุลนัก หากในนัดถัดไปแวร์เนอร์ต้องโยกไปยืนริมเส้น แล้วใช้โกเมซยืนหน้าเป้า ปัญหาคือไม่มีใครมาแทนโกเมซได้อีกแล้ว ส่วนในตำแหน่งกองกลางตัวจ่ายบอล แม้ว่าจะมีโกเรทซ์ก้าที่เล่นตำแหน่งของโครสได้ แต่ประสบการณ์และคลาสบอลของเขายังด้อยไปขั้นหนึ่ง ประสิทธิภาพในการจ่ายบอลอาจลดลง ส่วนเซนเตอร์ตัวซ้อนก็มีแค่ฮุมเมิลส์ที่เล่นได้ ไม่มีใครที่จะอ่านเกมได้ขาดเท่าเขา นั่นเท่ากับว่านับตั้งแต่นัดหน้าหากเลิฟต้องจัดทีมแบบครึ่งหลังของนัดนี้ ทั้งโกเมซ โครส และฮุมเมิลส์ “ห้ามแบน ห้ามป่วย ห้ามเจ็บ ห้ามตาย”
4.เกมรุกยังต้องมีมิติที่หลากหลายกว่านี้ สองเกมที่ผ่านมา เยอรมนีเกิดเกมรุกด้วยการออกปีกและโยชนเข้ากลาง ซึ่งถูกจับทางได้แล้ว จึงควรแก้ปัญหาให้การเปิดเกมบุกมีความหลากหลายกว่านี้
5.เทรนเนอร์ควรเลิกดันทุรัง ไม่ว่าจะเป็นการให้โอกาส “ลูกรัก” อย่างดรักซ์เลอร์ หรือการดึงดันใช้มึลเลอร์ในตำแหน่งริมเส้น เลิฟควรปรับเปลี่ยนวิธีการจัดทีมเพื่อให้นักเตะเหล่านี้ได้พัฒนาตัว
นัดหน้าต้องพบกับเกาหลีใต้ ซึ่งแม้ว่าจะแพ้มา 2 นัดแต่ในทางทฤษฎี ยังไม่ตกรอบสนิท เกาหลีใต้ย่อมต้องสู้ยิบตาเพื่อหวังปาฏิหาริย์ อีกทั้งเกาหลีใต้เองเล่นบอลค่อนข้างหนักและมักใช้เทควันโด้หรือยูโดเข้าช่วยในการเบียดแย่งสกัดบอล เยอรมนีควรระวังจุดนี้ให้มาก โดยเฉพาะนักเตะกระดูกเปราะอย่างรอยส์ ควรต้องได้รับการกำกับให้เอาตัวรอดจากสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ นักเตะบางคนที่มีใบเหลืองอยู่แล้ว หากไม่จำเป็นไม่ควรส่งลงสนามเพราะอาจติดโทษแบนในนัดถัดไปได้
เกมหน้าเยอรมนีต้องชนะมากกว่า 2 ลูกขึ้นไปเพื่อการันตีการเข้ารอบ และต้องภาวนาให้สวีเดนชนะเม็กซิโกเพื่อให้ตนหลีกการพบกับบราซิลที่กำลังฟอร์มสดและน่ากลัวกว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ดังนั้น ต้องเน้นทุกวินาทีในการเอาชนะเกาหลีใต้ให้ได้ และอย่าประมาทคิดว่าเกาหลีใต้ไร้พิษสงเป็นอันขาด หวังว่าเยอรมนีคงเข้ารอบสองได้ครับ มาลุ้นกัน
คะแนนความสามารถของนักเตะ: (1 = ดีที่สุด , 6 = แย่ที่สุด)
มานูเอล นอยเออร์ – เซฟลูกอันตรายได้บ่อยครั้ง ลูกที่เสียประตูถือว่าเขาจำเป็นต้องออกมาปิดมุม (2.5)
โยชัว คิมมิช – เล่นดีกว่านัดก่อนมาก มีความขยันวิ่งขึ้นวิ่งลงและรักษาตำแหน่งได้ดีระดับหนึ่งแม้ว่าการเปิดเกมรุกจะยังทื่อ ๆ หน่อยแต่เกมรับไม่บกพร่อง (3)
โยนาส เฮคเตอร์ – นายหัวทางฝั่งซ้ายได้โอกาสเปิดบอลทางซ้ายบ่อย ๆ แต่ความแม่นยำยังไม่มากนัก เกมรับไม่เสียหาย รักษาพื้นที่ได้ดี (3)
อันโตนิโอ รือดิเกอร์ – ความเร็วดีแต่ออกตัวช้าไปหนึ่งก้าวเนื่องจากขาดทักษะในการอ่านเกม ลูกที่เสียให้สวีเดนเป็นเพราะเขาสกัดไม่ขาด ขาดความแน่นอน (4.5)
โทนี่ โครส – คนสำคัญของทีม ผ่านบอลร่วมร้อยกว่าครั้ง มีส่วนร่วมกับเกมแดนกลางมาก เป็นกลจักรสำคัญในการเดินเกม แต่จ่ายพลาดจนทีมเสียประตูก่อนจะทำประตูชัยตัดสินเกมได้ (3)
เซบาสเตียน รูดี้ – ประสานเกมได้ดี ทุ่มเทไล่บอลตลอด เข้าขากับโครส โชคร้ายบาดเจ็บตั้งแต่ต้นเกม (3)
ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ – เล่นไม่ออกเป็นนัดที่สองติดต่อกัน ขาดความมั่นใจจนฟอร์มเป๋ หายไปจากเกมโดยเฉพาะในท้ายครึ่งแรก (4.5)
โธมัส มึลเลอร์ – จ่ายลูกสำคัญได้มากที่สุดแต่กลับไม่เป็นประตู ขาดพลังในการเดินเกมริมเส้น มีโอกาสยิงแต่ทำสกอร์ไม่ได้ ไม่มีอันตรายใด ๆ จากเขา (4.5)
มาร์โค รอยส์ – คล่อง ไว วิ่งส่ายไปมาตลอด มีพิษสงในเกมรุก ตีเสมอให้ทีมกลับสู่หนทางแห่งชัยชนะ แมน ออฟ เดอะ แมทช์ (2)
ติโม แวร์เนอร์ – ครึ่งแรกเล่นไม่ออกในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าแต่ฉายฟอร์มในตำแหน่งริมเส้น มีส่วนกับทั้งสองประตู (2.5)
ตัวสำรอง:
อิลคาย กุนโดกัน – ประสานงานกับโครสไม่ดีนักจนเป็นเหตุให้เสียประตูแรก จ่ายบอลเสียบ่อย เสียบอลง่ายบางจังหวะ แต่เขายังคงขยันทุ่มเทในการเล่น มีเขาก็ยังดีกว่าไม่มี (5)
มาริโอ โกเมซ – ลงมาค้ำในแดนหน้าจนได้ผล ประตูตีเสมอต้องยอมรับว่าเขาเบียดกับกองหลังสวีเดนจนเกิดช่องโหว่ให้รอยส์ยิงได้ เสียดายพลาดเหน่ง ๆ ถึงสองหน (4)
ยูเลี่ยน บรันด์ท – กระตือรือร้นในการเล่น ยิงชนเสา 1 ครั้ง น่าได้รับโอกาสมากกว่านี้ (-)
รีวิวแมทช์เยอรมนี-สวีเดน (2-1): สิ่งที่ขาดหายไปได้กลับคืนมา แต่ยังมีสิ่งที่ต้องแก้ไขต่อไป
นัดนี้บุนเดสเทรนเนอร์โยอาคิม เลิฟได้เปลี่ยนแปลงผู้เล่นจากชุดเดิมถึง 4 คน โดยใส่อันโตนิโอ รือดิเกอร์ลงแทนมัทส์ ฮุมเมิลส์ที่มีอาการบาดเจ็บ โยนาส เฮคเตอร์ เจ้าของพื้นที่ฝั่งซ้ายเดิมหายป่วยจึงได้กลับมาลงสนามและมารวิน พลัทเท่นฮาร์ดท์ต้องหลีกทางให้ เซบาสเตียน รูดี้และมาร์โค รอยส์ลงแทนซามี่ เคดิร่าและเมซุท โอซิลตามลำดับ โดยแผนการเล่นยังคงเป็น 4-2-3-1 เหมือนเดิม ซึ่งตามทีมชีต ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ถูกหุบเข้ามาใน โดยมาร์โค รอยส์ได้เล่นริมเส้นฝั่งซ้าย ส่วนสวีเดนยืนพื้นผู้เล่นจากนัดชนะเกาหลีใต้ 1-0 เปลี่ยนแค่ตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟโดยให้วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟลงสนามเป็นตัวจริง
ครึ่งแรกเป็นเยอรมนีที่ได้โอกาสเปิดเกมเร็วบุกใส่สวีเดนเป็นระลอก ๆ โดยสวีเดนตั้งรับเหนียวแน่นรอโอกาสสวนกลับเป็นระยะๆ ในนาทีที่ 30 เยอรมนีต้องเปลี่ยนผู้เล่นคนแรกโดยเอาอิลคาย กุนโดกันลงเล่นแทนเซบาสเตียน รูดี้เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่จมูก หลังจากนั้นไม่นานนักในนาทีที่ 32 เยอรมนีเสียประตูให้สวีเดนเนื่องจากโทนี่ โครสผ่านบอลพลาดกลางสนามให้มาร์คุสเบิร์กตัดบอลได้ บอลถูกครอสจากวิคเตอร์ เคลสสันทางกราบขวาให้โอล่า ตอยโวเน่นยิงแฉลบเปลี่ยนทางอันโตนิโอ รือดิเกอร์เข้าประตูไป สวีเดนนำ 0-1 จากนั้นเยอรมนีพยายามโหมบุกหนักแต่ยังทำอะไรไม่ได้ จบครึ่งแรกสวีเดนนำ 1-0
ครึ่งหลังเยอรมนีทำการแก้เกม บุนเดสเทรนเนอร์โยอาคิม เลิฟส่งมาริโอ โกเมซ ศูนย์หน้าร่างยักษ์ลงสนามแทนยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ที่เล่นไม่ออก (อีกแล้ว) โดยให้โกเมซเล่นกองหน้าตัวเป้ายืนค้ำกองหลังสวีเดน โยกติโม แวร์เนอร์เป็นกลางรุกริมเส้นฝั่งซ้าย แล้วหุบมาร์โค รอยส์เข้ากลางเป็นตัวฟรี เกมของเยอรมนีมีความวูบวาบขึ้น จนได้ประตูตีเสมออย่างรวมเร็วโดยแวร์เนอร์กรากบอลจากฝั่งซ้ายตบเข้าในกระดอนเท้าโกเมซให้รอยส์ใช้หน้าแข้งตวัดบอลยิงประตูเข้าไป เสมอ 1-1 จากนั้นเยอรมนีเปิดเกมรุกใส่สวีเดนจนมีโอกาสทำประตูอีกหลายครั้งแต่พลาดไปหมด ขณะที่สวีเดนก็ได้จังหวะสวนกลับเป็นระยะๆแต่ติดเซฟของมานูเอล นอยเออร์ผู้รักษาประตู ในนาทีที่ 82 สถานการณ์เยอรมนีย่ำแย่เมื่อทีมเหลือ 10 คนจากการที่เยโรม บัวเต็งได้รับใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงต้องออกจากสนามจากการที่เขาสกัดมาร์คุส เบิร์กจากด้านหลัง อย่างไรก็ตามเยอรมนีมาได้ประตัยจนได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 95 จากการที่เยอรมนีได้ลูกฟรีคิกทางฝั่งซ้าย โทนี่ โครสเขี่ยเปลี่ยนจุดให้รอยส์ก่อนโครสจะปั่นด้วยขวาเสียบสามเหลี่ยมเข้าประตูเข้าไปอย่างงดงาม เยอรมนีนำ 2-1 และจบเกมเยอรมนีชนะไปด้วยสกอร์ดังกล่าว
จากเกมนี้ มีพัฒนาการเชิงบวกอะไรบ้าง ?
1.นักเตะที่ลงเล่นแทนตำแหน่งของผู้เล่นเดิม ๆ ในนัดก่อนไม่ว่าจะเป็นมาร์โค รอยส์ เซบาสเตียน รูดี้ โยนาส เฮคเตอร์ หรือแม้แต่อิลคาย กุนโดกันมีฟอร์มการเล่นที่ดีกว่าซามี่ เคดิร่า เมซุท โอซิลและมาร์วิน พลัทเท่นฮาร์ดท์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะรอยส์แมน ออฟ เดอะ แมทช์ที่เล่นได้วูบวาบในบทบาทตัวฟรี สังเกตได้จากทิศทางการวิ่งไปทั่วทั้งกราบซ้าย กราบขวา หรือด้านในสนามจนไม่ถูกประกบตายโดยแนวรับสวีเดน อีกทั้งยังยิงประตูตีเสมอให้ทีมได้ในช่วงต้นครึ่งหลังจนนำมาซึ่งผลทางจิตวิทยาในการปิดเกมสู้เพื่อเอาชนะในท้ายที่สุด
2.ปัญหาคู่มิดฟิลด์ตัวกลางที่ลอยสูงจนลงมาไล่บอลไม่ทัน ได้รับการแก้ไขในระดับหนึ่ง เซบาสเตียน รูดี้แสดงให้เห็นว่ามีความเหมาะสมในตำแหน่งนี้และเล่นได้เข้าขากับโครส สามารถยืนสลับตำแหน่งได้ดี สามารถกรองบอลในแดนกลางก่อนจะถึงแดนหลังได้ดีพอควร แต่โชคร้ายที่ถูกเปลี่ยนตัวออกเนื่องจากบาดเจ็บที่จมูก ส่วนอิลคาย กุนโดกันที่ลงมาแทนแม้ว่าจะทำผลงานที่ไม่ดีนักและประสานงานไม่เข้าขากับโครสจนส่งผลให้โครสจ่ายพลาดและเสียประตู โดยภาพรวมแต่ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีกว่าเคดิร่าตรงที่ลงมายืนหน้าแผงหลังเมื่อโครสดันขึ้นไปทำเกม และขึ้นหน้ายามที่โครสตั้งเกมจากแนวลึก ซึ่งถือว่าแนวทางการเล่นที่ถูกต้องของมิดฟิลด์ Box2Box
3.ได้ค้นพบทีมที่เหมาะสมและลงตัวยิ่งขึ้น ผู้เล่น 11 คนแรกเริ่มเล่นได้ลงตัวมากขึ้นในแต่ละตำแหน่ง โยชัว คิมมิชรักษาตำแหน่งการเล่นได้ดี ไม่พลาดเหมือนนัดที่แล้ว โดยเฉพาะครึ่งหลังการเปลี่ยนมาริโอ โกเมซลงมาแล้วโยกแวร์เนอร์เป็นริมเส้นทำให้ค้นพบศักยภาพที่มีอยู่ในตัวของกองหน้าร่างเล็กอย่างแวร์เนอร์ว่าเล่นริมเส้นได้ดีกว่ากองหน้าตัวเป้า (เหมือนกรณีลูคัส โพดอลสกี้) อีกทั้งตำแหน่งกองหน้าตัวเป้ายังคงต้องพึ่งพากองหน้าที่ยืนค้ำได้ดีอย่างโกเมซ เนื่องจากสไตล์การเล่นของเยอรมนีนั้นไม่ต่างจากหลาย ๆ ทีมในยุโรปที่การเล่นมีรูปแบบแน่นอน และต้องมีกองหน้าที่แข็งแกร่งและพักบอลได้ดีคอยดึงผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามเข้าหาเพื่อเปิดพื้นที่ให้เพื่อนร่วมทีมสอดเข้าทำ โกเมซจึงจำเป็น
4.สปิริตกลับคืนมา เกมนี้นักเตะเยอรมันได้แสดงให้เห็นถึงสปิริตการเล่น หัวใจนักสู้ที่ไม่เคยยอมแพ้ตลอดกว่า 90 นาทีแม้ว่าทีมจะโดนนำอยู่ก็ตาม มีทีมเวิคการประสานงานที่เยี่ยมยอด ยิ่งกว่านั้น การตีเสมอได้เร็วช่วยให้เดินเกมง่ายขึ้น แรงกดดันไม่มากเท่าที่ควร นอกจากนี้ นักเตะทุกคนมีความขยันไล่สกัดบอลคืนจากคู่แข่ง ผิดกับนัดก่อนราวฟ้ากับเหว การเล่นมีพลังในการเดินหน้าเอาชนะคู่แข่ง
5.ความเด็ดขาดแม่นยำในการแ ก้เกม เทรนเนอร์โยอาคิม เลิฟแก้เกมได้เยี่ยมในยามที่ทีมถูกนำ การส่งโกเมซลงแทนดรักซ์เลอร์แล้วโยกแวร์เนอร์เป็นริมเส้นคือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและไม่ดันทุรัง นอกจากนี้การส่งรอยส์และบรันด์ทที่มีไฟอยากพิสูจน์ตัวเองย่อมแสดงถึงการให้โอกาส และส่งผลต่อสปิริตทีมอีกด้วย
ถึงกระนั้นก็ยังมีจุดให้ตำหนิอยู่พอสมควร
1.คู่เซนเตอร์ยังขาดความแน่นอน การขาดหายไปของฮุมเมิลส์ เซนเตอร์สายบุ๋นที่อ่านเกมได้ดี ไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง และคอยดักซ้อนจังหวะสุดท้ายตลอดกลับไม่มีใครทดแทนได้ รือดิเกอร์แสดงให้เห็นว่าเขาจับจังหวะไม่ทันในหลายจังหวะรวมถึงลูกที่ทีมเสียประตู เขาเหมาะเป็นตัวชนมากกว่า ส่วนบัวเต็งนัดนี้การเล่นโดยภาพรวมดีกว่านัดก่อนแต่กลับสกัดโฉ่งฉ่างบางจังหวะจนได้ใบแดงและไมได้ลงเล่นในนัดถัดปี่พบกับเกาหลีใต้ เป็นปัญหาหนักอกของทางเยอรมนีในการแก้ไขปัญหานี้
2.มึลเลอร์ควรเล่นริมเส้นต่อไปหรือไม่ ? ช่วงหลังมานี้ มึลเลอร์ทำผลงานได้ย่ำแย่มาหลายนัดในตำแหน่งริมเส้น รวมถึงในนัดนี้ด้วยแม้ว่าเขาจะผ่านบอลในจังหวะสำคัญได้มากที่สุด แต่กลับไม่เกิดประตูแต่อย่างใด สาเหตุที่เขาเล่นไม่ดีนักก็เนื่องจากความเร็วของเขาตกลงไป อีกทั้งฟุตบอลยุคนี้เริ่มเน้นการปิดพื้นที่ริมเส้นมากขึ้นทำให้เขาเล่นได้อย่างยากลำบาก แต่เขาสามารถเล่นตำแหน่งอื่นได้และอาจทำได้ดีกว่าด้วย ในบาเยิร์น มิวนิค หลายนัดเขาเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกหรือกองหน้าตัวต่ำ ซึ่งทำได้ดีทีเดียว เขามีส่วนร่วมในเกมมากพอควร ให้บอลเร็วและง่าย ผ่านบอลในจังหวะสำคัญได้บ่อย ๆ และสอดขึ้นมายิงแถวสองได้ดี เลิฟน่าจะปรับบทบาทของเขาให้เล่นหุบเข้าในมากขึ้นจะช่วยให้เขากลับคืนสู่ฟอร์มสุดยอดเหมือนเดิม อีกทั้งส่งผลดีต่อทีมชาติ ช่วยให้เกมการเล่นเฉียบคมและไหลลื่นยิ่งขึ้น
3.โครงสร้างทีมขาดความสมดุล หลังจากนัดนี้ เมื่อเห็นทีมที่ควรจะเป็นก็ยังได้เห็นโครงสร้างทีมที่ไม่สมดุลนัก หากในนัดถัดไปแวร์เนอร์ต้องโยกไปยืนริมเส้น แล้วใช้โกเมซยืนหน้าเป้า ปัญหาคือไม่มีใครมาแทนโกเมซได้อีกแล้ว ส่วนในตำแหน่งกองกลางตัวจ่ายบอล แม้ว่าจะมีโกเรทซ์ก้าที่เล่นตำแหน่งของโครสได้ แต่ประสบการณ์และคลาสบอลของเขายังด้อยไปขั้นหนึ่ง ประสิทธิภาพในการจ่ายบอลอาจลดลง ส่วนเซนเตอร์ตัวซ้อนก็มีแค่ฮุมเมิลส์ที่เล่นได้ ไม่มีใครที่จะอ่านเกมได้ขาดเท่าเขา นั่นเท่ากับว่านับตั้งแต่นัดหน้าหากเลิฟต้องจัดทีมแบบครึ่งหลังของนัดนี้ ทั้งโกเมซ โครส และฮุมเมิลส์ “ห้ามแบน ห้ามป่วย ห้ามเจ็บ ห้ามตาย”
4.เกมรุกยังต้องมีมิติที่หลากหลายกว่านี้ สองเกมที่ผ่านมา เยอรมนีเกิดเกมรุกด้วยการออกปีกและโยชนเข้ากลาง ซึ่งถูกจับทางได้แล้ว จึงควรแก้ปัญหาให้การเปิดเกมบุกมีความหลากหลายกว่านี้
5.เทรนเนอร์ควรเลิกดันทุรัง ไม่ว่าจะเป็นการให้โอกาส “ลูกรัก” อย่างดรักซ์เลอร์ หรือการดึงดันใช้มึลเลอร์ในตำแหน่งริมเส้น เลิฟควรปรับเปลี่ยนวิธีการจัดทีมเพื่อให้นักเตะเหล่านี้ได้พัฒนาตัว
นัดหน้าต้องพบกับเกาหลีใต้ ซึ่งแม้ว่าจะแพ้มา 2 นัดแต่ในทางทฤษฎี ยังไม่ตกรอบสนิท เกาหลีใต้ย่อมต้องสู้ยิบตาเพื่อหวังปาฏิหาริย์ อีกทั้งเกาหลีใต้เองเล่นบอลค่อนข้างหนักและมักใช้เทควันโด้หรือยูโดเข้าช่วยในการเบียดแย่งสกัดบอล เยอรมนีควรระวังจุดนี้ให้มาก โดยเฉพาะนักเตะกระดูกเปราะอย่างรอยส์ ควรต้องได้รับการกำกับให้เอาตัวรอดจากสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ นักเตะบางคนที่มีใบเหลืองอยู่แล้ว หากไม่จำเป็นไม่ควรส่งลงสนามเพราะอาจติดโทษแบนในนัดถัดไปได้
เกมหน้าเยอรมนีต้องชนะมากกว่า 2 ลูกขึ้นไปเพื่อการันตีการเข้ารอบ และต้องภาวนาให้สวีเดนชนะเม็กซิโกเพื่อให้ตนหลีกการพบกับบราซิลที่กำลังฟอร์มสดและน่ากลัวกว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ดังนั้น ต้องเน้นทุกวินาทีในการเอาชนะเกาหลีใต้ให้ได้ และอย่าประมาทคิดว่าเกาหลีใต้ไร้พิษสงเป็นอันขาด หวังว่าเยอรมนีคงเข้ารอบสองได้ครับ มาลุ้นกัน
คะแนนความสามารถของนักเตะ: (1 = ดีที่สุด , 6 = แย่ที่สุด)
มานูเอล นอยเออร์ – เซฟลูกอันตรายได้บ่อยครั้ง ลูกที่เสียประตูถือว่าเขาจำเป็นต้องออกมาปิดมุม (2.5)
โยชัว คิมมิช – เล่นดีกว่านัดก่อนมาก มีความขยันวิ่งขึ้นวิ่งลงและรักษาตำแหน่งได้ดีระดับหนึ่งแม้ว่าการเปิดเกมรุกจะยังทื่อ ๆ หน่อยแต่เกมรับไม่บกพร่อง (3)
โยนาส เฮคเตอร์ – นายหัวทางฝั่งซ้ายได้โอกาสเปิดบอลทางซ้ายบ่อย ๆ แต่ความแม่นยำยังไม่มากนัก เกมรับไม่เสียหาย รักษาพื้นที่ได้ดี (3)
อันโตนิโอ รือดิเกอร์ – ความเร็วดีแต่ออกตัวช้าไปหนึ่งก้าวเนื่องจากขาดทักษะในการอ่านเกม ลูกที่เสียให้สวีเดนเป็นเพราะเขาสกัดไม่ขาด ขาดความแน่นอน (4.5)
โทนี่ โครส – คนสำคัญของทีม ผ่านบอลร่วมร้อยกว่าครั้ง มีส่วนร่วมกับเกมแดนกลางมาก เป็นกลจักรสำคัญในการเดินเกม แต่จ่ายพลาดจนทีมเสียประตูก่อนจะทำประตูชัยตัดสินเกมได้ (3)
เซบาสเตียน รูดี้ – ประสานเกมได้ดี ทุ่มเทไล่บอลตลอด เข้าขากับโครส โชคร้ายบาดเจ็บตั้งแต่ต้นเกม (3)
ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ – เล่นไม่ออกเป็นนัดที่สองติดต่อกัน ขาดความมั่นใจจนฟอร์มเป๋ หายไปจากเกมโดยเฉพาะในท้ายครึ่งแรก (4.5)
โธมัส มึลเลอร์ – จ่ายลูกสำคัญได้มากที่สุดแต่กลับไม่เป็นประตู ขาดพลังในการเดินเกมริมเส้น มีโอกาสยิงแต่ทำสกอร์ไม่ได้ ไม่มีอันตรายใด ๆ จากเขา (4.5)
มาร์โค รอยส์ – คล่อง ไว วิ่งส่ายไปมาตลอด มีพิษสงในเกมรุก ตีเสมอให้ทีมกลับสู่หนทางแห่งชัยชนะ แมน ออฟ เดอะ แมทช์ (2)
ติโม แวร์เนอร์ – ครึ่งแรกเล่นไม่ออกในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าแต่ฉายฟอร์มในตำแหน่งริมเส้น มีส่วนกับทั้งสองประตู (2.5)
ตัวสำรอง:
อิลคาย กุนโดกัน – ประสานงานกับโครสไม่ดีนักจนเป็นเหตุให้เสียประตูแรก จ่ายบอลเสียบ่อย เสียบอลง่ายบางจังหวะ แต่เขายังคงขยันทุ่มเทในการเล่น มีเขาก็ยังดีกว่าไม่มี (5)
มาริโอ โกเมซ – ลงมาค้ำในแดนหน้าจนได้ผล ประตูตีเสมอต้องยอมรับว่าเขาเบียดกับกองหลังสวีเดนจนเกิดช่องโหว่ให้รอยส์ยิงได้ เสียดายพลาดเหน่ง ๆ ถึงสองหน (4)
ยูเลี่ยน บรันด์ท – กระตือรือร้นในการเล่น ยิงชนเสา 1 ครั้ง น่าได้รับโอกาสมากกว่านี้ (-)