กระทู้อื่นๆของเรา
[CR] เมื่อ Maldives ไม่ใช่แค่ฝันอีกต่อไปที่ Finolhu Baa Atoll
https://ppantip.com/topic/37293004
[CR]ตามล่าแสงเหนือ ไม่เจอเราไม่กลับที่ Iceland & Scandinavia
https://ppantip.com/topic/37315559
[CR]ดูบอล นอนชิว ฟิวกู๊ดที่อังกฤษ เวลล์ 16 วัน 15 คืน ไปให้สุดแล้วหยุดที่สก๊อตแลนด์
https://ppantip.com/topic/37337883
[CR] Road Trip เมื่อฉันถูกเซอร์ไพร์ด้วยแสงใต้ ในแดนกีวี่ นิวซีแลนด์
https://ppantip.com/topic/37600989
สวัสดีค่ะ วันนี้เมิร์ฟจะมารีวิวทริปโบรโม่ คาวาอิเจ้น ที่ได้ชื่อว่าเป็นลมหายใจแห่งพระเจ้ากัน ทริปนี้เมิร์ฟไปมาช่วงวันพ่อปีที่แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสว่างในการทำรีวิวทริปนี้เลย ตอนนี้ถึงเวลาต้องทำรีวิวแล้วไม่งั้นจะดองนานเกินไป
ทริปนี้ป็นทริปสั้นๆประมาณ 4 วัน 3 คืน หลังจากอ่านกระทู้และข้อมูลมามากมาย เราก็อยากจะไปสัมผัสลมหายใจแห่งพระเจ้าบ้าง เราคิดอยู่นานว่าจะไปเอง จองเองทุกอย่างหรือจะทำยังไงดี แต่จากข้อมูลที่ผ่านๆมา เราคิดว่าการให้ทัวร์ฝั่งอินโดนีเซียจัดการให้หมดเลยก็ง่ายดี เค้าจะดำเนินการทุกๆอย่างให้ไม่ว่าจะเป็นที่พัก พาหนะในการเดินทาง พาไปตามสถานที่ต่างๆที่เราต้องการ
ช่วงเวลาเดินทาง
เริ่มต้นด้วยการเลือกช่วงเวลาที่จะเดินทางกันก่อน โดยปกติทริปโบรโม่ ช่วงที่ดีที่สุดจะประมาณเดือน พฤษภาคม ถึงเดือนกันยายน ถ้าเลยกันยายนไปแล้วจะเข้าหน้าฝนของที่นั่น แต่!!! แก้งค์เราไม่สามารถไปช่วงนั่นได้ ว่างกันอีกทีคือช่วงวันพ่อ หลังจากที่คุยไปมาหลายรอบ ปิ้งป่อง!! สรุปทริปนี้เราจะเดินทางกันช่วงวันพ่อ 2 -5 Dec'17 ตามที่พวกเราสะดวกและสามารถไปได้ค่อยไปลุ้นเอาแล้วกันว่าฝนจะตกหรือป่าว
การเตรียมตัว
เมื่อได้ช่วงเวลาที่เราจะไปแล้ว เรารีบติดต่อเอเจ้นท์ต่างๆเพื่อขอราคา โดยการส่งจำนวนคน สถานที่ที่เราอยากไป จำนวนวัน ที่พักที่เราต้องการคร่าวๆไปให้เค้า และหลังจากลองติดต่อไป 3-4 เอเจ้นท์ บางเจ้าก้อไม่ตอบ บางเจ้าก็ตอบช้ามาก บางเจ้าก็ดูแพงเว่อร์เกินไป สรุปเราเลยกลับมาใช้บริการของ Mr. Andrew ดีกว่า มั่นใจได้มากกว่าเพราะเอเจ้นท์เจ้านี้คนไทยใช้บริการเยอะ บวกกับน้องที่รู้จักเค้าเคยใช้บริการกับเอเจ้นท์เจ้านี้มาแล้ว
Agency ที่ชื่อ Mr. Andrew Andreas สามารถติดต่อได้ตามนี้นะคะ and234567@yahoo.co.id หรือLine id : andrewadventure / Tel no. : +6282230024229
หลังจากที่เราบอกสิ่งที่ต้องการเรียบร้อย ไม่นานมาก Andrew ก็ตีราคามาให้เราตามนี้ค่ะ ราคาทัวร์อาจไม่เท่ากันแล้วแต่จำนวนวัน จำนวนคน โรงแรมที่เลือกใช้ กิจกรรมที่ต้องการทำนะคะ
เราไปทั้งหมด 6 คน ราคาคนละ 2,000,000IDR ประมาณ 4,xxx บาท ราคานี้รวม
1) รถ คนขับ ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน ค่าจอดรถ ค่าอาหารและที่พักของคนขับ
2) รถจี๊บที่ โบรโม่ (ส่วนตัวเฉพาะแก้งค์เรา)
3) ค่าขี่ม้าไปกลับที่โบรโม่
4) ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ
5) ค่าไกด์ท้องถิ่น
6) ค่าโรงแรม 3 คืน + อาหารเช้าที่โรงแรม
7) ค่าทัวร์
8) ค่าหน้ากากที่ Kawa Ijen
สิ่งที่ไม่รวมคือ
- อาหารกลางวันกับเย็น
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว
หลังจากดิวกับ Andrew เสร็จเราก็จองตั๋วไปกลับลงสุราบายา ขาไปเราถึงสุราบายา 09.00 ขากลับออกจากสุราบายาตอน 15.10 ค่ะ ระหว่างนั้นก้อนับวันรอได้เลย
แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ก่อนไปไม่ถึง ครึ่งเดือน ภูเขาไฟที่บาหลีปะทุ พ่นเถ้าถ่านออกมา ทำให้สนามบินบาหลีต้องหยุดบินแถมไม่มีทีท่าว่าเหตุการณ์จะดีขึ้น แก้งค์เราก็ลุ้นและอัพเดทสถานการณ์กันทุกๆวันไม่ว่าจะเป็นทางสื่อต่างๆ และก็มีการอัพเดทเหตุการณกับ Andrew ทุกๆวัน แก้งค์เราก้อแบบจะไปดีไม่ไปดี บอกเลยตอนนั้นกลัวก็กลัว แต่อยากไปก้ออยากไป คิดไม่ตก แต่หลังจากที่พวกเราภาวนาละขอให้สถานการณ์ดีขึ้น ผลสุดท้ายทริปเราก็ไม่ล่มจ้า
วันที่ 1 : Surabaya – Kawa Ijen
พอวันเดินทางก็มาถึง เราจะขอเริ่ทริปนี้ที่สุราบายา airport เลยนะคะ พอเราลงเครื่องเสร็จเรียบร้อย ก่อนหน้านี้ 2-3 วัน เรามีการคอนเฟิมกับ Andrew แล้วว่าเราจะลงเครื่องตอน 09.00 เค้าก็บอกว่าจะมาถือป้ายรอรับพวกเรา พอผ่านตม.ออกมาเรียบร้อย เราก็เจอผู้ชายคนนึงยืนถือป้ายชื่อเราอยู่ หลังจากแนะนำกันอยู่แป๊บนึง เค้าก้อบอกให้รอตรงนี้เด๋วเค้าไปเอารถมารับ แล้วเค้าก็วิ่งหายไป ผ่านไปแป๊บเดียวก็มีรถตู้คันสีเขียวมาจอดหน้าพวกเรา พวกเราก็ยังขำกันอยู่ว่า สีรถดูเด่นเป็นสง่า ไม่มีทางหลงคันแน่ๆ หลังจากเก็บของขึ้นรถกันเสร็จ เราก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ ลืมบอกไปคนที่มารับเราไม่ใช่ Andrew นะคะ เนื่องจากช่วงนี้เป็นวันหยุดยาวของไทย กลุ่มคนไทยที่มาเที่ยวหลายกลุ่มทำให้ Andrew ไม่สามารถมาดูแลแก้งค์เราได้ เลยส่ง “อีโป้ง” มาแทน ใช่ค่ะผู้ชายคนนี้ชื่อ อีโป้ง เค้าเป็นคนอัธยาศัยน่ารัก พูดอังกฤษพอได้แต่ไม่คล่องเท่า Andrew
พอรถเริ่มออกจากเขตสนามบิน ท้องพวกเราก็เริ่มร้อง เลยบอกอีโป้งว่า หิวข้าว พาไปกินอะไรหน่อย ขับไปสักพัก นางก็พาไปกิน sato ayum เราก็ลองกิน มันคล้ายๆก๋วยเตี๋ยวใส่ไก่ ร้านที่นางพาไป local มากๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวกินเลย มีแต่ชาวบ้าน พอพวกเราลงไป ไอ้เราก็ตื่นเต้นดี๊ด้า ฝั่งร้านค้าก็ดี้ด๊าไม่แพ้เรา ทำไปยิ้มไปดูพวกเราตื่นเต้นแบบขำๆ แถมตอนจะกลับมีมาขอถ่ายรูปพวกเราไว้ด้วย
อันนี้เป็น Soto Ayum นะคะ
หลังจากกินเสร็จ อีโป้งก็ขับรถพาไปจุดหมายแรกตามแพลนที่เราได้ดิวเอาไว้ นั่นคือเราจะมุ่งหน้าไปเที่ยวที่ Kawa Ijen กันก่อน เราเลือกไปเที่ยวที่ที่อยู่ไกลก่อน แล้วค่อยวนกลับมาเที่ยวโบรโม่ซึ่งอยู่ใกล้กว่าในวันถัดๆไป ถนนหนทางที่นั่นในเมืองมีฝั่งละ 2 เลน ถ้านอกเมืองเหลือฝั่งละ 1 เลน บวกมีไหล่ทางเล็กน้อย ถนนไม่ค่อยดีมากทำให้ไม่สามารถทำความเร็วได้เลย แถมวันนั้นเป็นวันที่รถติดมากๆ อีโป้งขับไปเรื่อยๆเราก็หลับบ้าง เล่นมือถือบ้าง ดูข้างทางบ้าง วันนี้เลยอยู่บนรถซะเป็นส่วนใหญ่ และแล้ว1ทุ่มเราก็มาถึงที่พักซะที คืนนี้เรานอนไม่ไกลจาก Kawa ijen มาก แต่ก็ไม่ถึงกับใกล้ พออีโป้งมาส่งเสร็จ นางก็นัดเวลาพรุ่งนี้กับเรา อีโป้งบอกจะมารับอีกทีตอน ตี 1 ห๊า!!!พวกเราทวนพร้อมกัน ตี 1? อีโป้งบอกใช่เลย เพราะต้องขับไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อถึงทางขึ้น Kawa Ijen แล้วต้องมีเวลาเผื่อเดินขึ้น Ijen เพื่อไปให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นอีก พวกเราเลยมองหน้ากันแบบโอเค ทริปนี้เรารู้ว่ามันต้องลุยอยู่แล้ว เราเลยบอกโอเคจัดไป
หลังจากนั้นอีโป้งก้อแยกย้ายไป พวกเราก็รีบไปหาของกินกัน เดินไปเรื่อยๆเจอร้านข้างทาง เราก็เข้าไปสั่งมั่วๆ จำได้แค่ Sato ayum จากมื้อกลางวัน แต่ร้านนี้ไม่มี เลยสั่งโดนการชี้ไปที่โต๊ะข้างๆ (คือเลียนแบบเค้านั่นแหละ) ตอนสั่งน้ำ ก็สั่ง Cola แต่เค้าเข้าใจเป็นอะไรไม่รู้ได้เป็น Cola ใส่นม กินแล้วขนลุกมั่กๆ สรุปผลประกอบการคือไม่ผ่านไม่รอด กินไปขำไป
กินเสร็จรีบกินรีบนอนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้เช้าเราต้องใช้กำลังและมีนัดกับ Kawa Ijen ไฮไลท์ของทริปนี้ ลืมถ่ายที่พักมาขอโทษด้วยนะคะ
วันที่ 2 : Kawa Ijen / Ijen tour for Blue fire/ Ijen Creator / Ijen Sunrise / Blawan Waterfall / Bromo
ลืมเล่าไปว่าเมื่อวานตอนขับมาได้เกินครึ่งทางก็รู้สึกเหมือนรถเร่งเครื่องไม่ขึ้น แถมแอร์เริ่มไม่เย็น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อทั้งทริปคงไม่ไหว เลย Line ไปหา Andrew ว่าช่วยเปลี่ยนรถให้หน่อย ร้อนเหงื่อแตกไม่ไหวแล้ว ไม่เอาคันนี้ยังไงก็ต้องเปลี่ยนให้เรา แต่พวกเรากลัวว่าอีโป้งจะอดได้งานและด้วยนางนิสัยน่ารัก เลยบอก Andrew ว่าเปลี่ยนแต่รถนะ แต่ให้อีโป้งขับเหมือนเดิม วันรุ่งขึ้น Andrew ก้อส่งรถตู้คันใหม่มาให้เรา
เช้านี้เรารีบตื่นกัน เพื่อให้ทันที่นัดกับอีโป้งไว้ ตี 1 เราก็ลงมาเจอกันที่ล๊อบบี้ วันนี้เราได้รถตู้คันใหม่ตามที่ Andrew สัญญาไว้เมื่อวาน ขึ้นรถมาแอร์เย็นเจี๊ยบ นั่งไปได้สักพักก็เริ่มงีบหลับบ้าง นั่งนิ่งๆบ้าง ก็นี่มันตี 1 กว่า มันเป็นเวลานอนของช้านนนนนี่นา หลับไปสักพักพวกเราทั้งคันก้อตื่นจากความสลบสไหล เพราะรถเลี้ยวไปเลี้ยวมาตามโค้งอย่างกับขึ้นปางอุ๋ง ในขณะที่ข้างนอกมองอะไรไม่เห็นเลย มืดมาก พวกเรานั่งแบบลุ้นระทึก แต่อีโป้งขับแบบเฉยๆไม่มีอาการใดๆ นางบอกนางขับจนชิน
ผ่านไปไม่นานเราก็มาถึงจุดที่เป็นจุดจอดรถ อีโป้งก็จอดรถและพาไกด์ท้องถิ่นมาแนะนำ และบอกว่ายูว์ต้องเดินขึ้นไปกับน้องคนนี้นะ เค้าจะพายูว์ขึ้นไปและกลับลงมา ส่วนอีโป้งจะรอตรงนี้ พวกเราก็พยักหน้ารับทราบ และไปเข้าห้องน้ำ จัดแจงเสื้อผ้าอุปกรณ์ให้พร้อม ข้างบนไม่มีห้องน้ำนะคะ ไกด์ท้องถิ่นเค้าก็แจกหน้ากากมาให้ทุกคน แต่เราแนะนำให้พกหน้ากากอนามัยไปเองด้วย
หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มเดินกันตอนตี 2.30 อากาศก็เย็น เราใส่เสื้อขนเป็ดแบบบางๆไปก้อโอเคค่ะ เดินไปเรื่อยๆ ไกด์ก็จะคอยดูเราเป็นระยะๆ ทางเดินบางช่วงค่อนข้างชันมาก ชันแบบ 45 องศาเลยก็มี คือเดินแล้วเหนื่อยมาก เดินไปหยุดพักไป (เราเป็นคนไม่ค่อยออกกำลังกาย เลยเหนื่อยกว่าคนอื่น) ระหว่างทางเดินเพื่อนร่วมทางเพียบเลยค่ะ มีทั้งฝรั่ง เอเซีย คนบ้านเค้าเอง ไม่มีเหงาแน่นอน อ่านมาถึงตรงนี้มีคำถามใช่มั้ยคะว่า แล้วชั้นจะเดินไหวไม๊เนี่ย ไม่ต้องห่วงค่ะที่นั่นมีลูกหาบคือ จะเป็นเหมือนขนเข็น เก็บขยะ ไว้ให้บริการอยู่เป็นจุดๆ ราคาก็แล้วแต่เจ้า เค้าจะคิดตามระยะทางที่เราขึ้น เช่น ถ้าขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นก็ราคานึง ถ้าไปขึ้นกลางทางก็ราคานึง เดินๆไปก็จะมีรถเข็นๆผ่านไป เราเดินไปเกือบครึ่งทางแล้วเรารู้สึกไม่ไหว เหนื่อยมาก เรากลัวว่าจะเดี้ยงแล้ววันที่เหลือจะไม่สนุก เรานี่แหละคนนึงที่ใช้บริการรถเข็น 555 ตอนนั้นเราขึ้น เค้าคิดเราขาเดียว 400,000 IDR ประมาณ 1,000 บาท พอเราขึ้นรถ แก้งค์เราที่แบกกล้อง เป้ กระเป๋าสะพายใส่รถเรามาหมดเลย ก้อมันหนักนี่เนอะ รูปข้างล่างไม่ใช่เรานะคะให้ดูรถเข็น55
พอขึ้นรถได้เค้าก็เข็นเราไปเรื่อยๆ ยอมรับเลยว่าเค้าเก่งกันมากๆ แค่เราเดินอย่างเดียวก็ไม่ไหวแล้ว นี่ต้องเข็นเราขึ้นอีก สุดยอดจริงๆ ยิ่งเดินขึ้นไปเรื่อยๆยิ่งเย็น แถมกลิ่นกำมะถันก็จะแรงขึ้นเรื่อยๆ ต้องใส่หน้ากาก เนื่องจากเรานั่งรถเข็นขึ้นไปเราเลยไปถึงจุดข้างบนเร็วกว่าคนอื่น เราก้อไปนั่งรอบนนั้น กลัวก้อกลัว เพราะมันยังมืด มองอะไรแทบไม่เห็น หมอก ควันเต็มไปหมด แถมนั่งรถมาคนเดียวอีก คนก้อเยอะพอสมควร กลัวหาแก้งค์ไม่เจอ ผ่านไป 15 นาที แก้งค์เราก็เดินขึ้นมาถึง ทุกคนบอกเหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ย้ำนะคะเมิร์ฟว่าทุกคนขึ้นได้ ถ้าเดินไม่ไหว ขึ้นรถเข็นจัดไปค่ะ ^_^
แต่เด๋วก่อน จุดที่รถเข็นมาจอดไม่ใช่จุดหมายปลายทางนะคะ ตรงนั้นถ้าหมอกควันไม่เยอะ เราสามารถเห็น Blue Fire แต่จะไกลมาก เราต้องเดินไต่ก้อนหินลงไปดู Blue fire ด้านล่างค่ะ
พักเหนื่อยกันแป๊บนึง เราก็เริ่มเดินกันต่อไปเพื่อปีนลงไปด้านล่าง เพื่อลงไปให้เห็น Blue Fire กับตาตัวเอง จากที่หาข้อมูลมาเค้าบอกว่าสามารถเห็น Blue Fire ได้แค่ 2 ที่ในโลกนี้คือ ที่ Kawa Ijen และอีกที่คือ Iceland ซึ่งรอบที่เราไป Iceland เราไม่รู้ว่ามี เลยอดดูเลย กว่าจะปีนลงมาถึงด้านล่างเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะคะ (เมิร์ฟว่าดีกว่าขาขึ้นเมื่อกี้) แต่ข้างล่างนี่ลืมตาแทบไม่ขึ้น ควันและกลิ่นกำมะถันตลบอบอวนไปหมด ถึงขั้นสำลักเลย น้ำตา ขี้มูกไหลออกมาไม่หยุด
[CR] ไม่ไปไม่รู้ ลมหายใจแห่งพระเจ้า Bromo Kawa Ijen 4 วัน 3 คืน
[CR] เมื่อ Maldives ไม่ใช่แค่ฝันอีกต่อไปที่ Finolhu Baa Atoll https://ppantip.com/topic/37293004
[CR]ตามล่าแสงเหนือ ไม่เจอเราไม่กลับที่ Iceland & Scandinavia https://ppantip.com/topic/37315559
[CR]ดูบอล นอนชิว ฟิวกู๊ดที่อังกฤษ เวลล์ 16 วัน 15 คืน ไปให้สุดแล้วหยุดที่สก๊อตแลนด์ https://ppantip.com/topic/37337883
[CR] Road Trip เมื่อฉันถูกเซอร์ไพร์ด้วยแสงใต้ ในแดนกีวี่ นิวซีแลนด์ https://ppantip.com/topic/37600989
สวัสดีค่ะ วันนี้เมิร์ฟจะมารีวิวทริปโบรโม่ คาวาอิเจ้น ที่ได้ชื่อว่าเป็นลมหายใจแห่งพระเจ้ากัน ทริปนี้เมิร์ฟไปมาช่วงวันพ่อปีที่แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสว่างในการทำรีวิวทริปนี้เลย ตอนนี้ถึงเวลาต้องทำรีวิวแล้วไม่งั้นจะดองนานเกินไป
ทริปนี้ป็นทริปสั้นๆประมาณ 4 วัน 3 คืน หลังจากอ่านกระทู้และข้อมูลมามากมาย เราก็อยากจะไปสัมผัสลมหายใจแห่งพระเจ้าบ้าง เราคิดอยู่นานว่าจะไปเอง จองเองทุกอย่างหรือจะทำยังไงดี แต่จากข้อมูลที่ผ่านๆมา เราคิดว่าการให้ทัวร์ฝั่งอินโดนีเซียจัดการให้หมดเลยก็ง่ายดี เค้าจะดำเนินการทุกๆอย่างให้ไม่ว่าจะเป็นที่พัก พาหนะในการเดินทาง พาไปตามสถานที่ต่างๆที่เราต้องการ
ช่วงเวลาเดินทาง
เริ่มต้นด้วยการเลือกช่วงเวลาที่จะเดินทางกันก่อน โดยปกติทริปโบรโม่ ช่วงที่ดีที่สุดจะประมาณเดือน พฤษภาคม ถึงเดือนกันยายน ถ้าเลยกันยายนไปแล้วจะเข้าหน้าฝนของที่นั่น แต่!!! แก้งค์เราไม่สามารถไปช่วงนั่นได้ ว่างกันอีกทีคือช่วงวันพ่อ หลังจากที่คุยไปมาหลายรอบ ปิ้งป่อง!! สรุปทริปนี้เราจะเดินทางกันช่วงวันพ่อ 2 -5 Dec'17 ตามที่พวกเราสะดวกและสามารถไปได้ค่อยไปลุ้นเอาแล้วกันว่าฝนจะตกหรือป่าว
การเตรียมตัว
เมื่อได้ช่วงเวลาที่เราจะไปแล้ว เรารีบติดต่อเอเจ้นท์ต่างๆเพื่อขอราคา โดยการส่งจำนวนคน สถานที่ที่เราอยากไป จำนวนวัน ที่พักที่เราต้องการคร่าวๆไปให้เค้า และหลังจากลองติดต่อไป 3-4 เอเจ้นท์ บางเจ้าก้อไม่ตอบ บางเจ้าก็ตอบช้ามาก บางเจ้าก็ดูแพงเว่อร์เกินไป สรุปเราเลยกลับมาใช้บริการของ Mr. Andrew ดีกว่า มั่นใจได้มากกว่าเพราะเอเจ้นท์เจ้านี้คนไทยใช้บริการเยอะ บวกกับน้องที่รู้จักเค้าเคยใช้บริการกับเอเจ้นท์เจ้านี้มาแล้ว
Agency ที่ชื่อ Mr. Andrew Andreas สามารถติดต่อได้ตามนี้นะคะ and234567@yahoo.co.id หรือLine id : andrewadventure / Tel no. : +6282230024229
หลังจากที่เราบอกสิ่งที่ต้องการเรียบร้อย ไม่นานมาก Andrew ก็ตีราคามาให้เราตามนี้ค่ะ ราคาทัวร์อาจไม่เท่ากันแล้วแต่จำนวนวัน จำนวนคน โรงแรมที่เลือกใช้ กิจกรรมที่ต้องการทำนะคะ
เราไปทั้งหมด 6 คน ราคาคนละ 2,000,000IDR ประมาณ 4,xxx บาท ราคานี้รวม
1) รถ คนขับ ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน ค่าจอดรถ ค่าอาหารและที่พักของคนขับ
2) รถจี๊บที่ โบรโม่ (ส่วนตัวเฉพาะแก้งค์เรา)
3) ค่าขี่ม้าไปกลับที่โบรโม่
4) ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ
5) ค่าไกด์ท้องถิ่น
6) ค่าโรงแรม 3 คืน + อาหารเช้าที่โรงแรม
7) ค่าทัวร์
8) ค่าหน้ากากที่ Kawa Ijen
สิ่งที่ไม่รวมคือ
- อาหารกลางวันกับเย็น
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว
หลังจากดิวกับ Andrew เสร็จเราก็จองตั๋วไปกลับลงสุราบายา ขาไปเราถึงสุราบายา 09.00 ขากลับออกจากสุราบายาตอน 15.10 ค่ะ ระหว่างนั้นก้อนับวันรอได้เลย
แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ก่อนไปไม่ถึง ครึ่งเดือน ภูเขาไฟที่บาหลีปะทุ พ่นเถ้าถ่านออกมา ทำให้สนามบินบาหลีต้องหยุดบินแถมไม่มีทีท่าว่าเหตุการณ์จะดีขึ้น แก้งค์เราก็ลุ้นและอัพเดทสถานการณ์กันทุกๆวันไม่ว่าจะเป็นทางสื่อต่างๆ และก็มีการอัพเดทเหตุการณกับ Andrew ทุกๆวัน แก้งค์เราก้อแบบจะไปดีไม่ไปดี บอกเลยตอนนั้นกลัวก็กลัว แต่อยากไปก้ออยากไป คิดไม่ตก แต่หลังจากที่พวกเราภาวนาละขอให้สถานการณ์ดีขึ้น ผลสุดท้ายทริปเราก็ไม่ล่มจ้า
วันที่ 1 : Surabaya – Kawa Ijen
พอวันเดินทางก็มาถึง เราจะขอเริ่ทริปนี้ที่สุราบายา airport เลยนะคะ พอเราลงเครื่องเสร็จเรียบร้อย ก่อนหน้านี้ 2-3 วัน เรามีการคอนเฟิมกับ Andrew แล้วว่าเราจะลงเครื่องตอน 09.00 เค้าก็บอกว่าจะมาถือป้ายรอรับพวกเรา พอผ่านตม.ออกมาเรียบร้อย เราก็เจอผู้ชายคนนึงยืนถือป้ายชื่อเราอยู่ หลังจากแนะนำกันอยู่แป๊บนึง เค้าก้อบอกให้รอตรงนี้เด๋วเค้าไปเอารถมารับ แล้วเค้าก็วิ่งหายไป ผ่านไปแป๊บเดียวก็มีรถตู้คันสีเขียวมาจอดหน้าพวกเรา พวกเราก็ยังขำกันอยู่ว่า สีรถดูเด่นเป็นสง่า ไม่มีทางหลงคันแน่ๆ หลังจากเก็บของขึ้นรถกันเสร็จ เราก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ ลืมบอกไปคนที่มารับเราไม่ใช่ Andrew นะคะ เนื่องจากช่วงนี้เป็นวันหยุดยาวของไทย กลุ่มคนไทยที่มาเที่ยวหลายกลุ่มทำให้ Andrew ไม่สามารถมาดูแลแก้งค์เราได้ เลยส่ง “อีโป้ง” มาแทน ใช่ค่ะผู้ชายคนนี้ชื่อ อีโป้ง เค้าเป็นคนอัธยาศัยน่ารัก พูดอังกฤษพอได้แต่ไม่คล่องเท่า Andrew
พอรถเริ่มออกจากเขตสนามบิน ท้องพวกเราก็เริ่มร้อง เลยบอกอีโป้งว่า หิวข้าว พาไปกินอะไรหน่อย ขับไปสักพัก นางก็พาไปกิน sato ayum เราก็ลองกิน มันคล้ายๆก๋วยเตี๋ยวใส่ไก่ ร้านที่นางพาไป local มากๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวกินเลย มีแต่ชาวบ้าน พอพวกเราลงไป ไอ้เราก็ตื่นเต้นดี๊ด้า ฝั่งร้านค้าก็ดี้ด๊าไม่แพ้เรา ทำไปยิ้มไปดูพวกเราตื่นเต้นแบบขำๆ แถมตอนจะกลับมีมาขอถ่ายรูปพวกเราไว้ด้วย
อันนี้เป็น Soto Ayum นะคะ
หลังจากกินเสร็จ อีโป้งก็ขับรถพาไปจุดหมายแรกตามแพลนที่เราได้ดิวเอาไว้ นั่นคือเราจะมุ่งหน้าไปเที่ยวที่ Kawa Ijen กันก่อน เราเลือกไปเที่ยวที่ที่อยู่ไกลก่อน แล้วค่อยวนกลับมาเที่ยวโบรโม่ซึ่งอยู่ใกล้กว่าในวันถัดๆไป ถนนหนทางที่นั่นในเมืองมีฝั่งละ 2 เลน ถ้านอกเมืองเหลือฝั่งละ 1 เลน บวกมีไหล่ทางเล็กน้อย ถนนไม่ค่อยดีมากทำให้ไม่สามารถทำความเร็วได้เลย แถมวันนั้นเป็นวันที่รถติดมากๆ อีโป้งขับไปเรื่อยๆเราก็หลับบ้าง เล่นมือถือบ้าง ดูข้างทางบ้าง วันนี้เลยอยู่บนรถซะเป็นส่วนใหญ่ และแล้ว1ทุ่มเราก็มาถึงที่พักซะที คืนนี้เรานอนไม่ไกลจาก Kawa ijen มาก แต่ก็ไม่ถึงกับใกล้ พออีโป้งมาส่งเสร็จ นางก็นัดเวลาพรุ่งนี้กับเรา อีโป้งบอกจะมารับอีกทีตอน ตี 1 ห๊า!!!พวกเราทวนพร้อมกัน ตี 1? อีโป้งบอกใช่เลย เพราะต้องขับไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อถึงทางขึ้น Kawa Ijen แล้วต้องมีเวลาเผื่อเดินขึ้น Ijen เพื่อไปให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นอีก พวกเราเลยมองหน้ากันแบบโอเค ทริปนี้เรารู้ว่ามันต้องลุยอยู่แล้ว เราเลยบอกโอเคจัดไป
หลังจากนั้นอีโป้งก้อแยกย้ายไป พวกเราก็รีบไปหาของกินกัน เดินไปเรื่อยๆเจอร้านข้างทาง เราก็เข้าไปสั่งมั่วๆ จำได้แค่ Sato ayum จากมื้อกลางวัน แต่ร้านนี้ไม่มี เลยสั่งโดนการชี้ไปที่โต๊ะข้างๆ (คือเลียนแบบเค้านั่นแหละ) ตอนสั่งน้ำ ก็สั่ง Cola แต่เค้าเข้าใจเป็นอะไรไม่รู้ได้เป็น Cola ใส่นม กินแล้วขนลุกมั่กๆ สรุปผลประกอบการคือไม่ผ่านไม่รอด กินไปขำไป
กินเสร็จรีบกินรีบนอนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้เช้าเราต้องใช้กำลังและมีนัดกับ Kawa Ijen ไฮไลท์ของทริปนี้ ลืมถ่ายที่พักมาขอโทษด้วยนะคะ
วันที่ 2 : Kawa Ijen / Ijen tour for Blue fire/ Ijen Creator / Ijen Sunrise / Blawan Waterfall / Bromo
ลืมเล่าไปว่าเมื่อวานตอนขับมาได้เกินครึ่งทางก็รู้สึกเหมือนรถเร่งเครื่องไม่ขึ้น แถมแอร์เริ่มไม่เย็น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อทั้งทริปคงไม่ไหว เลย Line ไปหา Andrew ว่าช่วยเปลี่ยนรถให้หน่อย ร้อนเหงื่อแตกไม่ไหวแล้ว ไม่เอาคันนี้ยังไงก็ต้องเปลี่ยนให้เรา แต่พวกเรากลัวว่าอีโป้งจะอดได้งานและด้วยนางนิสัยน่ารัก เลยบอก Andrew ว่าเปลี่ยนแต่รถนะ แต่ให้อีโป้งขับเหมือนเดิม วันรุ่งขึ้น Andrew ก้อส่งรถตู้คันใหม่มาให้เรา
เช้านี้เรารีบตื่นกัน เพื่อให้ทันที่นัดกับอีโป้งไว้ ตี 1 เราก็ลงมาเจอกันที่ล๊อบบี้ วันนี้เราได้รถตู้คันใหม่ตามที่ Andrew สัญญาไว้เมื่อวาน ขึ้นรถมาแอร์เย็นเจี๊ยบ นั่งไปได้สักพักก็เริ่มงีบหลับบ้าง นั่งนิ่งๆบ้าง ก็นี่มันตี 1 กว่า มันเป็นเวลานอนของช้านนนนนี่นา หลับไปสักพักพวกเราทั้งคันก้อตื่นจากความสลบสไหล เพราะรถเลี้ยวไปเลี้ยวมาตามโค้งอย่างกับขึ้นปางอุ๋ง ในขณะที่ข้างนอกมองอะไรไม่เห็นเลย มืดมาก พวกเรานั่งแบบลุ้นระทึก แต่อีโป้งขับแบบเฉยๆไม่มีอาการใดๆ นางบอกนางขับจนชิน
ผ่านไปไม่นานเราก็มาถึงจุดที่เป็นจุดจอดรถ อีโป้งก็จอดรถและพาไกด์ท้องถิ่นมาแนะนำ และบอกว่ายูว์ต้องเดินขึ้นไปกับน้องคนนี้นะ เค้าจะพายูว์ขึ้นไปและกลับลงมา ส่วนอีโป้งจะรอตรงนี้ พวกเราก็พยักหน้ารับทราบ และไปเข้าห้องน้ำ จัดแจงเสื้อผ้าอุปกรณ์ให้พร้อม ข้างบนไม่มีห้องน้ำนะคะ ไกด์ท้องถิ่นเค้าก็แจกหน้ากากมาให้ทุกคน แต่เราแนะนำให้พกหน้ากากอนามัยไปเองด้วย
หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มเดินกันตอนตี 2.30 อากาศก็เย็น เราใส่เสื้อขนเป็ดแบบบางๆไปก้อโอเคค่ะ เดินไปเรื่อยๆ ไกด์ก็จะคอยดูเราเป็นระยะๆ ทางเดินบางช่วงค่อนข้างชันมาก ชันแบบ 45 องศาเลยก็มี คือเดินแล้วเหนื่อยมาก เดินไปหยุดพักไป (เราเป็นคนไม่ค่อยออกกำลังกาย เลยเหนื่อยกว่าคนอื่น) ระหว่างทางเดินเพื่อนร่วมทางเพียบเลยค่ะ มีทั้งฝรั่ง เอเซีย คนบ้านเค้าเอง ไม่มีเหงาแน่นอน อ่านมาถึงตรงนี้มีคำถามใช่มั้ยคะว่า แล้วชั้นจะเดินไหวไม๊เนี่ย ไม่ต้องห่วงค่ะที่นั่นมีลูกหาบคือ จะเป็นเหมือนขนเข็น เก็บขยะ ไว้ให้บริการอยู่เป็นจุดๆ ราคาก็แล้วแต่เจ้า เค้าจะคิดตามระยะทางที่เราขึ้น เช่น ถ้าขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นก็ราคานึง ถ้าไปขึ้นกลางทางก็ราคานึง เดินๆไปก็จะมีรถเข็นๆผ่านไป เราเดินไปเกือบครึ่งทางแล้วเรารู้สึกไม่ไหว เหนื่อยมาก เรากลัวว่าจะเดี้ยงแล้ววันที่เหลือจะไม่สนุก เรานี่แหละคนนึงที่ใช้บริการรถเข็น 555 ตอนนั้นเราขึ้น เค้าคิดเราขาเดียว 400,000 IDR ประมาณ 1,000 บาท พอเราขึ้นรถ แก้งค์เราที่แบกกล้อง เป้ กระเป๋าสะพายใส่รถเรามาหมดเลย ก้อมันหนักนี่เนอะ รูปข้างล่างไม่ใช่เรานะคะให้ดูรถเข็น55
พอขึ้นรถได้เค้าก็เข็นเราไปเรื่อยๆ ยอมรับเลยว่าเค้าเก่งกันมากๆ แค่เราเดินอย่างเดียวก็ไม่ไหวแล้ว นี่ต้องเข็นเราขึ้นอีก สุดยอดจริงๆ ยิ่งเดินขึ้นไปเรื่อยๆยิ่งเย็น แถมกลิ่นกำมะถันก็จะแรงขึ้นเรื่อยๆ ต้องใส่หน้ากาก เนื่องจากเรานั่งรถเข็นขึ้นไปเราเลยไปถึงจุดข้างบนเร็วกว่าคนอื่น เราก้อไปนั่งรอบนนั้น กลัวก้อกลัว เพราะมันยังมืด มองอะไรแทบไม่เห็น หมอก ควันเต็มไปหมด แถมนั่งรถมาคนเดียวอีก คนก้อเยอะพอสมควร กลัวหาแก้งค์ไม่เจอ ผ่านไป 15 นาที แก้งค์เราก็เดินขึ้นมาถึง ทุกคนบอกเหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ย้ำนะคะเมิร์ฟว่าทุกคนขึ้นได้ ถ้าเดินไม่ไหว ขึ้นรถเข็นจัดไปค่ะ ^_^
แต่เด๋วก่อน จุดที่รถเข็นมาจอดไม่ใช่จุดหมายปลายทางนะคะ ตรงนั้นถ้าหมอกควันไม่เยอะ เราสามารถเห็น Blue Fire แต่จะไกลมาก เราต้องเดินไต่ก้อนหินลงไปดู Blue fire ด้านล่างค่ะ
พักเหนื่อยกันแป๊บนึง เราก็เริ่มเดินกันต่อไปเพื่อปีนลงไปด้านล่าง เพื่อลงไปให้เห็น Blue Fire กับตาตัวเอง จากที่หาข้อมูลมาเค้าบอกว่าสามารถเห็น Blue Fire ได้แค่ 2 ที่ในโลกนี้คือ ที่ Kawa Ijen และอีกที่คือ Iceland ซึ่งรอบที่เราไป Iceland เราไม่รู้ว่ามี เลยอดดูเลย กว่าจะปีนลงมาถึงด้านล่างเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะคะ (เมิร์ฟว่าดีกว่าขาขึ้นเมื่อกี้) แต่ข้างล่างนี่ลืมตาแทบไม่ขึ้น ควันและกลิ่นกำมะถันตลบอบอวนไปหมด ถึงขั้นสำลักเลย น้ำตา ขี้มูกไหลออกมาไม่หยุด
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้