อาการ ตับแข็ง มะเร็งตับระยะลุกลาม

กระทู้สนทนา
เมื่อต้นปี60 พี่ชายเพิ่งบอกข่าวร้ายว่าเป็นมะเร็งตับในระยะลุกลาม (ตอนนั้นน่าจะเป็นระยะ3) และน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
ก่อนหน้านี้ประมาณต้นปี 58 พี่เคยเข้ารับการรักษาตับแข็ง ตอนนั้นอาการหนักมาก จนพี่บอกว่าโชคดีที่รอดมาได้ราวปาฎิหาริย์ หลังจากออกจาก รพ.คราวนั้น คุณหมอนัดตรวจตับเป็นระยะ ค่ามะเร็งก็อยู่ในเกณฑ์ปกติมาตลอด

พอเดือนกันยาปี59 ผลตรวจค่ามะเร็งตับ (ค่าAFP) วัดได้ 27ng/ml โดยค่าปกติ คือ 10-20 ng/ml คุณหมอจึงนัดตรวจติดตามผลทุกสามเดือน พอเดือน มีค.60 ค่าAFP เพิ่มพรวดเป็น400ng/mlและเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าเป็น1364ng/ml ในเดือนถัดมา รวมทั้งตรวจพบก้อนมะเร็งจากผลสแกนMRI ขนาดใหญ่8ซม.กว่าและขนาดเล็กหลายก้อนที่กลีบตับด้านขวาและตับแข็งที่กลีบตับซ้าย
โดยส่วนตัวพี่ชายมีประวัติดื่มเหล้ามาเกือบ30ปี เพิ่งเลิกได้หลังจากป่วยหนักเป็นตับแข็ง และยังมีไวรัสตับอักเสบC ด้วย (ไวรัสตับทั้งชนิดบีและซี มีโอกาสพัฒนาเป็นมะเร็งตับได้หากทิ้งไว้ไม่รักษา)

พอเห็นผลไม่ดี พี่จึงหาคำแนะนำเพื่มโดยไปปรึกษาหมอศิริราช หมอบอกว่ากรณีของพี่ไม่สามารถทำคีโมได้แล้ว และแนะว่าอาจใช้วิธีรักษาแบบสอดสายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงของตับที่เลี้ยงก้อนมะเร็ง แล้วทำการฉีดสารกัมมันตภาพรังสีหรือยิทเทรียม เข้าไปเพื่อหยุดก้อนมะเร็ง (วิธีSIRT)  เนื่องจากเป็นวิธีการรักษาแบบใหม่และค่ารักษาแพงมาก พี่จึงต้องใช้เวลาคิดอยู่ระยะนึง
ช่วงนั้น พี่เริ่มมีอาการท้องมาน ดีซ่าน เบื่ออาหาร พอตัดสินใจจะรักษาตามที่หมอแนะ ก็เกิดอาการอาเจียนและถ่ายเป็นเลือดในวันเดียวกัน (อาการโรคตับแข็งซึ่งมีพังผืดเกิดขึ้นในตับ และทำให้ความดันหลอดเลือดดำสูงขึ้น จึงส่งผลให้หลอดอาหารกระเพาะอาหารโป่งแตก) จึงต้องรีบแอดมิดเข้า รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง หมอรักษาด้วยการส่องกล้องโดยใช้ยางรัดเล็กๆ ผ่านทางเครื่องมือพิเศษไปรัดหลอดเลือดดำขอดเพื่อห้ามเลือด หลังออกจาก รพ. ได้เกือบอาทิตย์ พี่ก้อต้องเข้า รพ.ด้วยอาการถ่ายเป็นเลือดอีก แต่คราวนี้มีอาการซึมและสับสนร่วมด้วย เพราะของเสียขึ้นสมอง จนไม่รู้สึกตัวไปคืนนึง และอาการดีขึ้นหลังส่องกล้องรักษา สรุปผลตรวจก้อนมะเร็งของพี่คราวนี้โตขึ้น จนขนาดเกือบ 13ซม.

พอออกจาก รพ. ก็ไปหาหมอศิริราชที่พี่เคยปรึกษาเรื่องรักษาแบบ SIRT หมอได้ตัดสินว่าใช้วิธีรักษาแบบแผนปัจจุบันไม่ได้แล้ว แต่ให้รักษาแบบประคับประคองอาการแทน ตอนนั้นพี่เสียใจมาก แต่ตอนหลังเรากลับมองกันว่าที่พี่ไม่ได้รักษาแบบนั้น อาจจะดีกับร่างกายมากกว่า เพราะผู้ป่วยระยะลุกลามนั้นร่างกายแย่มากอยู่แล้ว อาจไม่สามารถทนรับอาการข้างเคียงจากสารเคมีแรงๆได้
หลังจากกลับบ้าน เราก็รักษาแบบแพทย์ทางเลือก แต่ก็กินยาแผนปัจจุบันที่คุณหมอให้ เช่น พวกยาขับปัสสาวะเพื่อรักษาอาการท้องมาน ยาลดกรด และเราใช้สมุนไพรบำบัดอาการ  เอาจิงจูฉ่ายมาคั้นเป็นน้ำดื่มซึ่งช่วยลดไข้ได้ดี และ ยาพัทธะปิตตะ ของ รพ.พระปกเกล้าจันทบุรี ทำให้อาการท้องมานของพี่ดีขึ้น ท้องยุบลงมาก หมอบอกว่ายาสมุนไพรนี้รักษาโรคตับแข็งได้ดี ส่วนมะเร็งตับจะดีขึ้นแค่ไหนแล้วแต่อาการและร่างกายแต่ละคน
ปกติคนเป็นโรคตับ จะย่อยและดูดซึมสารอาหารที่จำเป็น เช่น โปรตีน ไม่ได้ จึงต้อง กินไข่ขาวเพื่อเพิ่มอัลบูมิน ซึ่งถ้าขาดท้องจะบวมน้ำ
และ อาศัยอาหารเสริม เช่น อะมิโนเลแบน ที่มีอะมิโนโซ่กิ่งทำให้ร่างกายเอาไปใช้ได้

เดือนต่อมา อาการโดยรวมของพี่ดีขึ้นมาก  แต่โชคร้ายต้องเข้า รพ.เพื่อผ่าตัดอีกรอบเพราะตับแตก เนื่องจากตกเก้าอี้ ผลตรวจหลังผ่าตัด มะเร็งได้ลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณตับแล้วและมีโอกาสสูงที่จะแพร่ไปยังอวัยวะอื่น
ตอนหลัง เราได้เปลี่ยนไปรักษากับคุณหมอ รพ.พญาไท3 เนื่องจาก รพ.เอกชนเดิม คุณหมอไม่เข้าใจคนไข้ และต้องการให้นอน รพ.และรักษาโดยใช้สารเคมีฉีดเพื่อหยุดมะเร็ง โดยไม่ยอมรับการตัดสินใจผู้ป่วยที่ต้องการรักษาแบบไม่ใช้เคมีอีกแล้ว  พี่ชายจึงตัดสินใจออกไปรักษาตัวที่บ้าน คุณหมอจึงให้เซ็นยืนยันว่าญาติไม่ยอมรับในคำแนะนำของหมอว่าให้ทำการรักษาและออกจาก รพ.โดยที่หมอไม่อนุญาต เรารู้สึกว่าคุณหมอปกป้องตัวเองมากเกินจนเครียดไปหมด  เช่น ให้ญาติเซ็นยอมรับทุกขั้นตอนการรักษา (กระทั่งถุงเลือดเบิกมาก็ต้องให้ญาติเซ็นยืนยันทุกครั้ง)
ส่วนตัวคิดว่า คุณหมอและทีมพยาบาลใน รพ.ที่รักษาสำคัญมากนะคะ เวลาคนป่วยโรคเรื้อรังในระยะท้ายๆ ถ้าได้คุณหมอและพยาบาลที่เข้าใจ จะทำให้ทั้งคนป่วยและครอบครัวตัดสินใจได้ถูกต้องและคลายทุกข์ในจิตใจได้ด้วย ที่สำคัญส่วนใหญ่ผู้ป่วยและครอบครัวไม่มีความรู้เรื่องโรคและการรักษาดีพอ ถ้าคุณหมออธิบายให้ข้อมูลที่เพียงพอ จะช่วยในการตัดสินใจรักษาได้ถูกต้องหรือให้ความร่วมมือเพื่อทำให้อาการผู้ป่วยดีขึ้นได้

หลังออกจาก รพ. พี่มีอาการปวดท้อง แน่นและปวดกระดูกทั่วตัว ขาบวม อ่อนแรง ลุกนั่งแทบไม่ได้ และค่อยๆผอมลง คุณหมอ รพ.พญาไท เลยจ่ายยามอรฟีนแก้ปวดแบบแผ่นแปะ เฟนทานิล มาให้แปะทุกๆ3วัน ซึ่งช่วยให้ไม่ปวดและมีแรง ใช้ชีวิตได้เป็นปกติขึ้น และมีกำลังใจดีขึ้น พอใกล้ครบสามวัน อาการอ่อนแรงจะเริ่มกลับมา จึงต้องใช้ไปตลอด และพี่ยังต้องไปส่องกล้องเพื่อรัดเส้นเลือดในกระเพาะลำไส้ที่โป่งพองประมาณสองเดือนครั้งตามที่คุณหมอนัดด้วย

ที่จริงพี่เป็นคนอดทน จิตใจเข้มแข็ง และยังอายุน้อยแค่49 เลยทำให้รับมือกับโรคมะเร็งได้ดีพอควร ช่วงนั้นอาการพี่ดีขึ้นเรื่อยๆ ท้องยุบลงมาก
แต่พอเข้าเดือน กย. 60 โชคไม่ดีที่ มีแต่เรื่องแย่ๆมาให้กลุ้ม อาการเลยกลับมาแย่อีก ท้องมาน เดินและขยับตัวได้ช้าๆ ต้องนอนเป็นส่วนใหญ่  
พอดีช่วง ธค.มีข่าวยาหมอแสง เราเลยลองไปรับยาให้พี่กินดู โดยกินเสริมกับยาพัทธะปิตตะและน้ำจิงจูฉ่ายคั้น แต่ยาหมอแสงที่ได้มาเดือนแรกแค่ 6เม็ด เดือนถัดไปได้ 8 เม็ดจึงไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไร หลังกินยาหมอแสง สังเกตอาการพี่ดีขึ้นเพราะท้องยุบลงมาก แต่อาการอื่น เช่น อ่อนแรง ปวดตามกระดูก กินอาหารไม่ลง ค้นตามตัว มีไข้ ยังคงมีอยู่ เดือนถัดมา ตรวจผลเลือด ผลปรากฏว่าค่าตับโดยรวมกลับมาดีขึ้น
แต่เนื่องจากตอนนั้นพี่เป็นมะเร็งตับระยะท้ายซึ่งได้ลามไปปอดแล้ว จึงทำให้ร่างกายไม่ไหว เพราะกินไม่ลงแม้กระทั่งน้ำก็กลืนลำบาก และมีอาการไอ มีเสมหะ แต่ไม่มีแรงขากออก สองสามอาทิตยก่อนที่พี่จะเสีย เค้ามีอาการระยะท้ายก่อนเสียชีวิต เช่น กินอาหารไม่ลง ความจำแย่ บางช่วงจะสับสน เห็นภาพหรือพูดถึงคนที่ไม่มีอยู่จริง เอาแต่นอน ไม่มีแรงเคลื่อนไหว
อาทิตย์ก่อนหน้าที่พี่จะเสีย  พี่เริ่มมีอาการหายใจไม่ออกตอนกลางคืนเพราะมีเสมหะแต่ขากไม่ออก ขาดอ็อกซิเจนจนนิ้วมือกลายเป็นสีม่วง เลยต้องรีบส่ง รพ. หลังได้ออกซิเจนอาการก็ดีขึ้น และยังรู้สึกตัวดี แต่หลังจากนั้นสองวัน พี่ก็เริ่มความดันต่ำลง รู้ตัวแต่หลับตลอดเวลา คุณหมอให้มอรฟีนช่วยเพื่อไม่ให้ปวด ร่างกายพี่ไม่รับอะไรอีกเลยแม้แต่น้ำ จนภายในปากเริ่มแห้งมากจนเลือดออกตามเหงือก มีไข้สูงขึ้นลงตลอดเวลา และค่อยๆหายใจช้าลง รวมทั้งมีอาการกระสับกระส่ายมากขึ้นเป็นระยะ คุณหมอบอกว่าให้พวกเราทำใจ และอาการกระสับกระส่ายที่เห็น ที่จริงไม่ได้ทรมานแต่เป็นอาการปกติเวลาร่างกายจะปิดตัว แม้กระนั้นพวกเราเห็นแล้วก็ทนไม่ได้ จึงขอคุณหมอเพิ่มมอรฟีนเพื่อให้พี่สบายขึ้น ไม่กระสับกระส่าย พี่จึงสงบลง และวันถัดมา ก็ค่อยๆหายใจช้าลงจนจากไปอย่างสงบ  

และความตั้งใจในการเขียน ปสก.ครั้งนี้ มาจากตอนที่พี่ป่วย เราพยายามหาข้อมูลในเว็บแต่ก็ไม่เจอข้อมูลอาการและการรักษาที่ละเอียดพอ ทำให้สับสนและกังวลอย่างมาก เราเข้าใจความทุกข์ของผู้ป่วยและญาติเป็นอย่างมาก เลยอยากจะแบ่งปันข้อมูลให้กับผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้าย เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง และหากมีกุศลใดๆจากการแบ่งปันในครั้งนี้ ขอให้พี่ชายได้รับผลบุญผลกุศลทั้งหมดในครั้งนี้ด้วยเทอญ
และขอขอบคุณทีมคุณหมอและพยาบาล ที่ให้การรักษาและบริการที่น่าประทับใจ ช่วยให้พี่จากไปอย่างสงบด้วยนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่