สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันเสาร์
MC แอ๊ด (WANG JIE หรือ ชื่อดั้งเดิม "พฤษภเสารี" สมาชิกเก่าห้อง รดน.ช่วงปี 2546-2550) กลับมาประจำการครับ ^^
ขณะนี้ เรากำลังอยู่ในช่วงมหกรรมลูกหนังโลก มีเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวข้องกับทีมชาติต่างๆ วันนี้ MC แอ๊ด จะนำเรื่องราวของทีมชาติใหญ่ทีมหนึ่ง ซึ่งไม่มาตามนัด ทำให้หลายคนรู้สึกว่าบอลโลกคราวนี้มันกร่อยๆ ไม่เข้มข้นเต็มร้อย...ผมกำลังพูดถึง ทีม "
อัสซูรี่" อิตาลี ครับ
ฟุตบอลทีมชาติอิตาลี (Nazionale Italiana di Calcio) เป็นตัวแทนทีมฟุตบอลจากประเทศอิตาลี อยู่ภายใต้การดูแลของสมาพันธ์ฟุตบอลอิตาลี ทีมอิตาลีชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก ทั้งหมด 4 ครั้ง ในปี 1934 1938 1982 และครั้งล่าสุดปี 2006 ที่เยอรมนี และชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หนึ่งครั้งในปี 1968 และยังได้เหรียญทองฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิก ในปี 1936
สีประจำทีมอิตาลีคือสีฟ้าอ่อน (และเป็นสีที่ใช้ประจำทีมชาติในหลายกีฬายกเว้นการแข่งขันรถ) ซึ่งในภาษาอิตาลีคือ
อัซซูโร (azzurro) และเป็นสีประจำราชวงศ์ในอิตาลีในอดีต
และเป็นที่มาของชื่อเล่นของทีมว่า "อัซซูรี" (Azzurri)
การเข้ารอบสุดท้ายของอิตาลี มีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว ในปี 1982 ที่สเปน อิตาลีคว้าแชมป์ และมีนักฟุตบอลดาวดวงใหม่แจ้งเกิดอย่างสวยงามในฐานะดาวซัลโวคือ "เปาโล รอสซี่" พวกเขาชนะ "อินทรีเหล็ก" เยอรมันตะวันตกไป 3 ประตูต่อ 1 และบอลโลกครั้งนั้น เป็นครั้งแรกซึ่งเพิ่มจำนวนทีมในรอบสุดท้ายจาก 16 ทีมซึ่งเริ่มเมื่อปี 1978 เป็น 24 ทีม
ปี 1990 คือปีแห่งความโชคร้าย พวกเขาเป็นเจ้าภาพ และหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นแชมป์ให้จงได้ เพลง TO BE NUMBER ONE ทั้งภาคภาษาอังกฤษและภาษาอิตาเลียนโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยความหมายในเพลงที่ว่าพวกเขาจะเป็นที่หนึ่งมีชัย "เหนือฟ้าอิตาลี"
แต่ไม่มีใครคาดคิด พวกเขากรุยทางเข้าจนถึงรอบตัดเชือก แล้วกลับพลาดท่าให้กับทีม ""ฟ้าขาว" อาร์เจนติน่า ภายใต้การนำของ "เสือเตี้ย" ดิเอโก้ มาราโดน่า น็อกตกรอบรองไปอย่างเจ็บช้ำ ในช่วงของการดวลลูกโทษ หลังจากเวลา 90 นาทีหมดลง เสมอกันที่ 1-1 โดย ซัลวาต่อเร่ สกิลลาชี่ ยิงให้เจ้าภาพนำไปก่อน 1-0 ในนาที่ที่ 17 แต่ในครึ่งหลังโดนตีเสมอจาก เคลาดิโอ้ คานิกเกีย ของอาร์เจนติน่า จบ 90 นาที แล้วต่อเวลาไปจนเกิน 120 นาที เกินไปเยอะมากๆ จน "พี่ ย.โย่ง" เอกชัย นพจินดา "คัมภีร์ฟุตบอล" หนึ่งเดียวของเมืองไทย (ซึ่งถึงปัจจุบันนี้ MC ก็ไม่เห็นว่ามีใครจะมาแทนที่ได้!) ถึงกับบอกตอนที่พากษ์บอลคู่นี้ว่า "สงสัยจะลืมดูนาฬิกา!" แต่กรรมการต่อเวลานานเท่าไร (เหมือนจะรอให้อิตาลียิงให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยเป่าหมดเวลา! เพราะมันนานมากผิดสังเกตจริงๆ!) อิตาลีก็ยังยิงอาร์เจนตินาซึ่งพยายามยื้ออุดเพื่อจะไปวัดดวงด้วยการยิงลูกที่จุดโทษตัดสิน ในที่สุดกรรมการก็เป่าหมดเวลา นำไปสู่การดวลลูกโทษ และอิตาลีแพ้ โดยยิงไม่เข้าถึงสองคนคือ โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ และ อัลโด้ เซเรน่า หลังจากนั้น ทั่วทั้งสนามที่เมืองเมเปิล เงียบสนิทราวกับป่าช้า ทั้งแฟนบอลและนักเตะพากันเศร้าโศกแบบหมดอาลัยตายอยากกันสุดๆ
4 ปีถัดมา USA 94 อิตาลียังโชว์ฟอร์มเก่ง กรุยทางเข้าไปถึงนัดชิง แต่เป็นอีกครั้งซึ่งเหมือนว่าเทพีแห่งโชคใจจืดใจดำไม่เข้าข้าง เมื่อท้ายที่สุดในนัดชิงชนะเลิศ พวกเขาต้องพบกับ ทีมขวัญใจปวงประชาอย่าง "บราซิล" ซึ่งมีตัวเก่งสุดอันตรายอย่าง "โรนัลโด้" ทั้งสองทีมเล่นกันจนครบ 90 นาทีและ 120 นาที ทำอะไรกันไม่ได้ จำต้องดวลจุดโทษตัดสินกัน และคราวนี้ เป็น "ไอ้ผมม้าอันตราย" โรแบร์โต้ บาจจิโอ้ ที่ยิงลูกโทษลูกสุดท้ายซึ่งเป็นลูกตัดสินความเป็นความตายไม่เข้า โดยยิงเหินข้ามคานไปซะงั้น สร้างความเซ็งให้แก่แฟนๆอัซซูรี่อีกรอบ! และบราซิลก็เป็นแชมป์โลกไปในครั้งนั้น พลพรรคอัซซูรี่และแฟนๆก็ต้องหลั่งน้ำตากันอีกรอบ แบบช้ำแล้ว ช้ำอีก
อิตาลี ไขว่คว้าหาความสำเร็จต่อไป ในฟร้อง 98 ที่ฝรั่งเศส พวกเขาผ่านรอบ 16 ทีมสุดท้าย (รอบสอง) สู่รอบควอเตอร์ไฟนอล และไปชนกับทีมเจ้าภาพฝรั่งเศสซึ่งมีตัวเก่งอย่างซีเนอดีน ซีดานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็โชคร้ายอีกแล้วกับการต้องดวลลูกโทษกับเจ้าภาพเพราะเสมอกันในเกม โดยนักเตะอิตาลีคนสุดท้ายคือ ลุยจิ ดิ เบียโจ้ ยิงชนคาน เจ้าภาพจึงชนะไป 4-3
มาถึงปี 2002 ซึ่งเป็นปีแรกที่จัดในเอเชียโดยสองเจ้าภาพร่วมคือเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ญี่ปุ่นไม่มีปัญหาอะไร แต่อิตาลีต้องเผชิญกับกลโกงของทางเจ้าภาพฝั่งเกาหลีใต้อย่างร้ายกาจ และถือเป็น "ความอัปยศที่สุดของฟีฟ่า" เลยทีเดียว ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เพราะกรรมการเข้าข้างเจ้าภาพอย่างน่าเกลียดและโจ่งแจ้ง เริ่มด้วยการแจกจุดโทษแก่ทีมเจ้าภาพก่อน แต่เจ้าภาพเกาหลีใต้ก็ยิงไม่เข้า และกลายเป็นว่านาทีที่ 19 อิตาลียิงนำได้ก่อน 0-1 เกมดำเนินไปอย่างสุดแสนจะทุ RED อิตาลีถูกทำฟาว์ลในเขตโทษบ้างหน้าเขตบ้างแต่กรรมการไม่ให้ไม่สน แจกใบเหลืองปลิวว่อนให้กับทีมอัซซูรี่ แถมมีชักใบแดงให้ฟรานเซสโก้ ต๊อตติ อีกต่างหาก ทั้งๆที่เขาถูกทำฟาว์ล เรียกว่าช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างสุดๆ
แม้กระนั้นนักเตะเกาหลีใต้ก็ยิงทิ้งยิงขว้างไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก แต่กรรมการนกหวีดหวานก็คอยประคับประคองต่อไปราวกับเป็นลูกๆที่รัก จนเกาหลีใต้ตีเสมอได้ และต่อมาก็ยิงนำไป 1-2 ด้วยความช่วยเหลือของกรรมการในสนามอย่างโจ่งแจ้งโจ๋งครึ่ม ทำให้อิตาลีต้องแพ้ตกรอบไปอย่างน่าเจ็บใจ ส่วนเกาหลีใต้ตัวแสบยังไปยัดความพ่ายแพ้ให้กับสเปนอีกหนึ่งทีมในรอบควอเตอร์ไฟนอล ก่อนจะโดนเยอรมันเขี่ยตกรอบรอง
จนกระทั่งปี 2006 บนแผ่นดินเยอรมัน เทพีแห่งโชคจึงเข้าข้างพวกเขา (คงเห็นว่าเจ็บช้ำมามากพอแล้ว!) โดยนัดสำคัญคือรอบรองซึ่งน็อกเยอรมนีเจ้าภาพตกรอบไปได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่ใกล้จะหมดเวลาในช่วงต่อเวลาพิเศษเต็มที เยอรมนีเจ้าภาพก็เล่นอะไรกันไม่รู้เตะทิ้งเตะขว้างใช้โอกาสเปลืองมาก แถมไม่มีดวงอย่างเห็นได้ชัด ยิงชนคานบ้างเฉี่ยวเสาบ้าง สุดท้ายเลยโดนยิงสองลูกติดต่อกันโดยไม่เหลือเวลาเพียงพอให้แก้ตัว เจ้าภาพตกรอบตัดเชือกช็อกคนเยอรมันทั้งประเทศ และทีมอัซซูรี่เข้าชิง
นัดชิงชนะเลิศ อิตาลีต้องเจอกับทีมที่แข็งแกร่งอย่างฝรั่งเศสซึ่งนำทัพโดยซีเนอดีน ซีดานซึ่งทำประตูให้ฝรั่งเศสขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากลูกจุดโทษ แต่ต่อมา "มาเตรัซซี่" ก็ตามโหม่งทำประตูตีเสมอได้
ในครึ่งหลัง เกิดเหตุการณ์สำคัญคือ "เฮดบัตต์" บันลือโลก ซึ่งซีดานตบะแตกเอาหัวโขกหน้าออกของมาเตรัซซี่ซึ่งไม่รู้ว่าปากเสียว่าอะไรให้เขาเต็มแรงจนถูกกรรมการชักใบแดงไล่ออกจากสนามไป หลังจากนั้นทั้งสองทีมก็ทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ บอลโลกต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษอีกครั้ง และขุนพลอัซซูรี่เป็นฝ่ายยิงได้แม่นกว่าเอาชนะฝรั่งเศสไปได้ในที่สุด
หลังจากนั้น ในฟุตบอลโลกปี 2010 ที่อาฟริกาใต้ ปรากฏว่า อิตาลี "แชมป์เก่า" ตกรอบแรกอย่างเหลือเชื่อ โดยคะแนนน้อยที่สุดในกลุ่ม F เสียด้วยซ้ำ! ผลการแข่งขันในรอบแรก พวกเขาไม่ชนะใครเลย! โดยทำได้แค่เสมอกับปารากวัย 1-1 จากนั้นไปเสมอกับนิวซีแลนด์ด้วยสกอร์เดียวกัน ทำให้นัดสุดท้ายกลายเป็นนัดชี้ชะตา พวกเขาจะแพ้ไม่ได้ และนัดชี้ชะตานั้นพวกเขาต้องพบกับสโลวาเกีย การแข่งขันดุเดือดมาก เตะกันไฟแลบ ยิงกันถึง 5 ประตู โดยโดนสโลวาเกียยิงนำไปก่อนถึง 2-0 แต่อันโตนีโอ้ ดี นาตาเล่ ยิงตีตื้นให้อิตาลีตามมา 2-1 ในนาทีที่ 81 แต่แล้วทุกคนก็แทบเข่าทรุดหมดแรงเมื่อถูกสโลวาเกียยิงห่างออกไปเป็น 3-1 ในนาทีที่ 89 ขุนพลอัซซูรี่ใกล้ตายเต็มที่ กัดฟันสู้และยิงประตูเพิ่มได้อีกในนาทีที่ 92 ตามมาเป็น 3-2 และการแข่งขันก็จบลงด้วยสกอร์นี้ สโลวาเกียจึงเอาชนะอิตาลีไปได้อย่างพลิกล็อก ตามปารากวัยเข้ารอบสองไป ขุนพลอัซซูรี่ทั้งหลายก็จำต้องโบกมือบ๊ายบายอำลาบอลโลกตั้งแต่รอบแรก
และครั้งต่อมา ในฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ ก็เป็นอีกปีหนึ่งซึ่งอิตาลีตกรอบแรกอีกครั้ง กลายเป็นทีมใหญ่ที่ตกรอบแรกฟุตบอลโลกถึง 2 สมัยติดต่อกัน! คราวนี้พวกเขาอยู่กลุ่ม D ร่วมสายกับ คอสตาริก้า อุรุกวัย และ อังกฤษ มีเพียงคอสตาริก้าเท่านั้นที่แทบทุกฝ่ายเห็นว่าน่าจะเป็น "หมู" หรือ "ขนมกรุบ" สำหรับทีมอัซซูรี่ ส่วนอุรุกวัยและอังกฤษเป็นงานยากกว่า แต่พอแข่งจริงกลับเกิด "ปรากฏการณ์ผ้าป่าคว่ำ!!" หลังจากอิตาลีนัดแรกชนะอังกฤษ 2-1 สวยสดงดงาม ฝันหวานที่จะเข้ารอบสองทันที นัดที่สอง ใครๆก็เชื่อว่าคอสตาริก้าต้องแพ้อิตาลีแน่ๆ จะเอาอะไรมาสู้ ปรากฏว่าโดน "หมูคอสตาริก้า" ขบเอา แพ้ไป 0-1 นัดสุดท้ายไม่มีทางเลือก ต้องชนะอุรุกวัยสถานเดียว แต่ผลลัพธ์กลายเป็นตรงกันข้าม แพ้ให้อุรุกวัยไปอย่างเจ็บแสบ 0-1 ตกรอบแรกไปอีกสมัยหนึ่ง
ยังไม่จบ ต่อพรุ่งนี้อีกวันครับ
ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียงเพลง 23/6/2561 - อิตาลีที่ไม่มาตามนัด
สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันเสาร์ MC แอ๊ด (WANG JIE หรือ ชื่อดั้งเดิม "พฤษภเสารี" สมาชิกเก่าห้อง รดน.ช่วงปี 2546-2550) กลับมาประจำการครับ ^^
ขณะนี้ เรากำลังอยู่ในช่วงมหกรรมลูกหนังโลก มีเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวข้องกับทีมชาติต่างๆ วันนี้ MC แอ๊ด จะนำเรื่องราวของทีมชาติใหญ่ทีมหนึ่ง ซึ่งไม่มาตามนัด ทำให้หลายคนรู้สึกว่าบอลโลกคราวนี้มันกร่อยๆ ไม่เข้มข้นเต็มร้อย...ผมกำลังพูดถึง ทีม "อัสซูรี่" อิตาลี ครับ
ฟุตบอลทีมชาติอิตาลี (Nazionale Italiana di Calcio) เป็นตัวแทนทีมฟุตบอลจากประเทศอิตาลี อยู่ภายใต้การดูแลของสมาพันธ์ฟุตบอลอิตาลี ทีมอิตาลีชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก ทั้งหมด 4 ครั้ง ในปี 1934 1938 1982 และครั้งล่าสุดปี 2006 ที่เยอรมนี และชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หนึ่งครั้งในปี 1968 และยังได้เหรียญทองฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิก ในปี 1936
สีประจำทีมอิตาลีคือสีฟ้าอ่อน (และเป็นสีที่ใช้ประจำทีมชาติในหลายกีฬายกเว้นการแข่งขันรถ) ซึ่งในภาษาอิตาลีคือ อัซซูโร (azzurro) และเป็นสีประจำราชวงศ์ในอิตาลีในอดีต และเป็นที่มาของชื่อเล่นของทีมว่า "อัซซูรี" (Azzurri)
การเข้ารอบสุดท้ายของอิตาลี มีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว ในปี 1982 ที่สเปน อิตาลีคว้าแชมป์ และมีนักฟุตบอลดาวดวงใหม่แจ้งเกิดอย่างสวยงามในฐานะดาวซัลโวคือ "เปาโล รอสซี่" พวกเขาชนะ "อินทรีเหล็ก" เยอรมันตะวันตกไป 3 ประตูต่อ 1 และบอลโลกครั้งนั้น เป็นครั้งแรกซึ่งเพิ่มจำนวนทีมในรอบสุดท้ายจาก 16 ทีมซึ่งเริ่มเมื่อปี 1978 เป็น 24 ทีม
ปี 1990 คือปีแห่งความโชคร้าย พวกเขาเป็นเจ้าภาพ และหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นแชมป์ให้จงได้ เพลง TO BE NUMBER ONE ทั้งภาคภาษาอังกฤษและภาษาอิตาเลียนโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยความหมายในเพลงที่ว่าพวกเขาจะเป็นที่หนึ่งมีชัย "เหนือฟ้าอิตาลี"
แต่ไม่มีใครคาดคิด พวกเขากรุยทางเข้าจนถึงรอบตัดเชือก แล้วกลับพลาดท่าให้กับทีม ""ฟ้าขาว" อาร์เจนติน่า ภายใต้การนำของ "เสือเตี้ย" ดิเอโก้ มาราโดน่า น็อกตกรอบรองไปอย่างเจ็บช้ำ ในช่วงของการดวลลูกโทษ หลังจากเวลา 90 นาทีหมดลง เสมอกันที่ 1-1 โดย ซัลวาต่อเร่ สกิลลาชี่ ยิงให้เจ้าภาพนำไปก่อน 1-0 ในนาที่ที่ 17 แต่ในครึ่งหลังโดนตีเสมอจาก เคลาดิโอ้ คานิกเกีย ของอาร์เจนติน่า จบ 90 นาที แล้วต่อเวลาไปจนเกิน 120 นาที เกินไปเยอะมากๆ จน "พี่ ย.โย่ง" เอกชัย นพจินดา "คัมภีร์ฟุตบอล" หนึ่งเดียวของเมืองไทย (ซึ่งถึงปัจจุบันนี้ MC ก็ไม่เห็นว่ามีใครจะมาแทนที่ได้!) ถึงกับบอกตอนที่พากษ์บอลคู่นี้ว่า "สงสัยจะลืมดูนาฬิกา!" แต่กรรมการต่อเวลานานเท่าไร (เหมือนจะรอให้อิตาลียิงให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยเป่าหมดเวลา! เพราะมันนานมากผิดสังเกตจริงๆ!) อิตาลีก็ยังยิงอาร์เจนตินาซึ่งพยายามยื้ออุดเพื่อจะไปวัดดวงด้วยการยิงลูกที่จุดโทษตัดสิน ในที่สุดกรรมการก็เป่าหมดเวลา นำไปสู่การดวลลูกโทษ และอิตาลีแพ้ โดยยิงไม่เข้าถึงสองคนคือ โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ และ อัลโด้ เซเรน่า หลังจากนั้น ทั่วทั้งสนามที่เมืองเมเปิล เงียบสนิทราวกับป่าช้า ทั้งแฟนบอลและนักเตะพากันเศร้าโศกแบบหมดอาลัยตายอยากกันสุดๆ
โรแบร์โต้ บาจจิโอ้ โอบกอดปลอบรุ่นน้อง โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ หลังจากเขายิงลูกโทษไม่เข้า
4 ปีถัดมา USA 94 อิตาลียังโชว์ฟอร์มเก่ง กรุยทางเข้าไปถึงนัดชิง แต่เป็นอีกครั้งซึ่งเหมือนว่าเทพีแห่งโชคใจจืดใจดำไม่เข้าข้าง เมื่อท้ายที่สุดในนัดชิงชนะเลิศ พวกเขาต้องพบกับ ทีมขวัญใจปวงประชาอย่าง "บราซิล" ซึ่งมีตัวเก่งสุดอันตรายอย่าง "โรนัลโด้" ทั้งสองทีมเล่นกันจนครบ 90 นาทีและ 120 นาที ทำอะไรกันไม่ได้ จำต้องดวลจุดโทษตัดสินกัน และคราวนี้ เป็น "ไอ้ผมม้าอันตราย" โรแบร์โต้ บาจจิโอ้ ที่ยิงลูกโทษลูกสุดท้ายซึ่งเป็นลูกตัดสินความเป็นความตายไม่เข้า โดยยิงเหินข้ามคานไปซะงั้น สร้างความเซ็งให้แก่แฟนๆอัซซูรี่อีกรอบ! และบราซิลก็เป็นแชมป์โลกไปในครั้งนั้น พลพรรคอัซซูรี่และแฟนๆก็ต้องหลั่งน้ำตากันอีกรอบ แบบช้ำแล้ว ช้ำอีก
อิตาลี ไขว่คว้าหาความสำเร็จต่อไป ในฟร้อง 98 ที่ฝรั่งเศส พวกเขาผ่านรอบ 16 ทีมสุดท้าย (รอบสอง) สู่รอบควอเตอร์ไฟนอล และไปชนกับทีมเจ้าภาพฝรั่งเศสซึ่งมีตัวเก่งอย่างซีเนอดีน ซีดานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็โชคร้ายอีกแล้วกับการต้องดวลลูกโทษกับเจ้าภาพเพราะเสมอกันในเกม โดยนักเตะอิตาลีคนสุดท้ายคือ ลุยจิ ดิ เบียโจ้ ยิงชนคาน เจ้าภาพจึงชนะไป 4-3
ฟาเบียง บาร์คเตซ ผู้รักษาประตูวิ่งออกไปเฮหลังจาก ลุยจิ ดิ เบียโจ้ ยิงลูกโทษไปชนคานและหงายหลังลงนอนเอามือปิดหน้าทันที
มาถึงปี 2002 ซึ่งเป็นปีแรกที่จัดในเอเชียโดยสองเจ้าภาพร่วมคือเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ญี่ปุ่นไม่มีปัญหาอะไร แต่อิตาลีต้องเผชิญกับกลโกงของทางเจ้าภาพฝั่งเกาหลีใต้อย่างร้ายกาจ และถือเป็น "ความอัปยศที่สุดของฟีฟ่า" เลยทีเดียว ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เพราะกรรมการเข้าข้างเจ้าภาพอย่างน่าเกลียดและโจ่งแจ้ง เริ่มด้วยการแจกจุดโทษแก่ทีมเจ้าภาพก่อน แต่เจ้าภาพเกาหลีใต้ก็ยิงไม่เข้า และกลายเป็นว่านาทีที่ 19 อิตาลียิงนำได้ก่อน 0-1 เกมดำเนินไปอย่างสุดแสนจะทุ RED อิตาลีถูกทำฟาว์ลในเขตโทษบ้างหน้าเขตบ้างแต่กรรมการไม่ให้ไม่สน แจกใบเหลืองปลิวว่อนให้กับทีมอัซซูรี่ แถมมีชักใบแดงให้ฟรานเซสโก้ ต๊อตติ อีกต่างหาก ทั้งๆที่เขาถูกทำฟาว์ล เรียกว่าช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างสุดๆ
แม้กระนั้นนักเตะเกาหลีใต้ก็ยิงทิ้งยิงขว้างไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก แต่กรรมการนกหวีดหวานก็คอยประคับประคองต่อไปราวกับเป็นลูกๆที่รัก จนเกาหลีใต้ตีเสมอได้ และต่อมาก็ยิงนำไป 1-2 ด้วยความช่วยเหลือของกรรมการในสนามอย่างโจ่งแจ้งโจ๋งครึ่ม ทำให้อิตาลีต้องแพ้ตกรอบไปอย่างน่าเจ็บใจ ส่วนเกาหลีใต้ตัวแสบยังไปยัดความพ่ายแพ้ให้กับสเปนอีกหนึ่งทีมในรอบควอเตอร์ไฟนอล ก่อนจะโดนเยอรมันเขี่ยตกรอบรอง
ไบรอน โมเรโน่ ชักใบแดงไล่ฟรานเซสโก้ ต๊อตติ ออกจากสนามในช่วงต่อเวลาพิเศษซึ่งสองทีมเสมอกันอยู่ 1-1
บุฟฟ่อน นายทวารอิตาลี ได้แต่นั่งเซ็งหลังเกมจบและอิตาลีแพ้เกาหลีใต้ 2-1 ตกรอบสอง
จนกระทั่งปี 2006 บนแผ่นดินเยอรมัน เทพีแห่งโชคจึงเข้าข้างพวกเขา (คงเห็นว่าเจ็บช้ำมามากพอแล้ว!) โดยนัดสำคัญคือรอบรองซึ่งน็อกเยอรมนีเจ้าภาพตกรอบไปได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่ใกล้จะหมดเวลาในช่วงต่อเวลาพิเศษเต็มที เยอรมนีเจ้าภาพก็เล่นอะไรกันไม่รู้เตะทิ้งเตะขว้างใช้โอกาสเปลืองมาก แถมไม่มีดวงอย่างเห็นได้ชัด ยิงชนคานบ้างเฉี่ยวเสาบ้าง สุดท้ายเลยโดนยิงสองลูกติดต่อกันโดยไม่เหลือเวลาเพียงพอให้แก้ตัว เจ้าภาพตกรอบตัดเชือกช็อกคนเยอรมันทั้งประเทศ และทีมอัซซูรี่เข้าชิง
เดล เปียโร่ ยิงลูกที่สองผ่านตัวเยนส์ เลมันน์เข้าประตูไป ในช่วงต่อเวลาพิเศษซึ่งกำลังจะหมด ฝังเยอรมนีไม่ให้มีโอกาสแก้ตัวตกรอบรอง
นัดชิงชนะเลิศ อิตาลีต้องเจอกับทีมที่แข็งแกร่งอย่างฝรั่งเศสซึ่งนำทัพโดยซีเนอดีน ซีดานซึ่งทำประตูให้ฝรั่งเศสขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากลูกจุดโทษ แต่ต่อมา "มาเตรัซซี่" ก็ตามโหม่งทำประตูตีเสมอได้
ในครึ่งหลัง เกิดเหตุการณ์สำคัญคือ "เฮดบัตต์" บันลือโลก ซึ่งซีดานตบะแตกเอาหัวโขกหน้าออกของมาเตรัซซี่ซึ่งไม่รู้ว่าปากเสียว่าอะไรให้เขาเต็มแรงจนถูกกรรมการชักใบแดงไล่ออกจากสนามไป หลังจากนั้นทั้งสองทีมก็ทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ บอลโลกต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษอีกครั้ง และขุนพลอัซซูรี่เป็นฝ่ายยิงได้แม่นกว่าเอาชนะฝรั่งเศสไปได้ในที่สุด
หลังจากนั้น ในฟุตบอลโลกปี 2010 ที่อาฟริกาใต้ ปรากฏว่า อิตาลี "แชมป์เก่า" ตกรอบแรกอย่างเหลือเชื่อ โดยคะแนนน้อยที่สุดในกลุ่ม F เสียด้วยซ้ำ! ผลการแข่งขันในรอบแรก พวกเขาไม่ชนะใครเลย! โดยทำได้แค่เสมอกับปารากวัย 1-1 จากนั้นไปเสมอกับนิวซีแลนด์ด้วยสกอร์เดียวกัน ทำให้นัดสุดท้ายกลายเป็นนัดชี้ชะตา พวกเขาจะแพ้ไม่ได้ และนัดชี้ชะตานั้นพวกเขาต้องพบกับสโลวาเกีย การแข่งขันดุเดือดมาก เตะกันไฟแลบ ยิงกันถึง 5 ประตู โดยโดนสโลวาเกียยิงนำไปก่อนถึง 2-0 แต่อันโตนีโอ้ ดี นาตาเล่ ยิงตีตื้นให้อิตาลีตามมา 2-1 ในนาทีที่ 81 แต่แล้วทุกคนก็แทบเข่าทรุดหมดแรงเมื่อถูกสโลวาเกียยิงห่างออกไปเป็น 3-1 ในนาทีที่ 89 ขุนพลอัซซูรี่ใกล้ตายเต็มที่ กัดฟันสู้และยิงประตูเพิ่มได้อีกในนาทีที่ 92 ตามมาเป็น 3-2 และการแข่งขันก็จบลงด้วยสกอร์นี้ สโลวาเกียจึงเอาชนะอิตาลีไปได้อย่างพลิกล็อก ตามปารากวัยเข้ารอบสองไป ขุนพลอัซซูรี่ทั้งหลายก็จำต้องโบกมือบ๊ายบายอำลาบอลโลกตั้งแต่รอบแรก
โรเบิร์ต วิทเท็ค ของสโลวาเกีย วิ่งกางแขนสะใจหลังพังประตูอิตาลีได้และเขี่ยแชมป์เก่าตกรอบแต่ไก่โห่
และครั้งต่อมา ในฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ ก็เป็นอีกปีหนึ่งซึ่งอิตาลีตกรอบแรกอีกครั้ง กลายเป็นทีมใหญ่ที่ตกรอบแรกฟุตบอลโลกถึง 2 สมัยติดต่อกัน! คราวนี้พวกเขาอยู่กลุ่ม D ร่วมสายกับ คอสตาริก้า อุรุกวัย และ อังกฤษ มีเพียงคอสตาริก้าเท่านั้นที่แทบทุกฝ่ายเห็นว่าน่าจะเป็น "หมู" หรือ "ขนมกรุบ" สำหรับทีมอัซซูรี่ ส่วนอุรุกวัยและอังกฤษเป็นงานยากกว่า แต่พอแข่งจริงกลับเกิด "ปรากฏการณ์ผ้าป่าคว่ำ!!" หลังจากอิตาลีนัดแรกชนะอังกฤษ 2-1 สวยสดงดงาม ฝันหวานที่จะเข้ารอบสองทันที นัดที่สอง ใครๆก็เชื่อว่าคอสตาริก้าต้องแพ้อิตาลีแน่ๆ จะเอาอะไรมาสู้ ปรากฏว่าโดน "หมูคอสตาริก้า" ขบเอา แพ้ไป 0-1 นัดสุดท้ายไม่มีทางเลือก ต้องชนะอุรุกวัยสถานเดียว แต่ผลลัพธ์กลายเป็นตรงกันข้าม แพ้ให้อุรุกวัยไปอย่างเจ็บแสบ 0-1 ตกรอบแรกไปอีกสมัยหนึ่ง
ยังไม่จบ ต่อพรุ่งนี้อีกวันครับ