อยากรบกวนสอบถามความคิดเห็นเพื่อนสมาชิกหน่อยครับ ว่าผมควรจ่ายค่ารักษาพยาบาลดีหรือไม่(เหตุการณ์ยาวมากครับใครสละเวลาอ่านจะขอบคุณมากครับ)
คือในวันที่ 14 พ.ค คุณพ่อผมได้พาคุณแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ซึ่งโดยปกติคุณพ่อผมรักษาที่นี่เป็นประจำอยู่แล้ว ส่วนคุณแม่ผมก็มีหาบ้างนานๆครั้ง แต่ที่ไปในครั้งนี้อาการหลักคือมีอาการปากชาและปลายนิ้วชาด้านซ้าย ประกอบกับมีอาการอาเจียนร่วมด้วย
โดยคุณพ่อผมได้โทรนัดหมายกับโรงพยาบาลก่อนหนึ่งวันเพื่อจะพบคุณหมอที่เคยรักษาด้านสมอง(แต่ตอนนั้นสวนตัวผมคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสมอง)เมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมายคุณพ่อผมได้พาคุณแม่ผมไปที่โรงพยาบาล แต่ระหว่างรอพบคุณหมอตามที่นัดไว้คุณแม่ผมเกิดการอาเจียนขึ้นมาอีกครั้ง และดูอาการไม่ดี พยาบาลจึงบอกให้เจ้าหน้าที่พาลงไปห้องฉุกเฉิน ซึ่งระหว่างช่วงเวลานี้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ฟังจากที่คุณพ่อเล่า โดยที่คุณพ่อผมโทรมาให้ผมรีบออกจากบ้านมาโรงพยาบาลด่วนเพราะแม่ต้องเข้าห้องฉุกเฉิน
คุณพ่อเล่าว่าตอนลงไปห้องฉุกเฉินก็พบกับคุณหมอผู้ชายท่านหนึ่งและคุณพ่อได้แจ้งอาการคุณแม่ พร้อมทั้งโรคประจำตัวคุณแม่และแสดงยาประจำตัวที่ท่านอยู่ประมาณ 10ชนิดให้คุณหมอผู้ชายดู โดยยาส่วนใหญ่เป็นยาเกี่ยวกับจิตรเวช ที่ซองยาก็เป็นซองยาของโรงพยาบาลจิต แล้วก็มียาละลายไขมันของโรงพยาบาลปิยะการุณด้วยหนึ่งตัว ซึ่งคุณแม่ผมมีโรคประจำตัวคือไบโพร่าเป็นมา30ปีได้ครับ
จากนั้นหมอผู้ชายจึงได้ขออนุญาตคุณพ่อผมทำ ct scan สมองคุณแม่คุณพ่อผมก็อนุญาตให้ทำได้ และระหว่างทำอยู่คุณแม่ผมก็อาเจียนระหว่างอยู่ในเครื่อง แต่ว่าก็สแกนได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว หลังออกจากห้องสแกนผมก็มาถึงโรงพยาบาล แม่ผมก็นอนให้น้ำเกลืออยู่ที่ห้องฉุกเฉิน พร้อมทั้งมีอาการคลื่นไส้อย่างมาก ที่ผมแม่มีเศษอาหารติดอยู่เยอะพอสมควร คุณพ่อแจ้งผมว่าหมอผู้ชายที่ดูทางด้านสมองสแกนแล้วไม่มีอะไร แล้วมีหมอผู้หญิงอีกท่านหนึ่งมาดูเรื่องที่แม่ผมคลื่นไส้กับชาอ่อนแรง ซึ่งยังไม่มีผลวินิจฉัยอะไร ระหว่างอยู่ในห้องฉุกเฉินคุณแม่ผมอาเจียนอีก พยาบาลแจ้งว่าห้ามกินน้ำเพราะจะยิ่งทำให้จะอาเจียน จนผมต้องหันไปถามว่าไม่มียาคลื่นไส้ให้แม่ผมเหรอ เค้าบอกว่ากำลังเบิกอยู่(ผมก็คิดในใจว่าผมขับรถมาจากนครปฐมใช้เวลาแล้วแม่ผมอ้วกไปหลายครั้งยาพึ่งจะได้สั่งหรือไง กว่ายาฉีดแก้อาเจียนจะมาผมว่ารวมๆแล้วก็2ชมที่แม่ผมอยู่ในห้องฉุกเฉิน)
พอซักพักคุณหมอผู้หญิงก็เกินมาแล้วแจ้งผมว่าเดี๋ยวจะส่งตัวคุณแม่ผมไปพบคุณหมอที่นัดไว้ตามเดิม ซึ่งผมประเมินด้วยตัวเองเบื่องต้นจากที่คุณแม่เคยต้องนอนโรงพยาบาลทุกครั้ง(แต่ไม่ใช้โรงพยาบาลนี้)ผมก็รู้สึกว่าครั้งนี้ก็คงจะต้องนอนอีก ผมจึงถามคุณหมอผู้หญิงไปว่าที่นี่มีคุณหมอทางด้านจิตรเวชหรือปล่าว หมอตอบว่ามีแต่ไม่ได้เข้าประจำ แต่จะมาจากศิริราชต้องใช้การนัดล่วงหน้า แล้วผมเลยถามว่าถ้าคุณแม่ผมต้องนอนโรงบาลจะมีหมอจิตมาตรวจมั้ย และแล้วปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น
หมอผู้หญิงท่านนั้นเลยบอกผมว่าที่นี่ไม่รับผู้ป่วยจิตรเวชเป็นผู้ป่วยใน เพราะไม่มีหมอและพยาบาลเฉพาะทางและห้องพักก็ยังไม่พร้อม ซึ่งผมก็ตกใจมากว่าโรงพยาบาลใหญ่ขนาดนี้จะไม่พร้อมได้อย่างไร แล้วจะทำยังไงต่อหากแม่ผมต้องนอนโรงพยาบาล ผมเลยถามหมอผู้หญิงไปเค้าแจ้งว่าอาจต้องไปนอนที่โรงพยาบาลอื่น แต่ยังไงลองคุยกับหมอที่นัดไว้อีกที
ผมจึงเดินมาบอกคุณพ่อผมว่าหมอผู้หญิงแจ้งแบบนี้ พ่อผมก็ไม่เชื่อบอกเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วผมก็ถามพ่อผมว่าได้แจ้งยาประจำตัวแม่ให้หมอผู้หญิงทราบหรือปล่าว พ่อผมบอกว่าเอาให้ดูทั้งสองคนเลยทั้งหมอผู้หญิงและผู้ชาย แต่ไม่มีใครแจ้งพ่อเลยว่าที่นี่ไม่รับคนไข้จิตรเวชเป็นผู้ป่วยใน ผมจึงคุยกับพ่อว่าเดี๋ยวยังไงขึ้นไปคุยกับหมอที่นัดไว้เพราะคุณพ่อผมก็เป็นคนไข้ของคุณหมอเหมือนกันว่าจริงๆยังไง
จากนั้นเราสามคนก็ขึ้นไปรอที่แผนกที่นัดไว้พยาบาลเข็นคุณแม่ผมไปนอนในห้องวัดความดันสวนสูง เพื่อรอตรวจกับคุณหมอ ซึ่งห้องนั้นเหมือนเป็นห้องที่เอกสารจะหล่นมาจากท่อจะมีเสียงของตกเป็นพักๆ และจะมีคนเข้ามาเอาเอกสารไป พยาบาลบางคนก็เข้ามาก็ถามว่าแม่ผมเป็นอะไร ซึ่งตอนแรกผมก็นึกว่าคงไม่นานคุณหมอคงตรวจคนไข้คนอื่นอยู่ แต่ผ่านไปประมาณ20นาทีก็ดูไม่มีทีท่าว่าคุณหมอจะมาตรวจ ผมเลยออกไปถามพยาบาลว่าคุณแม่ผมอีกกี่คิว ได้คำตอบว่าพอดีคุณหมอไม่อยู่ไปไหนซักแห่งเดี๋ยวกลับมา เลยให้คุณแม่ผมนอนพักผ่อนไปก่อน ผมเลยย้อนถามกลับไปว่าคุณให้คนไข้พักผ่อนในห้องแบบนี้เหรอ พยาบาลบอกว่าห้องอื่นมีหมอตรวจอยู่ไม่ว่าง ผมก็ทำเหมือนไม่พอใจ แล้วอยู่ดีๆห้องก็ว่างขึ้นมาเฉยเลย แล้วพยาบาลก็มาเข็นเตียงแม่ผมไปที่ห้องตรวจที่สงบเพื่อจะได้พักผ่อน
หลังจากย้ายห้องมาไม่นอนเท่าไรคุณหมอที่นัดไว้ก็เข้ามาแล้วแจ้งผมกับพ่อว่าขอเชิญมาคุยที่อีกห้องหนึ่ง ผมกับพ่อก็เดินตามไป คุณหมอก็แจ้งว่าดูผลสแกนจากห้องฉุกเฉินแล้วทางสมองไม่มีปัญหาอะไร แต่คุณหมอบอกว่าพอหมอเห็นรายการยาของแม่ผมแล้วก็ทราบว่าคุณแม่ผมมีโรคทางจิตซึ่งคุณหมอก็ลำบากใจ แต่ต้องแจ้งให้ทราบว่าทางโรงพยาบาลมีกฎไม่รับผู้ป่วยจิตรเวชเป็นผู้ป่วยใน(เป็นครั้งแรกที่ทางโรงพยาบาลแจ้งโดยที่ไม่นับที่ผมเป็นคนถามเอง) เพราะทางโรงพยาบาลยังไม่พร้อมรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ผมก็ถามคุณหมอว่าแล้วต้องทำยังไง คุณหมอก็บอกว่าเค้าก็หนักใจ แต่จะขอให้ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่นแทนเพราะคุณแม่ผมอาการยังไม่ดีต้องนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือและปรับยาบางตัวที่กินอยู่ ผมกับคุณพ่อก็ถามคุณหมอว่าพอจะขอทางโรงพยาบาลเป็นกรณีพิเศษได้ไหม คุณหมอบอกจะลองขอให้ แต่สุดท้ายคุณหมอแจ้งว่าไม่ได้แต่คุณหมอจะไม่คิดค่ารักษาในส่วนของคุณหมอเอง แต่ของคุณหมออีกสองท่านและค่าอื่นๆคุณหมอไม่ทราบ
หลังจากนั้นก็มีพยาบาลมาแจ้งว่าคุณแม่ผมกลับได้คุณหมอเซ็นให้กลับได้ไม่ต้องนอน หรือต้องใช้คำว่านอนที่นี่ไม่ได้ดีกว่า พยาบาลให้ใบรับรองแพทย์และบอกให้ไปชำระเงิน
สุดท้ายผมไม่ได้จ่ายเงินแต่เซ็นใบค่าใช้จ่ายพร้อมแนบใบร้องเรียนสองหน้ากระดาษ โดยเจ้าหน้าที่การเงินบอกว่าจะมีหน่วยงานทีเกี่ยวข้องติดต่อมาโดยเร็ว
ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาคือ
คุณแม่ผมไม่okกับปัญหาที่เกินขึ้นและไม่ยอมไปรักษาต่อที่อื่นเพราะเกิดความไม่สบายใจตามลักษณะอาการทางจิตของคุณแม่ผม ร้องไห้จะกลับบ้านอย่างเดียว เพราะคงรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้และเค้าก็คงรู้สึกเสียดายเงินด้วยเพราะ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่างๆจะไม่สามารถเบิกประกันได้เนื่องจากประกันของแม่ผมเป็นแบบต้องนอนเป็นผู้ป่วยในอย่างน้อย6ชม ถึงจะเบิกได้ ซึ่งคุณแม่ผมทราบเรื่องนี้ดี ยิ่งทำให้เค้าเครียดมาก
จริงๆมีเรื่องต่อจากนี้อีกมากแต่คิดว่าทุกท่านน่าจะเข้าใจปัญหาที่เกินขึ้นแล้วว่า
1. โรงพยาบาลไม่แจ้งให้คนไข้ทราบว่าไม่สามารถนอนรักษาได้ ทั้งๆที่หมอสองคนแรกรู้อยู่แล้วว่าแม่ผมมีอาการทางจิตรเวช
2.ในแง่มนุษยธรรม คือ แม่ผมนอนตัวสั่นตัวชา ไม่มีแรง เสียบสายให้น้ำเกลืออยู่ แต่กลับจะรีบให้เราออกๆจากโรงพยาบาลไป
*แต่ไม่มีการติดต่อใดๆจากโรงพยาบาลจนผ่านมาประมาณหนึ่งเดือน มีใบแจ้งหนี้ส่งมาที่บ้านผมจึงติดต่อไปเค้าก็บอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเดี๋ยวมีหน่วยงานที่เกี่ยวของติดต่อมา พอมีหน่วยงานพัฒนาองค์กรติดต่อมาผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เค้าก็บอกจะเอาไปแก้ไข ส่วนค่ารักษาเค้าไม่มีอำนาจ จะเป็นหน้าที่ของฝ่ายแรกอีกครั้ง ผมบอกงั้นโอนสายให้ผมคุยกับฝ่ายแรกว่าจะยังไงต่อ เค้าบอกโทรศัพท์โอนสายไม่ได้เดี๋ยวให้โทรกลับนี่ผ่านมาสองวันแล้วก็ยังไม่มีใครโทรมา
*อยากถามความเห็นสมาชิกที่นี่ว่าผมควรจ่ายเงินหรือไม่ครับ เพราะจริงๆเงินไม่ได้เยอะมากประมาณสองหมื่นบาท แต่ผมใจหนึ่งก็อยากสู้เพื่อคนอื่นที่อาจเกิดปัญหาแบบผมในภายหลังได้อีก ขอบคุณทุกท่านมากครับ
โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ ทำกับผู้ป่วยแบบนี้ถูกหรือไม่
คือในวันที่ 14 พ.ค คุณพ่อผมได้พาคุณแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ซึ่งโดยปกติคุณพ่อผมรักษาที่นี่เป็นประจำอยู่แล้ว ส่วนคุณแม่ผมก็มีหาบ้างนานๆครั้ง แต่ที่ไปในครั้งนี้อาการหลักคือมีอาการปากชาและปลายนิ้วชาด้านซ้าย ประกอบกับมีอาการอาเจียนร่วมด้วย
โดยคุณพ่อผมได้โทรนัดหมายกับโรงพยาบาลก่อนหนึ่งวันเพื่อจะพบคุณหมอที่เคยรักษาด้านสมอง(แต่ตอนนั้นสวนตัวผมคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสมอง)เมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมายคุณพ่อผมได้พาคุณแม่ผมไปที่โรงพยาบาล แต่ระหว่างรอพบคุณหมอตามที่นัดไว้คุณแม่ผมเกิดการอาเจียนขึ้นมาอีกครั้ง และดูอาการไม่ดี พยาบาลจึงบอกให้เจ้าหน้าที่พาลงไปห้องฉุกเฉิน ซึ่งระหว่างช่วงเวลานี้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ฟังจากที่คุณพ่อเล่า โดยที่คุณพ่อผมโทรมาให้ผมรีบออกจากบ้านมาโรงพยาบาลด่วนเพราะแม่ต้องเข้าห้องฉุกเฉิน
คุณพ่อเล่าว่าตอนลงไปห้องฉุกเฉินก็พบกับคุณหมอผู้ชายท่านหนึ่งและคุณพ่อได้แจ้งอาการคุณแม่ พร้อมทั้งโรคประจำตัวคุณแม่และแสดงยาประจำตัวที่ท่านอยู่ประมาณ 10ชนิดให้คุณหมอผู้ชายดู โดยยาส่วนใหญ่เป็นยาเกี่ยวกับจิตรเวช ที่ซองยาก็เป็นซองยาของโรงพยาบาลจิต แล้วก็มียาละลายไขมันของโรงพยาบาลปิยะการุณด้วยหนึ่งตัว ซึ่งคุณแม่ผมมีโรคประจำตัวคือไบโพร่าเป็นมา30ปีได้ครับ
จากนั้นหมอผู้ชายจึงได้ขออนุญาตคุณพ่อผมทำ ct scan สมองคุณแม่คุณพ่อผมก็อนุญาตให้ทำได้ และระหว่างทำอยู่คุณแม่ผมก็อาเจียนระหว่างอยู่ในเครื่อง แต่ว่าก็สแกนได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว หลังออกจากห้องสแกนผมก็มาถึงโรงพยาบาล แม่ผมก็นอนให้น้ำเกลืออยู่ที่ห้องฉุกเฉิน พร้อมทั้งมีอาการคลื่นไส้อย่างมาก ที่ผมแม่มีเศษอาหารติดอยู่เยอะพอสมควร คุณพ่อแจ้งผมว่าหมอผู้ชายที่ดูทางด้านสมองสแกนแล้วไม่มีอะไร แล้วมีหมอผู้หญิงอีกท่านหนึ่งมาดูเรื่องที่แม่ผมคลื่นไส้กับชาอ่อนแรง ซึ่งยังไม่มีผลวินิจฉัยอะไร ระหว่างอยู่ในห้องฉุกเฉินคุณแม่ผมอาเจียนอีก พยาบาลแจ้งว่าห้ามกินน้ำเพราะจะยิ่งทำให้จะอาเจียน จนผมต้องหันไปถามว่าไม่มียาคลื่นไส้ให้แม่ผมเหรอ เค้าบอกว่ากำลังเบิกอยู่(ผมก็คิดในใจว่าผมขับรถมาจากนครปฐมใช้เวลาแล้วแม่ผมอ้วกไปหลายครั้งยาพึ่งจะได้สั่งหรือไง กว่ายาฉีดแก้อาเจียนจะมาผมว่ารวมๆแล้วก็2ชมที่แม่ผมอยู่ในห้องฉุกเฉิน)
พอซักพักคุณหมอผู้หญิงก็เกินมาแล้วแจ้งผมว่าเดี๋ยวจะส่งตัวคุณแม่ผมไปพบคุณหมอที่นัดไว้ตามเดิม ซึ่งผมประเมินด้วยตัวเองเบื่องต้นจากที่คุณแม่เคยต้องนอนโรงพยาบาลทุกครั้ง(แต่ไม่ใช้โรงพยาบาลนี้)ผมก็รู้สึกว่าครั้งนี้ก็คงจะต้องนอนอีก ผมจึงถามคุณหมอผู้หญิงไปว่าที่นี่มีคุณหมอทางด้านจิตรเวชหรือปล่าว หมอตอบว่ามีแต่ไม่ได้เข้าประจำ แต่จะมาจากศิริราชต้องใช้การนัดล่วงหน้า แล้วผมเลยถามว่าถ้าคุณแม่ผมต้องนอนโรงบาลจะมีหมอจิตมาตรวจมั้ย และแล้วปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น
หมอผู้หญิงท่านนั้นเลยบอกผมว่าที่นี่ไม่รับผู้ป่วยจิตรเวชเป็นผู้ป่วยใน เพราะไม่มีหมอและพยาบาลเฉพาะทางและห้องพักก็ยังไม่พร้อม ซึ่งผมก็ตกใจมากว่าโรงพยาบาลใหญ่ขนาดนี้จะไม่พร้อมได้อย่างไร แล้วจะทำยังไงต่อหากแม่ผมต้องนอนโรงพยาบาล ผมเลยถามหมอผู้หญิงไปเค้าแจ้งว่าอาจต้องไปนอนที่โรงพยาบาลอื่น แต่ยังไงลองคุยกับหมอที่นัดไว้อีกที
ผมจึงเดินมาบอกคุณพ่อผมว่าหมอผู้หญิงแจ้งแบบนี้ พ่อผมก็ไม่เชื่อบอกเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วผมก็ถามพ่อผมว่าได้แจ้งยาประจำตัวแม่ให้หมอผู้หญิงทราบหรือปล่าว พ่อผมบอกว่าเอาให้ดูทั้งสองคนเลยทั้งหมอผู้หญิงและผู้ชาย แต่ไม่มีใครแจ้งพ่อเลยว่าที่นี่ไม่รับคนไข้จิตรเวชเป็นผู้ป่วยใน ผมจึงคุยกับพ่อว่าเดี๋ยวยังไงขึ้นไปคุยกับหมอที่นัดไว้เพราะคุณพ่อผมก็เป็นคนไข้ของคุณหมอเหมือนกันว่าจริงๆยังไง
จากนั้นเราสามคนก็ขึ้นไปรอที่แผนกที่นัดไว้พยาบาลเข็นคุณแม่ผมไปนอนในห้องวัดความดันสวนสูง เพื่อรอตรวจกับคุณหมอ ซึ่งห้องนั้นเหมือนเป็นห้องที่เอกสารจะหล่นมาจากท่อจะมีเสียงของตกเป็นพักๆ และจะมีคนเข้ามาเอาเอกสารไป พยาบาลบางคนก็เข้ามาก็ถามว่าแม่ผมเป็นอะไร ซึ่งตอนแรกผมก็นึกว่าคงไม่นานคุณหมอคงตรวจคนไข้คนอื่นอยู่ แต่ผ่านไปประมาณ20นาทีก็ดูไม่มีทีท่าว่าคุณหมอจะมาตรวจ ผมเลยออกไปถามพยาบาลว่าคุณแม่ผมอีกกี่คิว ได้คำตอบว่าพอดีคุณหมอไม่อยู่ไปไหนซักแห่งเดี๋ยวกลับมา เลยให้คุณแม่ผมนอนพักผ่อนไปก่อน ผมเลยย้อนถามกลับไปว่าคุณให้คนไข้พักผ่อนในห้องแบบนี้เหรอ พยาบาลบอกว่าห้องอื่นมีหมอตรวจอยู่ไม่ว่าง ผมก็ทำเหมือนไม่พอใจ แล้วอยู่ดีๆห้องก็ว่างขึ้นมาเฉยเลย แล้วพยาบาลก็มาเข็นเตียงแม่ผมไปที่ห้องตรวจที่สงบเพื่อจะได้พักผ่อน
หลังจากย้ายห้องมาไม่นอนเท่าไรคุณหมอที่นัดไว้ก็เข้ามาแล้วแจ้งผมกับพ่อว่าขอเชิญมาคุยที่อีกห้องหนึ่ง ผมกับพ่อก็เดินตามไป คุณหมอก็แจ้งว่าดูผลสแกนจากห้องฉุกเฉินแล้วทางสมองไม่มีปัญหาอะไร แต่คุณหมอบอกว่าพอหมอเห็นรายการยาของแม่ผมแล้วก็ทราบว่าคุณแม่ผมมีโรคทางจิตซึ่งคุณหมอก็ลำบากใจ แต่ต้องแจ้งให้ทราบว่าทางโรงพยาบาลมีกฎไม่รับผู้ป่วยจิตรเวชเป็นผู้ป่วยใน(เป็นครั้งแรกที่ทางโรงพยาบาลแจ้งโดยที่ไม่นับที่ผมเป็นคนถามเอง) เพราะทางโรงพยาบาลยังไม่พร้อมรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ผมก็ถามคุณหมอว่าแล้วต้องทำยังไง คุณหมอก็บอกว่าเค้าก็หนักใจ แต่จะขอให้ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่นแทนเพราะคุณแม่ผมอาการยังไม่ดีต้องนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือและปรับยาบางตัวที่กินอยู่ ผมกับคุณพ่อก็ถามคุณหมอว่าพอจะขอทางโรงพยาบาลเป็นกรณีพิเศษได้ไหม คุณหมอบอกจะลองขอให้ แต่สุดท้ายคุณหมอแจ้งว่าไม่ได้แต่คุณหมอจะไม่คิดค่ารักษาในส่วนของคุณหมอเอง แต่ของคุณหมออีกสองท่านและค่าอื่นๆคุณหมอไม่ทราบ
หลังจากนั้นก็มีพยาบาลมาแจ้งว่าคุณแม่ผมกลับได้คุณหมอเซ็นให้กลับได้ไม่ต้องนอน หรือต้องใช้คำว่านอนที่นี่ไม่ได้ดีกว่า พยาบาลให้ใบรับรองแพทย์และบอกให้ไปชำระเงิน
สุดท้ายผมไม่ได้จ่ายเงินแต่เซ็นใบค่าใช้จ่ายพร้อมแนบใบร้องเรียนสองหน้ากระดาษ โดยเจ้าหน้าที่การเงินบอกว่าจะมีหน่วยงานทีเกี่ยวข้องติดต่อมาโดยเร็ว
ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาคือ
คุณแม่ผมไม่okกับปัญหาที่เกินขึ้นและไม่ยอมไปรักษาต่อที่อื่นเพราะเกิดความไม่สบายใจตามลักษณะอาการทางจิตของคุณแม่ผม ร้องไห้จะกลับบ้านอย่างเดียว เพราะคงรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้และเค้าก็คงรู้สึกเสียดายเงินด้วยเพราะ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่างๆจะไม่สามารถเบิกประกันได้เนื่องจากประกันของแม่ผมเป็นแบบต้องนอนเป็นผู้ป่วยในอย่างน้อย6ชม ถึงจะเบิกได้ ซึ่งคุณแม่ผมทราบเรื่องนี้ดี ยิ่งทำให้เค้าเครียดมาก
จริงๆมีเรื่องต่อจากนี้อีกมากแต่คิดว่าทุกท่านน่าจะเข้าใจปัญหาที่เกินขึ้นแล้วว่า
1. โรงพยาบาลไม่แจ้งให้คนไข้ทราบว่าไม่สามารถนอนรักษาได้ ทั้งๆที่หมอสองคนแรกรู้อยู่แล้วว่าแม่ผมมีอาการทางจิตรเวช
2.ในแง่มนุษยธรรม คือ แม่ผมนอนตัวสั่นตัวชา ไม่มีแรง เสียบสายให้น้ำเกลืออยู่ แต่กลับจะรีบให้เราออกๆจากโรงพยาบาลไป
*แต่ไม่มีการติดต่อใดๆจากโรงพยาบาลจนผ่านมาประมาณหนึ่งเดือน มีใบแจ้งหนี้ส่งมาที่บ้านผมจึงติดต่อไปเค้าก็บอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเดี๋ยวมีหน่วยงานที่เกี่ยวของติดต่อมา พอมีหน่วยงานพัฒนาองค์กรติดต่อมาผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เค้าก็บอกจะเอาไปแก้ไข ส่วนค่ารักษาเค้าไม่มีอำนาจ จะเป็นหน้าที่ของฝ่ายแรกอีกครั้ง ผมบอกงั้นโอนสายให้ผมคุยกับฝ่ายแรกว่าจะยังไงต่อ เค้าบอกโทรศัพท์โอนสายไม่ได้เดี๋ยวให้โทรกลับนี่ผ่านมาสองวันแล้วก็ยังไม่มีใครโทรมา
*อยากถามความเห็นสมาชิกที่นี่ว่าผมควรจ่ายเงินหรือไม่ครับ เพราะจริงๆเงินไม่ได้เยอะมากประมาณสองหมื่นบาท แต่ผมใจหนึ่งก็อยากสู้เพื่อคนอื่นที่อาจเกิดปัญหาแบบผมในภายหลังได้อีก ขอบคุณทุกท่านมากครับ