ถ้าเสาร์อาทิตย์ใครว่างๆแล้วไม่รู้จะทำอะไร ไม่อยากนอนตีพุงอยู่บ้านเฉยๆ ลองไปนั่งเรือเที่ยวชิลๆที่คลองภาษีเจริญดูซิ มีความดีงามพระรามแปดจร้า
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเราแวะไปทำธุระแถวใกล้บีทีเอสบางหว้า แล้วหันไปเห็นป้ายว่ามันมีทางเชื่อมไปท่าเรือสะพานตากสิน-เพชรเกษม เราก็ไม่รู้หรอก ไม่คุ้นเลยด้วยว่ามันไปผ่านตรงไหนยังไง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากทำธุระเสร็จประมาณ 11 โมงกว่าๆเลยลองไปเซอร์เวย์ดูซะหน่อย จากสถานีเดินไปท่าเรือมีสกายวอล์คเชื่อม ค่อนข้างเดินไกลอยู่ไม่น้อยเหมือนกันกว่าจะถึงท่าเรือแต่ก็ถือว่าสะดวกดี พอมาถึงท่าเรือก็นั่งรอซักพักก็มีเรือมาเทียบท่า เราแปลกใจเล็กน้อยกับรูปร่างหน้าตาของเรือ ที่ต่างไปจากเรือโดยสาร เรือด่วนทั่วไป เรือดูมีความทันสมัยเว่อร์ มีความคล้ายเรือยอร์ช(อันนี้เรามโน ก็ไปพิจารณาจากรูปเอาเองละกัน) ดูมีความปลอดภัยกว่าเรือทั่วไป ค่าบริการเรือแค่ 15 บาทตลอดสาย ถือว่าไม่แพงเลยสำหรับเรา และยังสามารถใช้บัตรแรบบิทจ่ายได้ด้วย กิ๊บเก๋ไฮโซไปอีกขึ้นเรือแตะบัตรเนี่ย อารมณ์แบบแตะออกจากบีทีเอสแล้วมาแตะขึ้นเรือได้เลย
พอเราขึ้นเรือภายในเรือดูทันสมัยไม่แพ้ภายนอก มีแผนผังบอกเส้นทางว่าผ่านตรงไหนบ้าง ติดกล้องCCTV มีชูชีพให้พร้อม เสียเงิน 15 บาท แต่ความปลอดภัยนี่ให้คะแนนสิบสิบสิบไปเลยจร้า จากที่เราดูในแผนผังท่าที่เราขึ้นเป็นท่าที่ 4 ในเส้นทางคลองภาษีเจริญเชื่อมต่อกับสถานีบีทีเอสบางหว้า แต่เส้นทางคลองนี้มีทั้งหมด 15 ท่า เราลองถามพนักงานที่อยู่บนเรือ เราก็ไม่รู้ว่าเค้าเรียกกันว่าอะไร แต่เราคิดว่าเค้าน่าจะรู้ว่าแต่ละท่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง

พอเราได้ข้อมูลมาปุ๊บเราก็ตัดสินใจนั่งเรือไปท่าก่อนท่าสุดท้าย ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดม่วง โดยวัดจะอยู่ติดริมคลองเลย สำหรับเราวัดนี้ค่อนข้างสวย ดูสะอาดสะอ้านดี ฝั่งตรงข้ามคลองจะมีสถานีตำรวจเพชรเกษมตั้งอยู่ เราใช้เวลาอยู่ที่วัดนี้ไม่นานมากเพราะเราอยากสำรวจเส้นทางทั้งเส้นก่อน เผื่อรอบหน้าชวนใครมานั่งเรือเล่นเป็นเพื่อน

หลังจากได้ออกมาจากวัดม่วงเราก็นั่งเรือต่อกะจะมาลงศาลเจ้าแม่ทับทิมหลักสอง แต่ฝนดันตกซะก่อนเลยไม่ได้ลงไป จากที่มองจากในเรือศาลเจ้าค่อนข้างใหญ่ และน่าจะสวยมาก แต่เพราะฝนตกเราเลยต้องนั่งเรือผ่านไปอย่างน่าเสียดาย แต่เราก็ไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้นเพราะฝนเริ่มซาก่อนที่เราจะถึงที่หมายถัดไปพอดี คือ วัดนิมมานรดี เราลงจากเรืออีกครั้งวัดนี้ค่อนข้างใหญ่พอสมควร และยังมีศาลเจ้าแม่กวนอิมในวัดด้วย เราแวะไหว้พระถ่ายรูปซักพัก ก็เริ่มหิว และอยากหาอะไรลงท้อง จึงลองถามคนแถวนั้นว่าแถวนี้มีร้านข้าวอะไรบ้าง เค้าแนะนำมาว่าให้ข้ามไปฝั่งตรงข้ามที่เคยเป็นตลาดน้ำโบราณยังพอมีร้านข้าวเปิดอยู่บ้าง เราก็เดินข้ามฝั่งไป ก็เป็นอย่างที่คนแถวนั้นบอกไม่มีผิดมีร้านเปิดอยู่น้อยมาก แทบจะมองไม่รู้เลยว่ามันเคยเป็นตลาดมาก่อน แต่บรรยากาศก็ยังมีความเก่าแก่อยู่ เราข้ามสะพานตรงใกล้ๆกับท่าเรือ ตรงละแวกนั้นมีร้านขายของชำเปิดอยู่ 2 ร้าน มีร้านขายอาหารปลา และแผงขายน้ำเล็กๆอยู่ 2 ร้าน และก็ร้านขายอาหารตามสั่งที่เราคิดว่าคงจะฝากท้องไว้ที่ร้านนี้ ร้านนี้ยังขายอาหารจานละ 35 บาทอยู่ ซึ่งหายากมากแล้วในกรุงเทพฯ

หลังจากที่กินข้าวเสร็จเราก็ข้ามฝั่งกลับมา เพื่อรอจะขึ้นเรือ แต่ระหว่างที่รอเรือก็หันไปเห็นบริเวณสำหรับให้อาหารปลาใกล้กับท่าเรือ เราก็เลยให้อาหารปลาระหว่างรอขึ้นเรือ พอได้ขึ้นเรือเราก็ไปที่ต่อไปทันที
จากวัดนิมเราจะไปต่อที่วัดอ่างแก้วซึ่งต้องผ่านหลายท่าเหมือนกันกว่าจะถึงวัดอ่างแก้ว ระหว่างทางผ่านอีกวัดนึงด้วยก็คือ วัดรางบัว แต่เราไม่ได้แวะลงไปเพราะจากข้อมูลที่ได้มาวัดจะเปิดเฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น พอถึงวัดอ่างแก้วเราก็ลงมาไหว้พระ บรรยากาศวัดนี้ค่อนข้างเงียบสงบมาก ถ้าไม่บอกว่าเป็นวัดในกรุงเทพฯเราคงคิดว่าวัดนี้อยู่ต่างจังหวัดแน่ๆ หลังจากไหว้พระเสร็จเราก็ไปรอขึ้นเรือ ใกล้ๆท่าเรือมีร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ และร้านลูกชิ้นปิ้งขายอยู่ข้างๆกันดูท่าทางน่าจะอร่อยเพราะคนนั่งกันเยอะ

จากนั้นเราไปรอขึ้นเรือเพื่อไปยังที่หมายสุดท้ายของสำรวจของเรานั่นก็คือ วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นวัดที่ดังมาก ก ล้านตัว ซึ่งจากท่าวัดอ่างแก้วไปถึงท่าวัดปากน้ำก็ใช้เวลาพอสมควร พอมาถึงวัดปากน้ำก็ใช้เวลาพอสมควรเดินจากท่าเรือไปที่วัด วัดปากน้ำเป็นวัดที่ใหญ่มาก แค่เห็นแผนผังของวัดเรายังรู้สึกเหนื่อยแล้ว เราเลยเลือกที่จะไปแค่ตรงที่สำคัญๆในวัดเท่านั้น

ที่แรกคือ หอสังเวชนีย์มงคลเทพนิรมิต เป็นที่ประดิษฐานสรีระของหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลังจากไหว้หลวงพ่อแล้วเราก็จะไปพระมหาเจดีย์มหารัชมงคล ที่เค้าร่ำลือกันถึงความอลังการงานสร้าง ซึ่งระหว่างทางเราก็ได้แวะไปดูสวนกาญจนาภิเษก เป็นสวนหย่อมที่บรรยากาศร่มรื่นมาก อยู่ติดริมคลองด้วย มีม้าหินไว้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ เป็นสวนที่น่ามานั่งเล่นรับลมมากเลยทีเดียว เราถ่ายรูปสวนอยู่สักพักก็ไปยังพระมหาเจดีย์มหารัชมงคลต่อ
ด้านล่างของพระมหาเจดีย์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมของโบราณไว้ชุดใหญ่ไฟกะพริบ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ รถ ของใช้ต่างๆ รวมถึงมีแบบจำลองของพระรัตนเจดีย์ศรีมหามงคล หรือเจดีย์แก้วที่อยู่ชั้นบนสุดของพระมหาเจดีย์นั่นเอง เมื่อเราเดินจนรอบพิพิธภัณฑ์แล้วเราเลยขึ้นไปดูบนพระมหาเจดีย์ พระมหาเจดีย์มีทั้งหมด 5 ชั้น ถ้าให้ขึ้นบันไดก็คงมีหอบอยู่เหมือนกัน แต่พระมหาเจดีย์มีลิฟท์ไว้ให้บริการ แต่จะเปิดให้ใช้แค่เสาร์อาทิตย์เท่านั้น เพราะงั้นใครมาวันธรรมดาก็เดินขึ้นบันไดออกกำลังกายกันไป
เราเริ่มต้นจากชั้นบนสุดก่อนซึ่งทำเป็นโดมโค้งๆที่เพดานโดมวาดลวดลายสวยๆไว้ เราก็ไม่รู้ว่ามันคือรูปอะไร ชั้นนี้ประดิษฐานเจดีย์แก้ว เป็นเจดีย์ที่สวยงาม ตระการตามาก และยังมีทางออกไปด้านนอกไปดูวิวรอบๆเจดีย์ได้อีกด้วย หลังจากที่เราเดินดูวิวรอบเจดีย์ ถ่ายรูปจนหนำใจ ก็ลงมาที่ชั้นถัดมาจะเป็นห้องกระจกที่ด้านในที่ประดิษฐานรูปเหมือนบูรพาจารย์ (อันนี้ถามคนที่วัดมา) ชั้นนี้จะวังเวงๆ น่ากลัวๆ ถ้ามาคนเดียวคงจะมีเสียวสันหลังเบาๆ ชั้นถัดลงมาอีกก็จะเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมพระเก่าสมัยโบราณไว้ ชั้นถัดลงมาเป็นชั้นสุดท้ายก่อนถึงชั้นพิพิธภัณฑ์ด้านล่างคือชั้นที่มีไว้ให้สำหรับคนที่จะมาปฏิบัติธรรม

ท่าเรือที่มาลงวัดปากน้ำเป็นท่าต้นสายของเรือคลองภาษีเจริญ จริงๆที่ฝั่งตรงข้ามคลองมีวัดนวลนรดิศอยู่แต่เราไม่ได้ข้ามไปที่วัดนั้น เพราะเริ่มเหนื่อย เริ่มไม่อยากเดินต่อแล้ว เราจึงไปรอเรือเพื่อกลับมาสถานีบางหว้าแล้วนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน
นี่ก็คือทริปเที่ยวแบบไม่ได้ตั้งใจในหนึ่งวันของเรา ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เป็นความอินดี้ของเราล้วนๆเลยที่อยู่ๆจะไปก็ไปเลยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ก็ได้ความอิ่มบุญจากการไหว้พระ เราว่าคลองภาษีเจริญเป็นอีกคลองที่น่าสนใจ แม้ว่าระยะทางจะไม่ได้ยาวมาก แต่ก็ผ่านหลายสถานที่ที่น่าสนใจ มีเรือที่สะดวกสบาย และทันสมัยคอยรับส่ง เราอยากให้ทุกคนมาลองนั่งเรือคลองภาษีเจริญเที่ยวเหมือนเราดูสักครั้ง มานั่งเรือชมสองฝั่งคลอง แวะทำบุญไหว้พระตามวัดริมคลอง ยิ่งถ้าเป็นช่วงเทศกาลเราว่าคงจะครึกครื้นน่าดู เดินทางก็แสนจะสะดวกสุดๆ เพราะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส ลองมาเที่ยวกันดูสักครั้งรับรองไม่ผิดหวังแน่นอนเราคอนเฟิร์มจร้า
ปล.เรือคลองภาษีเจริญในวันเสาร์อาทิตย์จะออกจากท่าต้นสายทุกๆ 1 ชั่วโมงตั้งแต่ 7.00น.-18.00น. (รู้มาจากพนักงานบนเรือ)
[CR] เสาร์อาทิตย์ไปนั่งเรือเที่ยวคลองภาษีเจริญกันเถอะ
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเราแวะไปทำธุระแถวใกล้บีทีเอสบางหว้า แล้วหันไปเห็นป้ายว่ามันมีทางเชื่อมไปท่าเรือสะพานตากสิน-เพชรเกษม เราก็ไม่รู้หรอก ไม่คุ้นเลยด้วยว่ามันไปผ่านตรงไหนยังไง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากทำธุระเสร็จประมาณ 11 โมงกว่าๆเลยลองไปเซอร์เวย์ดูซะหน่อย จากสถานีเดินไปท่าเรือมีสกายวอล์คเชื่อม ค่อนข้างเดินไกลอยู่ไม่น้อยเหมือนกันกว่าจะถึงท่าเรือแต่ก็ถือว่าสะดวกดี พอมาถึงท่าเรือก็นั่งรอซักพักก็มีเรือมาเทียบท่า เราแปลกใจเล็กน้อยกับรูปร่างหน้าตาของเรือ ที่ต่างไปจากเรือโดยสาร เรือด่วนทั่วไป เรือดูมีความทันสมัยเว่อร์ มีความคล้ายเรือยอร์ช(อันนี้เรามโน ก็ไปพิจารณาจากรูปเอาเองละกัน) ดูมีความปลอดภัยกว่าเรือทั่วไป ค่าบริการเรือแค่ 15 บาทตลอดสาย ถือว่าไม่แพงเลยสำหรับเรา และยังสามารถใช้บัตรแรบบิทจ่ายได้ด้วย กิ๊บเก๋ไฮโซไปอีกขึ้นเรือแตะบัตรเนี่ย อารมณ์แบบแตะออกจากบีทีเอสแล้วมาแตะขึ้นเรือได้เลย
พอเราขึ้นเรือภายในเรือดูทันสมัยไม่แพ้ภายนอก มีแผนผังบอกเส้นทางว่าผ่านตรงไหนบ้าง ติดกล้องCCTV มีชูชีพให้พร้อม เสียเงิน 15 บาท แต่ความปลอดภัยนี่ให้คะแนนสิบสิบสิบไปเลยจร้า จากที่เราดูในแผนผังท่าที่เราขึ้นเป็นท่าที่ 4 ในเส้นทางคลองภาษีเจริญเชื่อมต่อกับสถานีบีทีเอสบางหว้า แต่เส้นทางคลองนี้มีทั้งหมด 15 ท่า เราลองถามพนักงานที่อยู่บนเรือ เราก็ไม่รู้ว่าเค้าเรียกกันว่าอะไร แต่เราคิดว่าเค้าน่าจะรู้ว่าแต่ละท่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
พอเราได้ข้อมูลมาปุ๊บเราก็ตัดสินใจนั่งเรือไปท่าก่อนท่าสุดท้าย ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดม่วง โดยวัดจะอยู่ติดริมคลองเลย สำหรับเราวัดนี้ค่อนข้างสวย ดูสะอาดสะอ้านดี ฝั่งตรงข้ามคลองจะมีสถานีตำรวจเพชรเกษมตั้งอยู่ เราใช้เวลาอยู่ที่วัดนี้ไม่นานมากเพราะเราอยากสำรวจเส้นทางทั้งเส้นก่อน เผื่อรอบหน้าชวนใครมานั่งเรือเล่นเป็นเพื่อน
หลังจากได้ออกมาจากวัดม่วงเราก็นั่งเรือต่อกะจะมาลงศาลเจ้าแม่ทับทิมหลักสอง แต่ฝนดันตกซะก่อนเลยไม่ได้ลงไป จากที่มองจากในเรือศาลเจ้าค่อนข้างใหญ่ และน่าจะสวยมาก แต่เพราะฝนตกเราเลยต้องนั่งเรือผ่านไปอย่างน่าเสียดาย แต่เราก็ไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้นเพราะฝนเริ่มซาก่อนที่เราจะถึงที่หมายถัดไปพอดี คือ วัดนิมมานรดี เราลงจากเรืออีกครั้งวัดนี้ค่อนข้างใหญ่พอสมควร และยังมีศาลเจ้าแม่กวนอิมในวัดด้วย เราแวะไหว้พระถ่ายรูปซักพัก ก็เริ่มหิว และอยากหาอะไรลงท้อง จึงลองถามคนแถวนั้นว่าแถวนี้มีร้านข้าวอะไรบ้าง เค้าแนะนำมาว่าให้ข้ามไปฝั่งตรงข้ามที่เคยเป็นตลาดน้ำโบราณยังพอมีร้านข้าวเปิดอยู่บ้าง เราก็เดินข้ามฝั่งไป ก็เป็นอย่างที่คนแถวนั้นบอกไม่มีผิดมีร้านเปิดอยู่น้อยมาก แทบจะมองไม่รู้เลยว่ามันเคยเป็นตลาดมาก่อน แต่บรรยากาศก็ยังมีความเก่าแก่อยู่ เราข้ามสะพานตรงใกล้ๆกับท่าเรือ ตรงละแวกนั้นมีร้านขายของชำเปิดอยู่ 2 ร้าน มีร้านขายอาหารปลา และแผงขายน้ำเล็กๆอยู่ 2 ร้าน และก็ร้านขายอาหารตามสั่งที่เราคิดว่าคงจะฝากท้องไว้ที่ร้านนี้ ร้านนี้ยังขายอาหารจานละ 35 บาทอยู่ ซึ่งหายากมากแล้วในกรุงเทพฯ
หลังจากที่กินข้าวเสร็จเราก็ข้ามฝั่งกลับมา เพื่อรอจะขึ้นเรือ แต่ระหว่างที่รอเรือก็หันไปเห็นบริเวณสำหรับให้อาหารปลาใกล้กับท่าเรือ เราก็เลยให้อาหารปลาระหว่างรอขึ้นเรือ พอได้ขึ้นเรือเราก็ไปที่ต่อไปทันที
จากวัดนิมเราจะไปต่อที่วัดอ่างแก้วซึ่งต้องผ่านหลายท่าเหมือนกันกว่าจะถึงวัดอ่างแก้ว ระหว่างทางผ่านอีกวัดนึงด้วยก็คือ วัดรางบัว แต่เราไม่ได้แวะลงไปเพราะจากข้อมูลที่ได้มาวัดจะเปิดเฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น พอถึงวัดอ่างแก้วเราก็ลงมาไหว้พระ บรรยากาศวัดนี้ค่อนข้างเงียบสงบมาก ถ้าไม่บอกว่าเป็นวัดในกรุงเทพฯเราคงคิดว่าวัดนี้อยู่ต่างจังหวัดแน่ๆ หลังจากไหว้พระเสร็จเราก็ไปรอขึ้นเรือ ใกล้ๆท่าเรือมีร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ และร้านลูกชิ้นปิ้งขายอยู่ข้างๆกันดูท่าทางน่าจะอร่อยเพราะคนนั่งกันเยอะ
จากนั้นเราไปรอขึ้นเรือเพื่อไปยังที่หมายสุดท้ายของสำรวจของเรานั่นก็คือ วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นวัดที่ดังมาก ก ล้านตัว ซึ่งจากท่าวัดอ่างแก้วไปถึงท่าวัดปากน้ำก็ใช้เวลาพอสมควร พอมาถึงวัดปากน้ำก็ใช้เวลาพอสมควรเดินจากท่าเรือไปที่วัด วัดปากน้ำเป็นวัดที่ใหญ่มาก แค่เห็นแผนผังของวัดเรายังรู้สึกเหนื่อยแล้ว เราเลยเลือกที่จะไปแค่ตรงที่สำคัญๆในวัดเท่านั้น
ที่แรกคือ หอสังเวชนีย์มงคลเทพนิรมิต เป็นที่ประดิษฐานสรีระของหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลังจากไหว้หลวงพ่อแล้วเราก็จะไปพระมหาเจดีย์มหารัชมงคล ที่เค้าร่ำลือกันถึงความอลังการงานสร้าง ซึ่งระหว่างทางเราก็ได้แวะไปดูสวนกาญจนาภิเษก เป็นสวนหย่อมที่บรรยากาศร่มรื่นมาก อยู่ติดริมคลองด้วย มีม้าหินไว้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ เป็นสวนที่น่ามานั่งเล่นรับลมมากเลยทีเดียว เราถ่ายรูปสวนอยู่สักพักก็ไปยังพระมหาเจดีย์มหารัชมงคลต่อ
ด้านล่างของพระมหาเจดีย์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมของโบราณไว้ชุดใหญ่ไฟกะพริบ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ รถ ของใช้ต่างๆ รวมถึงมีแบบจำลองของพระรัตนเจดีย์ศรีมหามงคล หรือเจดีย์แก้วที่อยู่ชั้นบนสุดของพระมหาเจดีย์นั่นเอง เมื่อเราเดินจนรอบพิพิธภัณฑ์แล้วเราเลยขึ้นไปดูบนพระมหาเจดีย์ พระมหาเจดีย์มีทั้งหมด 5 ชั้น ถ้าให้ขึ้นบันไดก็คงมีหอบอยู่เหมือนกัน แต่พระมหาเจดีย์มีลิฟท์ไว้ให้บริการ แต่จะเปิดให้ใช้แค่เสาร์อาทิตย์เท่านั้น เพราะงั้นใครมาวันธรรมดาก็เดินขึ้นบันไดออกกำลังกายกันไป
เราเริ่มต้นจากชั้นบนสุดก่อนซึ่งทำเป็นโดมโค้งๆที่เพดานโดมวาดลวดลายสวยๆไว้ เราก็ไม่รู้ว่ามันคือรูปอะไร ชั้นนี้ประดิษฐานเจดีย์แก้ว เป็นเจดีย์ที่สวยงาม ตระการตามาก และยังมีทางออกไปด้านนอกไปดูวิวรอบๆเจดีย์ได้อีกด้วย หลังจากที่เราเดินดูวิวรอบเจดีย์ ถ่ายรูปจนหนำใจ ก็ลงมาที่ชั้นถัดมาจะเป็นห้องกระจกที่ด้านในที่ประดิษฐานรูปเหมือนบูรพาจารย์ (อันนี้ถามคนที่วัดมา) ชั้นนี้จะวังเวงๆ น่ากลัวๆ ถ้ามาคนเดียวคงจะมีเสียวสันหลังเบาๆ ชั้นถัดลงมาอีกก็จะเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมพระเก่าสมัยโบราณไว้ ชั้นถัดลงมาเป็นชั้นสุดท้ายก่อนถึงชั้นพิพิธภัณฑ์ด้านล่างคือชั้นที่มีไว้ให้สำหรับคนที่จะมาปฏิบัติธรรม
ท่าเรือที่มาลงวัดปากน้ำเป็นท่าต้นสายของเรือคลองภาษีเจริญ จริงๆที่ฝั่งตรงข้ามคลองมีวัดนวลนรดิศอยู่แต่เราไม่ได้ข้ามไปที่วัดนั้น เพราะเริ่มเหนื่อย เริ่มไม่อยากเดินต่อแล้ว เราจึงไปรอเรือเพื่อกลับมาสถานีบางหว้าแล้วนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน
นี่ก็คือทริปเที่ยวแบบไม่ได้ตั้งใจในหนึ่งวันของเรา ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เป็นความอินดี้ของเราล้วนๆเลยที่อยู่ๆจะไปก็ไปเลยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ก็ได้ความอิ่มบุญจากการไหว้พระ เราว่าคลองภาษีเจริญเป็นอีกคลองที่น่าสนใจ แม้ว่าระยะทางจะไม่ได้ยาวมาก แต่ก็ผ่านหลายสถานที่ที่น่าสนใจ มีเรือที่สะดวกสบาย และทันสมัยคอยรับส่ง เราอยากให้ทุกคนมาลองนั่งเรือคลองภาษีเจริญเที่ยวเหมือนเราดูสักครั้ง มานั่งเรือชมสองฝั่งคลอง แวะทำบุญไหว้พระตามวัดริมคลอง ยิ่งถ้าเป็นช่วงเทศกาลเราว่าคงจะครึกครื้นน่าดู เดินทางก็แสนจะสะดวกสุดๆ เพราะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส ลองมาเที่ยวกันดูสักครั้งรับรองไม่ผิดหวังแน่นอนเราคอนเฟิร์มจร้า
ปล.เรือคลองภาษีเจริญในวันเสาร์อาทิตย์จะออกจากท่าต้นสายทุกๆ 1 ชั่วโมงตั้งแต่ 7.00น.-18.00น. (รู้มาจากพนักงานบนเรือ)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น