สวัสดีค่ะ วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2560) เราจะพาไปชมบรรยากาศและวิถีชีวิตริมสองฝั่งคลองโดยการนั่งเรือในคลองภาษีเจริญ เป็นที่ทราบกันดีว่ากรุงเทพมหานครในอดีตนั้น ได้ชื่อว่าเป็น เวนิสตะวันออก เพราะมีคลองมากมายหลายสายเพื่อใช้ในการสัญจรทางเรือ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษผู้มีชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำกันมาแต่ช้านาน
ปัจจุบันการเจริญทางวัตถุต่างๆและความสะดวกสบายกำลังกลืนกินสิ่งเหล่านี้ไปเกือบหมดอย่างน่าเสียดาย คูคลองต่างๆ ถูกถมให้กลายเป็นถนนหนทาง การสัญจรทางเรือก็ถูกแทนที่โดยรถจักรยานยนต์ รถยนต์โดยสาร รถยนต์ส่วนบุคคล และรถไฟฟ้า แต่เมื่อไม่นานมานี้ในฐานะประชาชนคนนึงก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากทางกรุงเทพมหานครซึ่งพยายามพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เชื่อมโยงรถไฟฟ้า รถเมล์ และเรือเป็นระบบเดียวกันเพื่อลดปัญหาการจราจร โดยจัดตั้งโครงการศูนย์พัฒนาเชื่อมต่อการเดินทางล้อ-ราง-เรือ ที่สถานีรถไฟฟ้าบางหว้า เอาล่ะ อยู่ในโหมดมีสาระมานานแระ เปลี่ยนโหมดกันบ้างดีกว่าเนอะ
จริงๆแล้วเรานัดกับรุ่นพี่สมัยมหาลัยไว้ว่าจะพานางไปสอนขับรถ ก็คิดๆว่าจะพาไปลองขับแถวพุทธมณฑล ถนนอักษะอะไรประมาณนี้ เพราะแถวนั้นถนนกว้างและรถก็ไม่เยอะมาก ปกติก็ไม่ค่อยได้ไปแถวนั้นหรอก แต่ช่วงนี้ไปเที่ยวเล่นแถวนั้นบ่อยๆ เลยพอจะเริ่มรู้จักทางแถวๆนั้นบ้าง อิอิ
เราเลยชวนนางว่าเดี๋ยวเราพาไปนั่งเรือเที่ยวด้วย แถวนั้นมีตลาด มีวัดเยอะ จะได้ไปทำบุญไหว้พระ ให้อาหารปลา และก็หาของกินกัน ซึ่งก็ถูกใจนางเลยคร่า (พี่คนนี้เป็นคนเรียบง่าย ชอบอะไรติดดิน ห้าวๆ ธรรมะธัมโม)
ซึ่งคุยกันไว้นานเป็นอาทิตย์แระ เราจำได้อ่ะแระแต่งานก็ยุ่งๆ อ่ะ ช่วงนี้เลยไม่ได้ติดต่อกันเลย พอคืนวันศุกร์ก็แชทไปถามว่าให้ไปรับกี่โมงดี นางก็แบบวันหยุดเนอะ ตื่นกันสายๆหน่อย มารับที่หอสักสิบโมงล่ะกัน เราก็แบบโอเค แต่คิดในใจ เราต้องตื่นเช้าอยู่ดีชิมิ เพราะคอนโดอยู่ประชาชื่นคร่าท่านผู้ชม ส่วนหอนางอยู่ปิ่นเกล้า แล้วเราเป็นคนที่ชอบทำอะไรโอ้เอ้อีกด้วย หลังจากนั้นก็คุยกันถึงเรื่องที่จะไปนั่งเรือเที่ยว โดยเริ่มหาข้อมูลเรื่องเส้นทางและตารางการเดินเรือ วัดต่างๆที่อยู่ในเส้นทางที่เราสามารถแวะไปทำบุญไหว้พระ ร้านอาหารและตลาดเพื่อหาของกิน (นี่คือสิ่งสำคัญของเราเลยจ้า) คุยกันเรื่องนู่นนี่จนดึกดื่น
สรุปตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวทำอะไรเสร็จก็ปาไปสิบโมงแระจ้า สบายใจเลยคร่าคู๊ณณณณณ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ไปถึงหอนางประมาณสิบโมงกว่าๆ นางก็แบบว่าพี่เพิ่งเสร็จพอดีเลยเนี่ยรีบมาก เพราะปกติเธอจะมาตรงเวลาตลอด (หึหึ สายบ้างก็ได้มั้ย)
รับนางเสร็จเราก็บ่น เลยค่ะ หิวอ่ะ หิวๆๆๆๆ ยังไม่ได้กินอะไรเลย ตื่นสายอ่ะ ไปกินข้าวกันก่อนน้า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง มีร้านแนะนำหลายร้านเลย (เรารู้จักกับนางมาสิบกว่าปี แล้วเราก็นิสัยเด็ก ชอบอ้อน) นางก็โอเค งั้นก็เลทส์โก.........
เราพานางมาร้านบางหว้าขาหมู อยู่ใกล้ๆ ซอยเพชรเกษม 46/2 ตอนนี้จะเป็นซอยเล็กๆ สวนกันลำบากนิดนึงแต่มี รปภ. คอยดูให้ทั้งขาเข้าและขาออก ขับเข้าซอยไปนิดเดียวก็เจอร้านอยู่ซ้ายมือ ลักษณะร้านเป็นเหมือนลานจอดรถ มีเต๊นท์โล่งๆซึ่งหลังคามุงเมทัลชีท แล้วก็มีโต๊ะตั้งเยอะๆ มีส่วนที่ทำอาหารเปิดโล่ง แต่มีที่จอดรถเยอะ อยู่รอบๆ ส่วนที่เป็นร้าน สะดวกสบายดี (ลืมถ่ายรูปร้านมา หิวมากกกกก และก็ไม่ได้คิดว่าจะมาเล่าอะไรแบบนี้ด้วย) เราก็สั่งข้าวขาหมูไม่เอาหนัง 2 จาน พร้อมกับมะระตุ๋นยาจีน 1 โถค่ะ
หลังจากกินอิ่มแล้วก็หนังท้องตึงหนังตาหย่อน เดี๋ยวๆๆๆๆ ไม่ใช่แระ เราก็เดินทางกันต่อ เราแอบขอแวะซื้อของที่ซีคอน บางแค แป๊บนึง นางก็โอเค แต่สุดท้ายคนที่เลือกของนานคือนางค่ะ เพราะไปเจอเป้เดินทางพอดี นางมีทริปแบคแพคไปประเทศเพื่อนบ้านเร็วๆนีเลยเสียเวลากันไปพอสมควร เราศึกษาเส้นทางเดินเรือมาก้จริงแต่เราไม่รู้ว่ามีท่าเรือไหนที่จอดรถได้บ้าง ไม่ใช่คนแถวนี้นี่หน่า เราตัดสินใจขับรถไปวัดนิมมานรดี เพราะเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและท่าเรือซึ่งก็มีที่จอดรถจริงๆ ด้วย
วัดนิมมานรดี ตั้งอยู่ติดคลองภาษีเจริญ เดิมมีนามว่า “วัดบางแค” สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ 1ประมาณปี พ.ศ. 2350 เราก็เข้าไปไหว้พระพุทธรูปในโบสถ์ และพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมที่ศาลาริมคลอง แล้วก็ให้อาหารปลาที่ท่าน้ำ (กิจกรรมโปรดของเราเลยค่ะ) เวลาเครียดๆ เราชอบมานั่งรับลมเย็นๆ ริมน้ำและมองน้ำไหลเอื่อยๆดูไม่รีบเร่ง รู้สึกสบายใจและผ่อนคลายดี แต่ขณะเดียวกันเราก็ได้เรียนรู้สัจธรรมว่าสายน้ำไม่ไหลย้อนกลับเ เพราะฉะนั้นอยากทำอะไรก็ต้องทำซะ บางครั้งเมื่อเวลาผ่านไปแล้วเราก็ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก
เสร็จแล้วเราก็เดินหาของกินนิดหน่อย เพราะแถวนั้นเคยเป็นตลาด แต่คิดว่าน่าจะมีคนไปเที่ยวน้อย คนเลยไม่ค่อยมีคนมาขายของเท่าไหร่แล้ว หลังจากเดินถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ พอใกล้เวลาเราก็มาที่ท่าเรือ อ่อ ลืมเส้นทางกับตารางการเดินเรือเลยเนอะ เราเอามาจากในเน็ตนะ
ทีนี้เราสองคนเริ่มเถียงกันเนื่องจากพี่เค้าอยากไปวัดนวลนรดิศเพราะเส้นทางนั่งเรือยาวกว่า แต่เราเลือกไปวัดม่วง เพราะเราอยากรีบไปรีบกลับ อย่าลืมว่าต้องไปหัดขับรถต่อ (เอ๊ะ เหมือนทุกคนจะลืมเรื่องนี้กันไปเลย) นางก็บอกว่าเลื่อนไปก่อนก็ได้ เราบอกไม่ได้เพราะเป็นสิ่งที่เราตั้งใจมากันวันนี้ สรุปได้ไปวัดม่วงจ้า
วัดม่วง ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษม 63 แขวงหลักสอง เขตบางแค กรุงเทพมหานคร ตามประวัติสร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. 2366 ปลายรัชกาลที่ 2 โดยมีพระภิกษุรูปหนึ่ง นามว่า “หลวงปู่เฒ่า” ธุดงค์พายเรืออีแปะมาด้วยตนเองจนมาพักจำวัดบริเวณที่ตั้งวัดม่วงในปัจจุบัน มาถึงท่าเรือ พอเห็นโบสถ์นางสองคนก็เดินขึ้นไปสำรวจกันเลยจ้า โบสถ์นี้เป็นสองชั้น กำแพงกรุด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นลายเทพพนม ประตูหน้าต่างลงรักปิดทองอย่างประณีต กรอบประตูหน้าต่างก็ตกแต่งด้วยกระจกสี งานละเอียดและสวยงามมาก
ในวัดมีโบสถ์หลังเก่าอยู่ด้วย เราก็ไปเดินชมรอบๆ แล้วก็มาไหว้พระในอาคารหลังเล็กที่ประดิษฐานรูปจำลองของหลวงปู่ทวด หลวงปู่เฒ่า เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดม่วง และพระพุทธรูปต่างๆ และได้พูดคุยกับคุณป้าท่านหนึ่งที่คอยให้บริการดอกไม้ ธูป เทียนอยู่ที่อาคารหลังนี้ จึงทราบว่าโบสถ์หลังใหม่ใช้เวลาสร้างมากว่าสิบปีและยังไม่ได้เปิดใช้ทำพิธีกรรมทางพุทธศาสนาใดๆ เพราะยังไม่ได้ฝังลูกนิมิต
เมื่อนั่งพักผ่อนจนหายเหนื่อย และใกล้เวลาเรือจะมาแล้วเราจึงเดินไปรอที่ท่าเรือ มีชาวต่างชาติมาใช้บริการเรือโดยสารมาเที่ยววัดต่างๆ ริมฝั่งคลองภาษีเจริญอย่างเราหลายคนเลยแระ เรือโดยสารคลองภาษีเจริญ ให้บริการจากท่าประตูน้ำภาษีเจริญจนถึงท่าเพชรเกษม 69 ซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 11.5 กิโลเมตร ซึ่งท่าเรือสะพานตากสิน – เพชรเกษมสามารถเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบางหว้าได้อีกด้วย นอกจากนี้เรือยังมีการจำกัดความเร็วไม่เกิน 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีอุปกรณ์ชูชีพสำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง (สบายใจขึ้นอีกเยอะเพราะรุ่นพี่เรานางว่ายน้ำไม่เป็น) สามารถตรวจสอบตำแหน่งเรือด้วยระบบ GPS มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกท่าเรือ จำกัดผู้โดยสารไม่เกิน 60 ท่าน มีที่นั่งทุกท่าน หน้าตาของเรือก็เป็นแบบนี้น้า ดูทันสมัย สะดวกสบาย และปลอดภัยดี
ค่าบริการ 15 บาทตลอดเส้นทาง สามารถชำระเป็นเงินสด และบัตรแรบบิทแบบเดียวกับที่ใช้บนรถไฟฟ้าเลยค่ะ ส่วนเราวันนั้นลืมบัตรแรบบิทไว้ในรถเลยชำระเป็นเงินสดก็จะได้ตั๋วหน้าตาแบบนี้ค่ะ
เรานั่งเรือกลับมาที่วัดนิมมานรดีเพื่อเอารถแล้วก็ไปหาของกินกันต่อค่ะ แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนดี ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยว่า เราไม่ได้วางแผนอะไรเกี่ยวกับทริปนี้ไว้ล่วงหน้าเลยสักอย่าง 555 ก็ไปกันได้เนอะ ความตั้งใจคือไปหัดขับรถเท่านั้น ส่วนเรื่องไปนั่งเรือเที่ยวเล่น ไหว้พระและหาของกินเป็นส่วนมานอกแผนทั้งสิ้น ทีนี้ก็ไม่มีที่ไปล่ะซิ ขับรถออกมาเรื่อยๆ ก็เจอตลาดนัดแห่งหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดน่าเป็นตลาดนัดเพชรเกษม 41 มั้งคะ เราก็จอดรถและพากันไปนั่งกินส้มตำกันที่ร้านในตลาดนั่นแระค่ะ เสร็จแล้วก็ซื้อเสบียงเพื่อกักตุนอาหารสำหรับมื้อค่ำกันอย่างเต็มที่ บางร้านขายอาหารราคาค่อนข้างถูกค่ะ ช็อปกันกระจาย เสร็จแล้วเราก็ไปหัดขับรถกันจริงๆ สักทีค่ะเพราะเย็นมากแล้ว
หลังจากหัดขับรถเสร็จก็พานางไปสนามบาสที่เราจะไปเล่นกับเพื่อนค่ะ แต่เค้ามีการแข่งขันบาสกันอยู่ ทีนี้สนามก็ไม่ว่างแล้วซิทำไงดี ในเมื่อเล่นบาสไม่ได้เราก็เลือกที่จะนั่งดูเค้าแข่งบาสกันค่ะ การดูนักบาสเป็นอาหารตาอย่างหนึ่งสำหรับสาวอย่างพวกเรา แต่มีเด็กเอ๊าะๆ สูงๆ กันทั้งนั้น 555 (ทำไมชอบ 555 ตลอด เพราะสวยมักนก ตลกมักได้ยังไงคะ) ไม่จริงค่ะ เราตั้งใจดูเค้าเล่นกีฬากันค่ะ เสร็จแ ล้วก็รีบพารุ่นพี่ไปส่งที่หอแล้วตรงกลับคอนโดโดยด่วนเพราะมีนัดสังสรรค์จิบไวน์และชิทแชทกันเบาๆ ที่คอนโดค่ะ จริงๆ สถานที่ท่องเที่ยวแถวนั้นมีอีกเยอะเลยค่ะ แต่เราเป็นพวกกิจกกรมเยอะ เวลาไม่พอจริงๆ ค่ะ สำหรับวันนี้ขอจบทริปแค่นี้นะคะ โอกาสหน้าจะไปเที่ยวอีกแล้วจะมาเพิ่มให้นะคะ ขอบคุณคร่า
อันนี้กระทู้แรกของเราเลยนะคะ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เหอๆๆๆ ตั้งใจจะมารีวิวขำๆ ให้เห็นความสนุกสนานของทริปวันนี้ก็กลับกลายเป็นว่ารีวิวแบบเป็นวิชาการไปป่ะ ก็งี้แระเนอะเราเด็กท่องเที่ยวนี่หน่า แถมยังทำงานในสายงานบริการอีก แอบร้อนวิชาเบาๆ เอางี้ น้องๆ เด็กท่องเที่ยวไม่ว่าจะมหาวิทยาลัยไหนก็น่าจะลองนำข้อมูลนี้ไปต่อยอดโปรเจคน้องๆ ในวิชาเรียนกันได้นะจ๊ะ โดยเฉพาะวิชา Emerging Tourism, Eco Tourism and Cultural Tourism ส่วนเราเรียนจบมาเกือบๆ สิบปีแล้ว และ บัตรมัคคุเทศก์ก็ไม่เคยได้ใช้เลย รีวิววันนี้แอบฝืดเบาๆ
ปล. ขอโทษนะคะ เราไม่ได้ resize รูปให้เล็กลงเพราะโปรแกรมที่เครื่องเราไม่มีอ่ะค่ะ แล้วเราก็โง่เรื่องไอทีมากๆ ด้วย ฮือๆๆๆ
[CR] ไปนั่งเรือชมคลองภาษีเจริญกันมั้ย #สโลว์ไลฟ์เบาๆ
ปัจจุบันการเจริญทางวัตถุต่างๆและความสะดวกสบายกำลังกลืนกินสิ่งเหล่านี้ไปเกือบหมดอย่างน่าเสียดาย คูคลองต่างๆ ถูกถมให้กลายเป็นถนนหนทาง การสัญจรทางเรือก็ถูกแทนที่โดยรถจักรยานยนต์ รถยนต์โดยสาร รถยนต์ส่วนบุคคล และรถไฟฟ้า แต่เมื่อไม่นานมานี้ในฐานะประชาชนคนนึงก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากทางกรุงเทพมหานครซึ่งพยายามพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เชื่อมโยงรถไฟฟ้า รถเมล์ และเรือเป็นระบบเดียวกันเพื่อลดปัญหาการจราจร โดยจัดตั้งโครงการศูนย์พัฒนาเชื่อมต่อการเดินทางล้อ-ราง-เรือ ที่สถานีรถไฟฟ้าบางหว้า เอาล่ะ อยู่ในโหมดมีสาระมานานแระ เปลี่ยนโหมดกันบ้างดีกว่าเนอะ
จริงๆแล้วเรานัดกับรุ่นพี่สมัยมหาลัยไว้ว่าจะพานางไปสอนขับรถ ก็คิดๆว่าจะพาไปลองขับแถวพุทธมณฑล ถนนอักษะอะไรประมาณนี้ เพราะแถวนั้นถนนกว้างและรถก็ไม่เยอะมาก ปกติก็ไม่ค่อยได้ไปแถวนั้นหรอก แต่ช่วงนี้ไปเที่ยวเล่นแถวนั้นบ่อยๆ เลยพอจะเริ่มรู้จักทางแถวๆนั้นบ้าง อิอิ
เราเลยชวนนางว่าเดี๋ยวเราพาไปนั่งเรือเที่ยวด้วย แถวนั้นมีตลาด มีวัดเยอะ จะได้ไปทำบุญไหว้พระ ให้อาหารปลา และก็หาของกินกัน ซึ่งก็ถูกใจนางเลยคร่า (พี่คนนี้เป็นคนเรียบง่าย ชอบอะไรติดดิน ห้าวๆ ธรรมะธัมโม)
ซึ่งคุยกันไว้นานเป็นอาทิตย์แระ เราจำได้อ่ะแระแต่งานก็ยุ่งๆ อ่ะ ช่วงนี้เลยไม่ได้ติดต่อกันเลย พอคืนวันศุกร์ก็แชทไปถามว่าให้ไปรับกี่โมงดี นางก็แบบวันหยุดเนอะ ตื่นกันสายๆหน่อย มารับที่หอสักสิบโมงล่ะกัน เราก็แบบโอเค แต่คิดในใจ เราต้องตื่นเช้าอยู่ดีชิมิ เพราะคอนโดอยู่ประชาชื่นคร่าท่านผู้ชม ส่วนหอนางอยู่ปิ่นเกล้า แล้วเราเป็นคนที่ชอบทำอะไรโอ้เอ้อีกด้วย หลังจากนั้นก็คุยกันถึงเรื่องที่จะไปนั่งเรือเที่ยว โดยเริ่มหาข้อมูลเรื่องเส้นทางและตารางการเดินเรือ วัดต่างๆที่อยู่ในเส้นทางที่เราสามารถแวะไปทำบุญไหว้พระ ร้านอาหารและตลาดเพื่อหาของกิน (นี่คือสิ่งสำคัญของเราเลยจ้า) คุยกันเรื่องนู่นนี่จนดึกดื่น
สรุปตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวทำอะไรเสร็จก็ปาไปสิบโมงแระจ้า สบายใจเลยคร่าคู๊ณณณณณ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ไปถึงหอนางประมาณสิบโมงกว่าๆ นางก็แบบว่าพี่เพิ่งเสร็จพอดีเลยเนี่ยรีบมาก เพราะปกติเธอจะมาตรงเวลาตลอด (หึหึ สายบ้างก็ได้มั้ย)
รับนางเสร็จเราก็บ่น เลยค่ะ หิวอ่ะ หิวๆๆๆๆ ยังไม่ได้กินอะไรเลย ตื่นสายอ่ะ ไปกินข้าวกันก่อนน้า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง มีร้านแนะนำหลายร้านเลย (เรารู้จักกับนางมาสิบกว่าปี แล้วเราก็นิสัยเด็ก ชอบอ้อน) นางก็โอเค งั้นก็เลทส์โก.........
เราพานางมาร้านบางหว้าขาหมู อยู่ใกล้ๆ ซอยเพชรเกษม 46/2 ตอนนี้จะเป็นซอยเล็กๆ สวนกันลำบากนิดนึงแต่มี รปภ. คอยดูให้ทั้งขาเข้าและขาออก ขับเข้าซอยไปนิดเดียวก็เจอร้านอยู่ซ้ายมือ ลักษณะร้านเป็นเหมือนลานจอดรถ มีเต๊นท์โล่งๆซึ่งหลังคามุงเมทัลชีท แล้วก็มีโต๊ะตั้งเยอะๆ มีส่วนที่ทำอาหารเปิดโล่ง แต่มีที่จอดรถเยอะ อยู่รอบๆ ส่วนที่เป็นร้าน สะดวกสบายดี (ลืมถ่ายรูปร้านมา หิวมากกกกก และก็ไม่ได้คิดว่าจะมาเล่าอะไรแบบนี้ด้วย) เราก็สั่งข้าวขาหมูไม่เอาหนัง 2 จาน พร้อมกับมะระตุ๋นยาจีน 1 โถค่ะ
หลังจากกินอิ่มแล้วก็หนังท้องตึงหนังตาหย่อน เดี๋ยวๆๆๆๆ ไม่ใช่แระ เราก็เดินทางกันต่อ เราแอบขอแวะซื้อของที่ซีคอน บางแค แป๊บนึง นางก็โอเค แต่สุดท้ายคนที่เลือกของนานคือนางค่ะ เพราะไปเจอเป้เดินทางพอดี นางมีทริปแบคแพคไปประเทศเพื่อนบ้านเร็วๆนีเลยเสียเวลากันไปพอสมควร เราศึกษาเส้นทางเดินเรือมาก้จริงแต่เราไม่รู้ว่ามีท่าเรือไหนที่จอดรถได้บ้าง ไม่ใช่คนแถวนี้นี่หน่า เราตัดสินใจขับรถไปวัดนิมมานรดี เพราะเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและท่าเรือซึ่งก็มีที่จอดรถจริงๆ ด้วย
วัดนิมมานรดี ตั้งอยู่ติดคลองภาษีเจริญ เดิมมีนามว่า “วัดบางแค” สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ 1ประมาณปี พ.ศ. 2350 เราก็เข้าไปไหว้พระพุทธรูปในโบสถ์ และพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมที่ศาลาริมคลอง แล้วก็ให้อาหารปลาที่ท่าน้ำ (กิจกรรมโปรดของเราเลยค่ะ) เวลาเครียดๆ เราชอบมานั่งรับลมเย็นๆ ริมน้ำและมองน้ำไหลเอื่อยๆดูไม่รีบเร่ง รู้สึกสบายใจและผ่อนคลายดี แต่ขณะเดียวกันเราก็ได้เรียนรู้สัจธรรมว่าสายน้ำไม่ไหลย้อนกลับเ เพราะฉะนั้นอยากทำอะไรก็ต้องทำซะ บางครั้งเมื่อเวลาผ่านไปแล้วเราก็ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก
เสร็จแล้วเราก็เดินหาของกินนิดหน่อย เพราะแถวนั้นเคยเป็นตลาด แต่คิดว่าน่าจะมีคนไปเที่ยวน้อย คนเลยไม่ค่อยมีคนมาขายของเท่าไหร่แล้ว หลังจากเดินถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ พอใกล้เวลาเราก็มาที่ท่าเรือ อ่อ ลืมเส้นทางกับตารางการเดินเรือเลยเนอะ เราเอามาจากในเน็ตนะ
ทีนี้เราสองคนเริ่มเถียงกันเนื่องจากพี่เค้าอยากไปวัดนวลนรดิศเพราะเส้นทางนั่งเรือยาวกว่า แต่เราเลือกไปวัดม่วง เพราะเราอยากรีบไปรีบกลับ อย่าลืมว่าต้องไปหัดขับรถต่อ (เอ๊ะ เหมือนทุกคนจะลืมเรื่องนี้กันไปเลย) นางก็บอกว่าเลื่อนไปก่อนก็ได้ เราบอกไม่ได้เพราะเป็นสิ่งที่เราตั้งใจมากันวันนี้ สรุปได้ไปวัดม่วงจ้า
วัดม่วง ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษม 63 แขวงหลักสอง เขตบางแค กรุงเทพมหานคร ตามประวัติสร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. 2366 ปลายรัชกาลที่ 2 โดยมีพระภิกษุรูปหนึ่ง นามว่า “หลวงปู่เฒ่า” ธุดงค์พายเรืออีแปะมาด้วยตนเองจนมาพักจำวัดบริเวณที่ตั้งวัดม่วงในปัจจุบัน มาถึงท่าเรือ พอเห็นโบสถ์นางสองคนก็เดินขึ้นไปสำรวจกันเลยจ้า โบสถ์นี้เป็นสองชั้น กำแพงกรุด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นลายเทพพนม ประตูหน้าต่างลงรักปิดทองอย่างประณีต กรอบประตูหน้าต่างก็ตกแต่งด้วยกระจกสี งานละเอียดและสวยงามมาก
ในวัดมีโบสถ์หลังเก่าอยู่ด้วย เราก็ไปเดินชมรอบๆ แล้วก็มาไหว้พระในอาคารหลังเล็กที่ประดิษฐานรูปจำลองของหลวงปู่ทวด หลวงปู่เฒ่า เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดม่วง และพระพุทธรูปต่างๆ และได้พูดคุยกับคุณป้าท่านหนึ่งที่คอยให้บริการดอกไม้ ธูป เทียนอยู่ที่อาคารหลังนี้ จึงทราบว่าโบสถ์หลังใหม่ใช้เวลาสร้างมากว่าสิบปีและยังไม่ได้เปิดใช้ทำพิธีกรรมทางพุทธศาสนาใดๆ เพราะยังไม่ได้ฝังลูกนิมิต
เมื่อนั่งพักผ่อนจนหายเหนื่อย และใกล้เวลาเรือจะมาแล้วเราจึงเดินไปรอที่ท่าเรือ มีชาวต่างชาติมาใช้บริการเรือโดยสารมาเที่ยววัดต่างๆ ริมฝั่งคลองภาษีเจริญอย่างเราหลายคนเลยแระ เรือโดยสารคลองภาษีเจริญ ให้บริการจากท่าประตูน้ำภาษีเจริญจนถึงท่าเพชรเกษม 69 ซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 11.5 กิโลเมตร ซึ่งท่าเรือสะพานตากสิน – เพชรเกษมสามารถเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบางหว้าได้อีกด้วย นอกจากนี้เรือยังมีการจำกัดความเร็วไม่เกิน 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีอุปกรณ์ชูชีพสำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง (สบายใจขึ้นอีกเยอะเพราะรุ่นพี่เรานางว่ายน้ำไม่เป็น) สามารถตรวจสอบตำแหน่งเรือด้วยระบบ GPS มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกท่าเรือ จำกัดผู้โดยสารไม่เกิน 60 ท่าน มีที่นั่งทุกท่าน หน้าตาของเรือก็เป็นแบบนี้น้า ดูทันสมัย สะดวกสบาย และปลอดภัยดี
ค่าบริการ 15 บาทตลอดเส้นทาง สามารถชำระเป็นเงินสด และบัตรแรบบิทแบบเดียวกับที่ใช้บนรถไฟฟ้าเลยค่ะ ส่วนเราวันนั้นลืมบัตรแรบบิทไว้ในรถเลยชำระเป็นเงินสดก็จะได้ตั๋วหน้าตาแบบนี้ค่ะ
เรานั่งเรือกลับมาที่วัดนิมมานรดีเพื่อเอารถแล้วก็ไปหาของกินกันต่อค่ะ แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนดี ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยว่า เราไม่ได้วางแผนอะไรเกี่ยวกับทริปนี้ไว้ล่วงหน้าเลยสักอย่าง 555 ก็ไปกันได้เนอะ ความตั้งใจคือไปหัดขับรถเท่านั้น ส่วนเรื่องไปนั่งเรือเที่ยวเล่น ไหว้พระและหาของกินเป็นส่วนมานอกแผนทั้งสิ้น ทีนี้ก็ไม่มีที่ไปล่ะซิ ขับรถออกมาเรื่อยๆ ก็เจอตลาดนัดแห่งหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดน่าเป็นตลาดนัดเพชรเกษม 41 มั้งคะ เราก็จอดรถและพากันไปนั่งกินส้มตำกันที่ร้านในตลาดนั่นแระค่ะ เสร็จแล้วก็ซื้อเสบียงเพื่อกักตุนอาหารสำหรับมื้อค่ำกันอย่างเต็มที่ บางร้านขายอาหารราคาค่อนข้างถูกค่ะ ช็อปกันกระจาย เสร็จแล้วเราก็ไปหัดขับรถกันจริงๆ สักทีค่ะเพราะเย็นมากแล้ว
หลังจากหัดขับรถเสร็จก็พานางไปสนามบาสที่เราจะไปเล่นกับเพื่อนค่ะ แต่เค้ามีการแข่งขันบาสกันอยู่ ทีนี้สนามก็ไม่ว่างแล้วซิทำไงดี ในเมื่อเล่นบาสไม่ได้เราก็เลือกที่จะนั่งดูเค้าแข่งบาสกันค่ะ การดูนักบาสเป็นอาหารตาอย่างหนึ่งสำหรับสาวอย่างพวกเรา แต่มีเด็กเอ๊าะๆ สูงๆ กันทั้งนั้น 555 (ทำไมชอบ 555 ตลอด เพราะสวยมักนก ตลกมักได้ยังไงคะ) ไม่จริงค่ะ เราตั้งใจดูเค้าเล่นกีฬากันค่ะ เสร็จแ ล้วก็รีบพารุ่นพี่ไปส่งที่หอแล้วตรงกลับคอนโดโดยด่วนเพราะมีนัดสังสรรค์จิบไวน์และชิทแชทกันเบาๆ ที่คอนโดค่ะ จริงๆ สถานที่ท่องเที่ยวแถวนั้นมีอีกเยอะเลยค่ะ แต่เราเป็นพวกกิจกกรมเยอะ เวลาไม่พอจริงๆ ค่ะ สำหรับวันนี้ขอจบทริปแค่นี้นะคะ โอกาสหน้าจะไปเที่ยวอีกแล้วจะมาเพิ่มให้นะคะ ขอบคุณคร่า
อันนี้กระทู้แรกของเราเลยนะคะ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เหอๆๆๆ ตั้งใจจะมารีวิวขำๆ ให้เห็นความสนุกสนานของทริปวันนี้ก็กลับกลายเป็นว่ารีวิวแบบเป็นวิชาการไปป่ะ ก็งี้แระเนอะเราเด็กท่องเที่ยวนี่หน่า แถมยังทำงานในสายงานบริการอีก แอบร้อนวิชาเบาๆ เอางี้ น้องๆ เด็กท่องเที่ยวไม่ว่าจะมหาวิทยาลัยไหนก็น่าจะลองนำข้อมูลนี้ไปต่อยอดโปรเจคน้องๆ ในวิชาเรียนกันได้นะจ๊ะ โดยเฉพาะวิชา Emerging Tourism, Eco Tourism and Cultural Tourism ส่วนเราเรียนจบมาเกือบๆ สิบปีแล้ว และ บัตรมัคคุเทศก์ก็ไม่เคยได้ใช้เลย รีวิววันนี้แอบฝืดเบาๆ
ปล. ขอโทษนะคะ เราไม่ได้ resize รูปให้เล็กลงเพราะโปรแกรมที่เครื่องเราไม่มีอ่ะค่ะ แล้วเราก็โง่เรื่องไอทีมากๆ ด้วย ฮือๆๆๆ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น