วิชามารว่อนโซเชียล! สรรพากรเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวลือเก็บภาษีวัด-พระ
15 มิ.ย.61 กรมสรรพากร ได้เผยแพร่เอกสารชี้แจง โดยระบุว่า ตามที่ได้มีการแชร์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ว่ากรมสรรพากรจะเก็บภาษีจากวัด และต้องการให้พระทุกรูปเสียภาษีผ่านบัญชีกลางของวัดนั้น กรมสรรพากร ขอเรียนว่า
1.วัดมิได้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร จึงไม่มีหน้าที่ในการเสียภาษี ดังนั้น รายได้ที่วัดได้รับจึงไม่มีภาระภาษี และกรมสรรพากรไม่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบรายได้หรือตรวจสอบการเสียภาษีของวัดแต่อย่างใด
2.กรมสรรพากรได้จัดทำระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) เพื่ออำนวยความสะดวกให้วัดและผู้บริจาคเงินที่ประสงค์จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเท่านั้น โดยเมื่อวัดกรอกข้อมูลการรับบริจาคบนระบบของกรมสรรพากรแล้ว วัดจะไม่มีภาระในการจัดทำใบอนุโมทนาบัตร รวมถึงผู้เสียภาษีก็ไม่ต้องเก็บหลักฐาน การบริจาคเงินเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้
3.ในส่วนของวัดที่มีการรับบริจาคผ่าน QR Code เป็นการให้บริการของธนาคารแก่วัดตามความสมัครใจของวัด ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกรมสรรพากร
4.สำหรับการกำหนดให้วัดต้องจัดทำบัญชี ลงบัญชีรายรับ รายจ่าย หรือรายการต่างๆ นั้น มิได้อยู่ในการกำกับดูแลของกรมสรรพากร และกรมสรรพากรก็มิได้มีนโยบายให้วัดต้องจัดทำบัญชีดังกล่าวแต่อย่างใด
กรมสรรพากร ขอเรียนยืนยันว่ากรมสรรพากรไม่มีนโยบายที่จะจัดเก็บภาษีจากวัดหรือพระภิกษุสงฆ์แต่อย่างใด
ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร.1161
http://www.naewna.com/local/345544
พศ.เตือนพระสังฆาธิการอย่าตื่นเรื่องเงินทอนวัด-เก็บภาษีพระ
วันนี้( 12 มิ.ย.) ที่วัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ในฐานะประธานคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสัมมนาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาประจำปีงบประมาณ 2561 โดยมีเจ้าคณะจังหวัด และรองเจ้าคณะจังหวัด ทั่วประเทศ จำนวน 400 รูป เข้าร่วมการประชุม ทั้งนี้สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ กล่าวเปิดการประชุม ว่า การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นหน้าที่สำคัญของพระสงฆ์ ในการค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่สืบทอดต่อไปได้ และอยากฝากพุทธวิธีในการเผยแผ่ขั้นพื้นฐาน คือ ผู้เผยแผ่กับผู้เรียนรู้จะต้องเป็นกัลยาณมิตรกัน ส่วนการเผยแผ่ไปยังพุทธศาสนิกชนให้รู้จักแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา จะต้องใช้วิถีของการปฏิบัติธรรม เพื่อยกระดับจิตใจของพุทธศาสนิกชน พร้อมกันนี้ยังได้มีการออกแผนแม่บทการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกให้กับคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาประจำจังหวัดไปดำเนินการด้วย
ด้านนายณรงค์ ทรงอารมณ์ รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวในการบรรยายพิเศษเรื่องนโยบายส่งเสริมการดำเนินการด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่า ในปีงบประมาณ 2562 พศ.ได้ทำเรื่องของบฯการเผยแผ่พระพุทธศาสนาประมาณ 1,000 ล้านบาท จากเดิมที่แต่ละปีจะได้รับงบฯในส่วนนี้ประมาณกว่า 500 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อต้องการส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีหลายโครงการที่เกิดผลเป็นรูปธรรม เช่น โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 โครงการหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล และตนขอชี้แจงเรื่องหนังสือการจัดการด้านการเงินและบัญชีวัด วัตถุประสงค์ คือ ต้องการหาวัดตัวอย่างที่เรื่องการจัดบัญชีที่ถูกต้องมีประสิทธิภาพ จังหวัดไหนไม่มีไม่ผิด จังหวัดไหนมีเสนอขึ้นมา โดยมีการนำไปตีความว่า จะเข้าไปตรวจสอบเงินทอนวัด นอกจากนี้ยังมีข่าวออกมาอีกว่า พศ.จะออกกฎหมายมาเก็บภาษีพระ ถ้าพระมีเกิน 3,000 บาทจะถูกเก็บภาษี ไม่รู้ว่า ออกมาได้อย่างไร ซึ่งพระไม่มีรายได้ จะมาเก็บภาษีกับพระได้อย่างไร เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา พยายามสร้างความแตกแยกระหว่างคณะสงฆ์กับพศ.
นายณรงค์ กล่าวต่อไปว่า ขอให้พระสังฆาธิการใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวในปัจจุบัน จึงขอกราบเรียนต่อพระสังฆาธิการว่า เรื่องของพศ. จะออกจากบุคคล 3 คน คือ โฆษกพศ. รองโฆษกพศ. ฝ่ายประชาสัมพันธ์พศ. หากไม่ได้ออกจาก 3 คนนี้ ถือว่า เป็นข่าวลวง ไม่ต้องแตกตื่น ไม่ต้องไปเบิกเงินจากบัญชี ไม่ต้องทำ ข่าวล่วงออกมาก็โยนบาปให้พศ. ขอให้พระสังฆาธิการไม่ต้องกลัว เจ้าหน้าที่พศ.ที่นั่งอยู่ที่แห่งนี้ มีหน้าที่ดูแลพระภิกษุสงฆ์ ไม่มีความคิดเก็บเงินพระ 3,000 บาท รวมทั้งรายได้จากเรื่องกิจนิมนต์หากได้เดือนละเป็นแสน ตนจะไปบวชด้วย ซึ่งวัดบ้านนอกมีพระไลน์มาหาตนเป็นจำนวนมาก ให้ช่วยหาเจ้าภาพจ่ายค่าน้ำค่าไฟ วัดบ้านนอกแทบไม่มีเงินจ่าย ขอให้พระสังฆาธิการช่วยชี้แจงวัดในเขตปกครองได้เข้าใจด้วยว่า ไม่มีใครจะไปทำแบบนั้น
“การทำงานในยุคนี้ยากลำบากมาก ทำงานภายใต้มาตรา 157 ซึ่งพระสังฆาธิการก็ถือว่าโดนด้วย หากไม่ปฏิบัติตามมาตรา 157 ซึ่งการใช้งบประมาณแผนดิน ที่วัดได้รับงบอุดหนุนไปนั้น หากเป็นงบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างขอให้วัดมีสัญญาจ้าง แต่ถ้าเป็นงบประมาณการอุดหนุนกิจกรรม โครงการต่างๆขอให้เก็บใบเสร็จในการซื้อสิ่งของต่างๆไว้ให้ครบถ้วน ผมเชื่อว่า วัดแต่ละวัด การจะไปทำทีโออาร์ แบบหน่วยงานราชการคงลำบาก แต่ขอให้ใช้งบประมาณแบบวัดๆ แต่ต้องมีหลักฐานใบเสร็จไว้ ซึ่งพ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ.รับรู้การทำงานของพระคุณเจ้าทุกจังหวัดว่า ไม่สูญเปล่า”รองผอ.พศ. กล่าว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
http://thnews24h.com/2018/06/12/%E0%B8%9E%E0%B8%A8-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2/
สรรพากร ยืนยันไม่มีนโยบายเก็บภาษีวัด-พระ วอนอย่าเชื่อข่าวปลอม
กรมสรรพากร ยืนยันไม่มีนโยบายเก็บภาษีวัด และพระภิกษุ เนื่องจากวัดไม่ได้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษี ส่วนระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกให้วัด และผู้บริจาคที่ขอลดหย่อนภาษีเท่านั้น เตือนอย่าหลงเชื่อข่าวลือที่แพร่สะพัดในสื่อสังคมออนไลน์
ตามที่ได้มีการแชร์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ว่า กรมสรรพากร จะเก็บภาษีจากวัด และต้องการให้พระทุกรูปเสียภาษีผ่านบัญชีกลางของวัดนั้น กรมสรรพากร ขอชี้แจงว่า วัดไม่ได้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษี ดังนั้น รายได้ที่วัดได้รับจึงไม่มีภาระภาษี และกรมสรรพากรไม่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบรายได้ หรือตรวจสอบการเสียภาษีของวัดแต่อย่างใด
ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้จัดทำระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) เพื่ออำนวยความสะดวกให้วัด และผู้บริจาคเงินที่ประสงค์จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเท่านั้น เมื่อวัดกรอกข้อมูลการรับบริจาคบนระบบของกรมสรรพากรแล้ว วัดจะไม่มีภาระในการจัดทำใบอนุโมทนาบัตร รวมถึงผู้เสียภาษีก็ไม่ต้องเก็บหลักฐานการบริจาคเงินเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ ส่วนวัดที่มีการรับบริจาคผ่าน QR Code เป็นการให้บริการของธนาคารแก่วัดตามความสมัครใจของวัด ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกรมสรรพากร สำหรับการกำหนดให้วัดต้องจัดทำบัญชี ลงบัญชีรายรับ รายจ่าย หรือรายการต่างๆ นั้น ไม่ได้อยู่ในการกำกับดูแลของกรมสรรพากร และกรมสรรพากรก็ไม่มีนโยบายให้วัดต้องจัดทำบัญชีดังกล่าวแต่อย่างใด และขอยืนยืนยันว่า กรมสรรพากรไม่มีนโยบายที่จะจัดเก็บภาษีจากวัด หรือพระภิกษุสงฆ์แต่อย่างใด
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9610000059669
ไม่กลัวบาปกลัวตกนรกกันแล้วนะคะ
พวกใช้วิชามารรังควานศาสนาทำสังคมแตกแยก
ข่าวปลอมว่อนไปทั่ว เพราะต้องการโจมตีรัฐบาล
การเมืองน้ำเน่าเดิมๆกำลังกลับมา ประชาชนควรพิจารณาให้รอบคอบค่ะ
📙~มาลาริน~ไม่กลัวตกนรก สร้างข่าวปลอมอีกแล้วค่ะ ...วิชามารว่อนโซเชียล! สรรพากรเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวลือเก็บภาษีวัด-พระ
วิชามารว่อนโซเชียล! สรรพากรเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวลือเก็บภาษีวัด-พระ
15 มิ.ย.61 กรมสรรพากร ได้เผยแพร่เอกสารชี้แจง โดยระบุว่า ตามที่ได้มีการแชร์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ว่ากรมสรรพากรจะเก็บภาษีจากวัด และต้องการให้พระทุกรูปเสียภาษีผ่านบัญชีกลางของวัดนั้น กรมสรรพากร ขอเรียนว่า
1.วัดมิได้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร จึงไม่มีหน้าที่ในการเสียภาษี ดังนั้น รายได้ที่วัดได้รับจึงไม่มีภาระภาษี และกรมสรรพากรไม่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบรายได้หรือตรวจสอบการเสียภาษีของวัดแต่อย่างใด
2.กรมสรรพากรได้จัดทำระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) เพื่ออำนวยความสะดวกให้วัดและผู้บริจาคเงินที่ประสงค์จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเท่านั้น โดยเมื่อวัดกรอกข้อมูลการรับบริจาคบนระบบของกรมสรรพากรแล้ว วัดจะไม่มีภาระในการจัดทำใบอนุโมทนาบัตร รวมถึงผู้เสียภาษีก็ไม่ต้องเก็บหลักฐาน การบริจาคเงินเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้
3.ในส่วนของวัดที่มีการรับบริจาคผ่าน QR Code เป็นการให้บริการของธนาคารแก่วัดตามความสมัครใจของวัด ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกรมสรรพากร
4.สำหรับการกำหนดให้วัดต้องจัดทำบัญชี ลงบัญชีรายรับ รายจ่าย หรือรายการต่างๆ นั้น มิได้อยู่ในการกำกับดูแลของกรมสรรพากร และกรมสรรพากรก็มิได้มีนโยบายให้วัดต้องจัดทำบัญชีดังกล่าวแต่อย่างใด
กรมสรรพากร ขอเรียนยืนยันว่ากรมสรรพากรไม่มีนโยบายที่จะจัดเก็บภาษีจากวัดหรือพระภิกษุสงฆ์แต่อย่างใด
ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร.1161
http://www.naewna.com/local/345544
พศ.เตือนพระสังฆาธิการอย่าตื่นเรื่องเงินทอนวัด-เก็บภาษีพระ
วันนี้( 12 มิ.ย.) ที่วัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ในฐานะประธานคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสัมมนาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาประจำปีงบประมาณ 2561 โดยมีเจ้าคณะจังหวัด และรองเจ้าคณะจังหวัด ทั่วประเทศ จำนวน 400 รูป เข้าร่วมการประชุม ทั้งนี้สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ กล่าวเปิดการประชุม ว่า การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นหน้าที่สำคัญของพระสงฆ์ ในการค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่สืบทอดต่อไปได้ และอยากฝากพุทธวิธีในการเผยแผ่ขั้นพื้นฐาน คือ ผู้เผยแผ่กับผู้เรียนรู้จะต้องเป็นกัลยาณมิตรกัน ส่วนการเผยแผ่ไปยังพุทธศาสนิกชนให้รู้จักแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา จะต้องใช้วิถีของการปฏิบัติธรรม เพื่อยกระดับจิตใจของพุทธศาสนิกชน พร้อมกันนี้ยังได้มีการออกแผนแม่บทการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกให้กับคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาประจำจังหวัดไปดำเนินการด้วย
ด้านนายณรงค์ ทรงอารมณ์ รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวในการบรรยายพิเศษเรื่องนโยบายส่งเสริมการดำเนินการด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่า ในปีงบประมาณ 2562 พศ.ได้ทำเรื่องของบฯการเผยแผ่พระพุทธศาสนาประมาณ 1,000 ล้านบาท จากเดิมที่แต่ละปีจะได้รับงบฯในส่วนนี้ประมาณกว่า 500 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อต้องการส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีหลายโครงการที่เกิดผลเป็นรูปธรรม เช่น โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 โครงการหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล และตนขอชี้แจงเรื่องหนังสือการจัดการด้านการเงินและบัญชีวัด วัตถุประสงค์ คือ ต้องการหาวัดตัวอย่างที่เรื่องการจัดบัญชีที่ถูกต้องมีประสิทธิภาพ จังหวัดไหนไม่มีไม่ผิด จังหวัดไหนมีเสนอขึ้นมา โดยมีการนำไปตีความว่า จะเข้าไปตรวจสอบเงินทอนวัด นอกจากนี้ยังมีข่าวออกมาอีกว่า พศ.จะออกกฎหมายมาเก็บภาษีพระ ถ้าพระมีเกิน 3,000 บาทจะถูกเก็บภาษี ไม่รู้ว่า ออกมาได้อย่างไร ซึ่งพระไม่มีรายได้ จะมาเก็บภาษีกับพระได้อย่างไร เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา พยายามสร้างความแตกแยกระหว่างคณะสงฆ์กับพศ.
นายณรงค์ กล่าวต่อไปว่า ขอให้พระสังฆาธิการใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวในปัจจุบัน จึงขอกราบเรียนต่อพระสังฆาธิการว่า เรื่องของพศ. จะออกจากบุคคล 3 คน คือ โฆษกพศ. รองโฆษกพศ. ฝ่ายประชาสัมพันธ์พศ. หากไม่ได้ออกจาก 3 คนนี้ ถือว่า เป็นข่าวลวง ไม่ต้องแตกตื่น ไม่ต้องไปเบิกเงินจากบัญชี ไม่ต้องทำ ข่าวล่วงออกมาก็โยนบาปให้พศ. ขอให้พระสังฆาธิการไม่ต้องกลัว เจ้าหน้าที่พศ.ที่นั่งอยู่ที่แห่งนี้ มีหน้าที่ดูแลพระภิกษุสงฆ์ ไม่มีความคิดเก็บเงินพระ 3,000 บาท รวมทั้งรายได้จากเรื่องกิจนิมนต์หากได้เดือนละเป็นแสน ตนจะไปบวชด้วย ซึ่งวัดบ้านนอกมีพระไลน์มาหาตนเป็นจำนวนมาก ให้ช่วยหาเจ้าภาพจ่ายค่าน้ำค่าไฟ วัดบ้านนอกแทบไม่มีเงินจ่าย ขอให้พระสังฆาธิการช่วยชี้แจงวัดในเขตปกครองได้เข้าใจด้วยว่า ไม่มีใครจะไปทำแบบนั้น
“การทำงานในยุคนี้ยากลำบากมาก ทำงานภายใต้มาตรา 157 ซึ่งพระสังฆาธิการก็ถือว่าโดนด้วย หากไม่ปฏิบัติตามมาตรา 157 ซึ่งการใช้งบประมาณแผนดิน ที่วัดได้รับงบอุดหนุนไปนั้น หากเป็นงบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างขอให้วัดมีสัญญาจ้าง แต่ถ้าเป็นงบประมาณการอุดหนุนกิจกรรม โครงการต่างๆขอให้เก็บใบเสร็จในการซื้อสิ่งของต่างๆไว้ให้ครบถ้วน ผมเชื่อว่า วัดแต่ละวัด การจะไปทำทีโออาร์ แบบหน่วยงานราชการคงลำบาก แต่ขอให้ใช้งบประมาณแบบวัดๆ แต่ต้องมีหลักฐานใบเสร็จไว้ ซึ่งพ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ.รับรู้การทำงานของพระคุณเจ้าทุกจังหวัดว่า ไม่สูญเปล่า”รองผอ.พศ. กล่าว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรรพากร ยืนยันไม่มีนโยบายเก็บภาษีวัด-พระ วอนอย่าเชื่อข่าวปลอม
กรมสรรพากร ยืนยันไม่มีนโยบายเก็บภาษีวัด และพระภิกษุ เนื่องจากวัดไม่ได้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษี ส่วนระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกให้วัด และผู้บริจาคที่ขอลดหย่อนภาษีเท่านั้น เตือนอย่าหลงเชื่อข่าวลือที่แพร่สะพัดในสื่อสังคมออนไลน์
ตามที่ได้มีการแชร์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ว่า กรมสรรพากร จะเก็บภาษีจากวัด และต้องการให้พระทุกรูปเสียภาษีผ่านบัญชีกลางของวัดนั้น กรมสรรพากร ขอชี้แจงว่า วัดไม่ได้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษี ดังนั้น รายได้ที่วัดได้รับจึงไม่มีภาระภาษี และกรมสรรพากรไม่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบรายได้ หรือตรวจสอบการเสียภาษีของวัดแต่อย่างใด
ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้จัดทำระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) เพื่ออำนวยความสะดวกให้วัด และผู้บริจาคเงินที่ประสงค์จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเท่านั้น เมื่อวัดกรอกข้อมูลการรับบริจาคบนระบบของกรมสรรพากรแล้ว วัดจะไม่มีภาระในการจัดทำใบอนุโมทนาบัตร รวมถึงผู้เสียภาษีก็ไม่ต้องเก็บหลักฐานการบริจาคเงินเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ ส่วนวัดที่มีการรับบริจาคผ่าน QR Code เป็นการให้บริการของธนาคารแก่วัดตามความสมัครใจของวัด ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกรมสรรพากร สำหรับการกำหนดให้วัดต้องจัดทำบัญชี ลงบัญชีรายรับ รายจ่าย หรือรายการต่างๆ นั้น ไม่ได้อยู่ในการกำกับดูแลของกรมสรรพากร และกรมสรรพากรก็ไม่มีนโยบายให้วัดต้องจัดทำบัญชีดังกล่าวแต่อย่างใด และขอยืนยืนยันว่า กรมสรรพากรไม่มีนโยบายที่จะจัดเก็บภาษีจากวัด หรือพระภิกษุสงฆ์แต่อย่างใด
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9610000059669
ไม่กลัวบาปกลัวตกนรกกันแล้วนะคะ
พวกใช้วิชามารรังควานศาสนาทำสังคมแตกแยก
ข่าวปลอมว่อนไปทั่ว เพราะต้องการโจมตีรัฐบาล
การเมืองน้ำเน่าเดิมๆกำลังกลับมา ประชาชนควรพิจารณาให้รอบคอบค่ะ