พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรสาติ ได้ยินว่า
เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
วิ
ญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
สาติภิกษุทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?
สาติภิกษุทูลว่า
สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ.(อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ)
(เป็นความเข้าใจในลักษณะของเจตภูตที่สามารถท่องเที่ยวล่องลอยไปแสวงหาที่เกิด หรืออัตตา(อาตมัน) หรือปฏิสนธิวิญญาณ อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ)
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ ที่เราแสดงแก่ใครเล่า(หมายถึงท่านไม่เคยแสดงธรรมเยี่ยงนี้เลย)
ดูกรโมฆบุรุษ (ที่เราตถาคตกล่าวแสดงไว้มีดังนี้ คือ)วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น
เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี
ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย
จะประสพบาปมิใช่บุญ มากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
ดูกรโมฆบุรุษก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษ ไม่เป็นประโยชน์ (แต่เป็นไป)เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆเกิดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ
กล่าวคือ วิญญาณเกิดแต่เหตุมาเป็นปัจจัยกันดังนี้ อายตนะภายใน ไปกระทบกับ อายตนะภายนอก
การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ วิญญาณ๖
อันเป็นกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ที่แจงไว้ในเรื่องขันธ์ ๕ อยู่เสมอๆ กล่าวคือ
วิญญาณ อาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ หรือเป็นไปดังนี้
จักษุ(ตา) ไปกระทบกับ รูป การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ จักษุวิญญาณ
วิญญาณ อาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
โสตวิญญาณ โสต(หู) ไปกระทบกับ เสียง การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ โสตวิญญาณ
วิญญาณ อาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
ฆานวิญญาณ ฆานะ(จมูก) ไปกระทบกับ กลิ่น การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ ฆานวิญญาณ
วิญญาณ อาศัยชิวหาและรส ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
ชิวหาวิญญาณ ชิวหา(ลิ้น) ไปกระทบกับ รส การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
วิญญาณ อาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
กายวิญญาณ กาย ไปกระทบกับ โผฏฐัพพะ การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ กายวิญญาณ
วิญญาณ อาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
มโนวิญญาณ มนะ(ใจ) ไปกระทบกับ ธรรมารมณ์ การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ มโนวิญญาณ
ความคิดความเห็นอันลามกชั่วร้าย
ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
สาติภิกษุทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?
สาติภิกษุทูลว่า
สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ.(อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ)
(เป็นความเข้าใจในลักษณะของเจตภูตที่สามารถท่องเที่ยวล่องลอยไปแสวงหาที่เกิด หรืออัตตา(อาตมัน) หรือปฏิสนธิวิญญาณ อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ)
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ ที่เราแสดงแก่ใครเล่า(หมายถึงท่านไม่เคยแสดงธรรมเยี่ยงนี้เลย)
ดูกรโมฆบุรุษ (ที่เราตถาคตกล่าวแสดงไว้มีดังนี้ คือ)วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น
เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี
ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย
จะประสพบาปมิใช่บุญ มากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
ดูกรโมฆบุรุษก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษ ไม่เป็นประโยชน์ (แต่เป็นไป)เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆเกิดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ
กล่าวคือ วิญญาณเกิดแต่เหตุมาเป็นปัจจัยกันดังนี้ อายตนะภายใน ไปกระทบกับ อายตนะภายนอก
การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ วิญญาณ๖
อันเป็นกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ที่แจงไว้ในเรื่องขันธ์ ๕ อยู่เสมอๆ กล่าวคือ
วิญญาณ อาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ หรือเป็นไปดังนี้
จักษุ(ตา) ไปกระทบกับ รูป การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ จักษุวิญญาณ
วิญญาณ อาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
โสตวิญญาณ โสต(หู) ไปกระทบกับ เสียง การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ โสตวิญญาณ
วิญญาณ อาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
ฆานวิญญาณ ฆานะ(จมูก) ไปกระทบกับ กลิ่น การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ ฆานวิญญาณ
วิญญาณ อาศัยชิวหาและรส ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
ชิวหาวิญญาณ ชิวหา(ลิ้น) ไปกระทบกับ รส การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
วิญญาณ อาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
กายวิญญาณ กาย ไปกระทบกับ โผฏฐัพพะ การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ กายวิญญาณ
วิญญาณ อาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
มโนวิญญาณ มนะ(ใจ) ไปกระทบกับ ธรรมารมณ์ การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ มโนวิญญาณ