การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26-29 พฤษภาคม 2018 ครับ
มันเกิดขึ้นมาเพราะการเข้าไปชม อาสา พาไปหลง แท้ๆ ดูจบ ไม่รู้ไปต้องมนต์ขแมร์อะไรเข้า กดจองตั๋วแอร์เอเชียไปเฉยเลย
และเมื่อถึงวันเดินทาง สิ่งที่รู้ตัวอีกทีคือ มีแค่แผนที่ของเสียมราฐ และ พนมเปญในมือ นอกนั้นคือไปตายเอาดาบหน้า


ผมไม่รู้ในความคิดของแต่ละท่านจะจินตนาการยังไง แต่สำหรับผมเมื่อเท้าเหยียบสนามบินเสียมราฐ ผมก็แอบตกใจนิดนึง เชี่ยย
สนามบินสวย ไม่นึกว่าจะไฮโซขนาดนี้ ผมไม่ทราบรายละเอียดอะไรนักว่า มันใหม่และสะอาดเพราะเพิ่งสร้างไม่นาน หรือเพราะเค้าดูแลรักษาดี หรือยังไง
แต่ที่แน่ๆ ห้องน้ำ สะอาดดีกว่าสนามบินบ้านเรามากกก
การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง อันที่จริงแล้วต้องบอกว่า ทุกการเดินทางตลอดทั้งทริปเลยดีกว่า เราก็อาศัยรถตุ๊กๆ นี่แหละครับ
ซึ่งโรงแรมที่ผมพักเค้ามีบริการรับส่งจากสนามบินไปยังโรงแรมครับ โดยครั้งนี้ผมพักที่ Apsara Centrepole Hotel
ห้องพักดี พนักงานบริการดีมาก ราคาเป็นมิตรสุดๆ


เอาละ คราวนี้ผมจะเริ่มร่ายยาวถึงความผิดพลาดตลอดทริปละนะครับ เพราะอย่างที่ได้เกริ่นไว้ผมไม่ได้วางแพลนอะไรไดๆ ทั้งสิ้นตลอดทริปนี้
ดังนั้นจึงไม่มีแผน ว่าจะไปไหนก่อน ไปไหนหลัง แตละวันจะทำอะไร ดังนั้น อาการมั่วจึงเกิดขึ้น ทำให้การเที่ยวไม่คุ้มค่าเท่าที่ควรจะเป็น

วันแรก

ผมมาถึงโรงแรมประมาณบ่ายโมง ด้วยบรรยากาศฟ้าฝนที่เริ่มอึมครึม อันที่จริง ผมควรจะพัก หรือ เลือกเดินเล่นในเมือง แล้วเย็นๆ ก็ค่อยออกไปชมวิวพระอาทิตย์ตกที่พนมบาเคร็ง เพื่อที่จะไม่ต้องเสียค่าตั๋วเข้านครวัด แล้วค่อยไปนครวัด นครธม วันต่อไปเต็มวัน
แต่! ด้วยจินตนาการไปเองแล้วไม่ปรึกษาใคร ผมดันไปเข้าใจว่า ตั๋วเข้านครวัด ใช้เพื่อเข้านครวัดเท่านั้น ส่วนนครธม ไม่ต้องใช้ตั๋ว ก็เลยแพลนเองเสร็จสรรพในหัวว่า วันนี้ไปนครวัดก่อน พรุ่งนี้ไปนครธม  ก็เลยให้โรงแรมเรียกรถมารับตอนบ่าย 2 โมง เพื่อจะไปนครวัด .. แต่ ในที่สุดเราก็ค้นพบความจริงว่า มันต้องใช้ตั๋วในการผ่านเข้าไป ไม่ว่าจะนครวัด หรือ นครธรม
หลังจากที่ผมซื้อตั๋วเสร็จสรรพแล้ว ที่สำคัญคือ ผมซื้อตั๋วสำหรับวันเดียว!!

เมื่อพลาดแล้ว จะทำไงได้ ก็ต้องวิ่งสู้ฟัดเท่านั้น 3 โมง - 6 โมงเย็น ผมต้องเก็บนครวัด และ ไฮไลท์ในนครธมให้ได้ ภายใน 3 ชั่วโมง
นี่แหละน้ออ ข้อหาไม่ทำการบ้าน


นครวัด จึงเป็นจุดหลักแรกที่ผมจะไป ซึ่งอยากจะบอกทุกท่านว่า มันร้อนมากกกกกกกกกก
ดังนั้น ถ้าท่านใดจะไปเที่ยว รบกวนเตรีมเสื้อคลุม หมวก แว่น ร่ม กันแดด ให้พร้อม ไม่เช่นนั้นท่านอาจละลายได้เลย
และที่สำคัญ การเดินเข้าไปถึงตัวปราสาทนั้น ไกลพอสมควร ทางเดินไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่ด้วยเวลาที่จำกัด มันก็อดไม่ได้ที่ต้องเร่งฝีเท้ากันนิดนึง


ถ้าถามผมว่า คุ้มไหมที่มา เอาจริงๆ นะ แค่นครวัด ผมก็ว่าคุ้มแล้ว จากที่เราเคยดูกันในรูปถึงความสวยงาม ผมว่าของจริงมันมีสเน่ห์ในตัวมากกว่าในรูปนะ
และนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ เยอะมากมายจริงๆ นานาชาติมาก ส่วนเรื่องเกร็ดประวัติอื่นๆ ผมขอข้ามไปนะครับ

นอกจากชั้นล่างแล้ว เรายังสามารถเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยนะครับ อย่าได้พลาดในการที่จะปีนขึ้นไปนะครับ
เพราะมีมุมดีๆ หลายมุมให้ได้ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกันเพลินครับ
และในช่วงนี้เอง ฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างแรง ซึ่งอันที่จริง ใครที่ไปเที่ยวนครวัด นครธมตอนฝนตกเนี่ย ผมว่าโชคดีอ่ะ
เพราะจากอากาศที่ร้อนชนิดผิวแทบไหม้เนี่ย กลายเป็นเย็นสบายจนเกือบหนาวเลยทีเดียว ทำให้การเดินเที่ยวของคุณรู้สึกสบายตัวขึ้นมากเลยแหละครับ


ออกจากนครวัด พี่คนขับก็พาผมไปต่อที่ปราสาทตาพรหม ซึ่งลุยฝนกันไปแบบเปียกๆ นั่นแหละครับ
แต่รถตุ๊กๆ ที่นี่ คนเปียกคือคนขับ ส่วนคนนั่งไม่มีเปียกครับ เพราะเค้ามีการคลุมผ้าใบให้เราอย่างดี
อากาศตอนนี้ เย็นฉ่ำเลยครับ และพอผมไปถึงที่ปราสาทตาพรหม ฝนก็หยุดตกพอดิบพอดี
ส่วนตัวนะจาก 3 ปราสาทที่ไป ผมชอบที่นี่สุด ผมว่ามันสวย ดูเก่า ดูขลังดี


ปราสาทสุดท้ายที่ผมได้มีโอกาศแวะชมก็คือปราสาทบายน
ด้วยเวลาที่จำกัดตามที่เล่า ผมก็เก็บได้เท่านี้ อีกอย่างฝนเองก็ตกอยู่ตลอด เรื่องไปชมพระอาทิตย์ตกดินไม่ต้องพูดถึง
เพราะว่าฟ้าปิดสนิท แสงยังแทบจะไม่มีให้เห็น ก็ข้ามไปได้เลย
ปราสาทบายน เป็นปราสาทที่ต้องเดินเข้าไปลึกสักหน่อย แถมทางเดินเข้าก็เป็นดินแดงนี่แหละครับ
ถ้าใครไปแล้วเจอฝนอย่างผม ก็งดพวกรองเท้าสีขาวก็ดีนะครับ ไม่งั้นเละได้ง่ายๆ เลยครับ


หลังจากนั้นผมก็กลับที่พักครับ ระหว่างทางเราก็จะได้เห็นปราสาทนั่นโน่นนี่อีกหลายที่ แต่ไม่ได้แวะแล้วนะครับ
และที่น่าประทับใจอีกอย่างคือ ในพื้นที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ ทำให้อากาศในตอนเย็น ยามฝนตกเนี่ย เย็นสบายมากๆ ครับ

และมื้อค่ำสำหรับคืนแรกที่กัมพูชา นี่เลยครับ นำเสนอ Beef Lok Lak
เนื้อผัดซอสมะเขือน้ำมันหอย อร่อยเลย แต่ราคาแรงไปนิด 6เหรียญ ในขณะที่เมนูอื่นๆ ทั่วไปจะอยู่ที่ 2-3 เหรียญเท่านั้นเองครับ

วันที่ 2

สืบเนื่องจากการที่ไม่ได้วางแผน  ที่คิดไว้เล่นๆ ว่าวันที่ 2 จะเข้าไปเที่ยวนครธม ก็ทำไม่ได้ ในขณะที่วันนี้ผมยังต้องอยู่ที่เสียมราฐทั้งวัน จนกว่าจะ 5 ทุ่ม
มันก็เลยเกิดอาการเคว้งคว้างสิครับ กลายเป็นว่า เป็นวันที่ผมไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะไปไหน ก็เลยเดินครับ เดินยาวๆ เดินเพลิน ตั้งแต่เที่ยงวัน ยัน 4 ทุ่ม
ถามว่าเดินไปไหน ก็เดินวนไป วนมาในเมืองนั่นแหละครับ  เจอร้านไหนน่านั่งก็เข้าไปนั่ง กินกาแฟบ้าง กินน้ำชาบ้าง  แวะวัดบ้าง แวะตลาดบ้าน วนๆไป
ซึ่งวันที่ 2 นี่ร้อนมาก ฝนไม่มีซักหยด มีแต่แดดล้วนๆ เรียกว่า เดินกันตัวดำเลยครับ


เอาที่พอจำได้ ก็ไปแวะโรงหนัง Major Cineplex ใครที่ไม่ได้เตรียมเรื่องซิมการ์ดมาจากเมืองไทย มาซื้อซิมการ์ดที่นี่ได้เลยครับ เน็ต 3 gb ราคา 6 เหรียญ ใช้ได้ 7 วันครับ ส่วนอันนี้ น้องพี่ที่รัก เวอร์ชั่นแปล แต่ไม่ได้เข้าไปชมนะครับ

แวะไปวัด Wat Preah Prom Rath វត្ត​ព្រះព្រហ្មរតន៍

ตลาดก็เดินทุกตรอกทุกซอย

สุดท้ายก็ไปหลบร้อนตอนกลางวันที่ Park Hyatt ครับ ร้านเค้าน่ารักดี อาหารก็อร่อย ราคาก็สมฐานะ
2 คน เครื่องดื่ม 2 แก้ว และเบเกิล และสลัด ก็ตก 800 ครับ

ตกเย็นก็มากินบาแก็ตใส้เนื้อ ตลอดทั้งทริป ผมชอบไอ้นี่สุด อร่อยอ่ะ

ตกค่ำ ก็เดินเล่นต่อไปที่ Pub Street แม้ว่ามันจะไม่ใหญ่โตเท่าข้าวสารแต่ก็ชิวและชิคดีครับ เป็นแค่ตรอกเล็กๆ แต่ผมว่าร้านแต่ละร้านเค้ามีสไตล์น่านั่ง ดูโปร่งสบาย นั่งชิวได้ยาวๆ

และต้องไม่พลาดกับเมนูนี้ละครับ เนื้อไอ้เข้  เหนียววววว เคี้ยวเพลิน

ประมาณ 4 ทุ่มกว่าผมก็เรียกรถ ไปท่ารถ Giant Biz bus terminal เพื่อจะขึ้นไนท์บัสไปพนมเปญครับ
ซึ่งตรงนี้ผมทำการบ้าน เลยไม่พลาด คือ จริงๆ แถวๆ Pub Street มันก็จะมี Office ของ Giant Biz ซึ่งเป็นบริษัทรถทัวร์ที่จะขึ้นไปพนมเปญด้วย
ตอนแรกผมก็เข้าใจว่าขึ้นรถได้ตรงนี้ แต่นึกเอะใจ เลยเดินไปถามไว้ตั้งแต่คืนแรกว่า ขึ้นรถที่นี่ใช่มั๊ย เจ้าหน้าที่เค้าเลยบอกเลยว่า ไม่ใช่ๆ
เราต้องนั่งรถออกไปขึ้นที่ Terminal ซึ่งก็มีสภาพตามรูปข้างล่างครับ ดังนั้น ถ้าใครจะไปพนมเปญด้วยวิธีการเดียวกับผม
ก็อย่าไปผิดที่นะครับ
ส่วนไนท์บัสที่นี่ นอนไปเลยครับ นอนคือนอน อย่าได้นั่ง เพราะหัวคุณจะติดเพดานด้านบนครับ หุหุ
ส่วนราคาไนท์บัส สำหรับการนอนข้ามคืนไปพนมเปญ ตกอยู่ที่ 500 บาท ต่อคนครับ เข้าไปจองได้ที่นี่ครับ
https://12go.asia/en/travel/siem-reap/phnom-penh?date=2018-06-19