เรื่องสั้นวันพุธ : โนรีที่จากคอน
โดย ลิอ่อง
บ้านปูนชั้นเดียวที่สร้างขึ้นหยาบๆ ริมถนนลาดยางหลังนั้นถูกปล่อยปละละเลยจากเจ้าของบ้านมานานวัน แนวรั้วหน้าบ้านที่เคยมีแผงต้นชาดัดและไม้ดอกบางชนิดช่วยกรองฝุ่นบนถนนบัดนี้ทรุดโทรมลงอย่างผิดตา แผงต้นไม้โหว่ไป เหลือเพียงบางต้นที่ยังแข็งแรงพอจะรับสภาพ ส่วนต้นมะม่วงเขียวเสวยมุมบ้านนั้นยังอยู่ เช้นเดียวกับสะเดาจืดที่เจ้าของบ้านเคยภาคภูมิใจและเก็บยอดดอกของมันขายเป็นค่ากับข้าวเมื่อถึงฤดูกาลก็ยังคงอยู่ ทว่าถูกตัดยอดไว้เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ไปรบกวนสายไฟเส้นใหญ่ที่ทอดมาตามแนวถนน
ส่วนแคร่ไม้ไผ่ที่ตั้งไว้หน้าประตูทางเข้าบ้าน ยามนี้เต็มไปด้วยข้าวของหลากประเภทกองสุมกันระเกะระกะ ทั้งเสื้อผ้า จานชาม แกลลอนพลาสติก ไม้กวาด ฯลฯ จนกลายเป็นภาพที่คนผ่านทางแลเห็นจนคุ้นตา และไม่ว่าประตูหน้าบ้านหลังนี้จะเปิดหรือไม่ แต่ข้าวของบนแคร่นั้นก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พร้อมกับที่แทบไม่เคยเห็นคนในบ้านออกมาใช้พื้นที่บริเวณนั้นเนิ่นนานมาแล้ว
“ถ้าไม่ไปรับจ้างเขา แกก็อยู่แต่ในบ้าน” ใครคนหนึ่งในย่านนั้นบอกคนที่สอบถามถึงเจ้าของบ้านหลังนี้
“แต่ก่อนฉันเห็นแกนั่งทอเสื่อ ทำของที่หน้าบ้าน บางทีก็เอาต้นกกมาตากแดดบนถนน”
“ยามนี้แกไม่ทำดอก ทำได้ไง เดี๋ยวกรึ๊บ เดี๋ยวกรึ๊บ”
คนพูดหมายความถึงนางพุด เจ้าของบ้านวัยหกสิบห้าปีแต่สภาพร่างกายร่วงโรยราวกับคนวัยแปดสิบ ผมเป็นสีขาวเกือบทั้งหัว ริ้วรอยยับย่นเต็มใบหน้าที่เกือบจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ผิวหน้าซีดเผือดทั้งด้วยสีหน้าและสีผิว ยังแต่ปากที่มีสีแดงเปรอะเปื้อนแบบคนเคี้ยวหมากตลอดเวลา
“หนักเหล้ารึ ?”
“อือ” คนที่รู้มากกว่าพยักหน้าก่อนจะถอนใจยาวและพูดต่อว่า “ก็เรื่องอียูงนั่นแหละ”
หลังจากตกล่องปล่องชิ้นอยู่กินฉันผัวเมีย นางพุดกับนายเหมือนก็มีลูกชายและลูกสาววัยไล่เลี่ยกันสี่คน ผู้พ่อที่ชื่นชอบนกเป็นพิเศษจึงตั้งชื่อให้ลูกเป็นนกสี่ชนิด คือ นกเขา นกยูง กระจิบ และกระจาบ
พอลูกๆ เติบโตขึ้นและทำมาหากินเองได้แล้ว เจ้านกเขาลูกชายคนโตก็ไปทำงานที่นิคมโรงงานทางภาคตะวันออก ลูกสาวสองคนคือ นกยูง และกระจิบ แยกเรือนออกไปตั้งแต่เรียนจบมัธยมได้ไม่นาน นกยูงผู้พี่เลือกคนต่างบ้าน แต่อยู่ด้วยกันได้ไม่ถึงสามปีก็มีอันเลิกร้างไปโดยที่ไม่มีใครรู้เหตุผล ดีที่ว่ายังไม่มีลูกด้วยกัน จึงไม่เหมือนกระจิบที่มาหย่าผัวตอนที่ลูกชายอายุหกเจ็ดขวบ แล้วก็ต้องฝากลูกชายไว้ให้ปู่ย่าตายายช่วยกันเลี้ยงเพราะแม่ไปหางานทำที่พัทยา ส่วนกระจาบ ร่างกายไม่ค่อยสู้ดี ป่วยบ่อย จึงหารับจ้างทำงานใกล้บ้านและเริ่มติดเหล้าจนเมียเพิ่งเลิกไปได้สองปี
นกยูงนั้นดูจะมีภาษีกว่าพี่น้อง ทั้งรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ เธอแต่งงานใหม่กับสมปอง หนุ่มต่างบ้านอีกคนที่ทำงานเป็นลูกจ้างในหมวดการทางใกล้อำเภอ เขาเป็นคนรูปร่างผอมบาง ผิวขาว ผมออกจะเป็นสีน้ำตาลแดงเช่นเดียวกับเธอ ทั้งคู่เหมาะสมกัน เพราะนกยูงเป็นสาวร่างเล็กและดูแลรูปร่างให้สมส่วนแม้มีลูกสาวเข้าสู่วัยรุ่นทั้งสองคน
นกยูงชอบเขียนขอบตาและทาปาก และถ้าไม่ใช่ทรงผมที่เปลี่ยนอยู่เรื่อย ก็ด้วยการสวมเสื้อผ้าเข้ารูปที่มีสีสันและรูปทรงสะดุดตาอย่างสาวรุ่นนิยมกัน ทว่าในความปราดเปรียวของเครื่องแต่งตัว นกยูงกลับเป็นคนพูดน้อยและเสียงเบา เธอได้แต่ยิ้มแทนการตอบคำถาม และลูกสาวคนโตก็รับคุณสมบัติทั้งสองข้อนี้ไปด้วย
ถึงกระนั้น นกยูงก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นอาสาสมัครของหมู่บ้านในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ คอยออกไปเก็บข้อมูลตามบ้าน เช่น วัดความดันเลือด วัดรอบเอว บางทีก็แจกทรายสำหรับป้องกันยุง แจกปฏิทินวันขึ้นปีใหม่ รวมทั้งสอบถามเรื่องอื่นๆ ตามแต่ต้นสังกัดจะมอบหมาย
ก่อนนั้น นางพุดเคยบอกใครๆ เป็นเชิงอวดว่า ลูกเขยคนใหญ่ของนางไม่ยอมให้เมียออกไปทำงานนอกบ้าน นกยูงจึงได้เป็นแม่บ้านเต็มขั้นซึ่งเธอทำได้ดีมากเสียด้วย บ้านของพวกเขาอยู่ค่อนไปทางทิศใต้สุด และตั้งอยู่หลังเดียวกลางทุ่งนาของนางพุดกับนายเหมือนที่แบ่งให้เป็นมรดกแก่ลูกๆ ไปแล้ว บ้านน้อยสร้างด้วยไม้ที่ลงแรงเลื่อยกันเองทั้งพ่อและผัวของเธอ ใช้สังกะสีมุงหลังคา ยกพื้นสูงราวเมตรเศษๆ บางตอนตีแปะด้วยปีกไม้เพื่อความประหยัดเงิน นกยูงทำให้มันน่าอยู่ด้วยการเช็ดถูพื้นกระดานอย่างสม่ำเสมอจนสะอาดสะอ้านเป็นมันเงา เก็บกวาดใต้ถุนจนโล่งเรียบ และปลูกไม้ดอกใส่กระถางตั้งวางไว้ตรงโน้นตรงนี้พอเป็นสีสันยามที่มีดอกเบ่งบาน เธอแต่งตัวให้บ้านอย่างที่แต่งให้ตัวเอง
ชีวิตของนกยูงดำเนินมาเช่นนั้นอย่างราบรื่น ต่างจากกระจิบที่ตั้งแต่หย่าผัวก็ไปพัทยาอยู่พักใหญ่ก่อนจะตกลงปลงใจกับฝรั่งแก่ๆ คราวพ่อคนหนึ่งที่ต้องการให้เธอเป็นเมียของเขา พวกเขาชวนกันมาปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของกระจิบที่ตั้งอยู่เคียงกันกับนกยูงนั่นเอง และหลังจากนั้น ใครๆ ก็เรียกกระจิบว่า “จิบเมียฝรั่ง”
บ้านของกระจิบไม่หรูหราและใหญ่โต แต่มั่นคงแข็งแรงและสวยงามตามแบบบ้านจัดสรรที่โฆษณากันทั่วไป ฝรั่งหาต้นไม้แปลกๆ มาปลูกล้อมรอบบ้านเสียจนมองแทบไม่เห็นตัวบ้าน ทั้งยังทำรั้วปูนล้อมอีกชั้นหนึ่ง เมื่อตั้งเคียงคู่กับบ้านของนกยูงแล้ว ก็ยิ่งเน้นให้บ้านไม้น้อยหลังนั้นด้อยราคาลงไป
นกยูงไม่สนิทกับแม่ เธอไม่ค่อยออกมาหานางพุดที่บ้านริมทางบ่อยเท่ากับขี่มอเตอร์ไซค์ลวดลายการ์ตูนไปตามบ้านต่างๆ ที่เป็นเครือข่ายการทำงานอาสาสมัครเช่นเดียวกับเธอ กระทั่งลูกสาวคนโตจบมัธยมต้นและไปอยู่หอพักในเมืองเพื่อเรียนต่อสายอาชีพ นกยูงจึงออกจากบ้านครั้งแรกด้วยการเป็นพนักงานประจำร้านขายส่งในตัวอำเภอที่ห่างออกไปสิบห้ากิโลเมตร
ที่จริง สมปองซื้อรถยนต์เก่ามาใช้คันหนึ่งและขับออกไปทำงานทุกวัน งานของเขาคือการทำความสะอาดตามไหล่ทาง ตัดหญ้า ตัดกิ่งไม้ใหญ่ที่กีดขวางถนน ชุดทำงานของสมปองที่คนเห็นจนชินตาก็คือ เสื้อแขนยาวสีส้มสะท้อนแสงกับกางเกงสีมอๆ และหมวกกันแดดซึ่งหลายต่อหลายครั้งอยู่ในสภาพเลอะเทอะเปรอะเปื้อน อย่างไรก็ตาม อาจเพราะเวลาที่ไม่ตรงกัน จึงทำให้นกยูงเลือกขี่มอเตอร์ไซค์ไปกลับเองเช้าเย็น หรือบางทีก็ค่ำ
“มันช่วยกันหาเงินแกเอ๊ย นังหลานคนโตเรียนในเมือง อยู่หอเข้าไปอีก ข้าละกลัวพ่อแม่มันจิเยี่ยวเป็นเลือดซะจริงๆ” นางพุดเคยปรารภกับแม่ค้าขนมจีนที่แกคุ้นเคย
“แหม นั่นมันหลานยายพุดไม่ใช่รึ ลูกนางยูงใช่มั้ยนั่น ?”
แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้านลุงหวัง มัคนายกของหมู่บ้านโพล่งขึ้นเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์ที่มีวัยรุ่นหญิงนั่งซ้อนกันสามคนมุ่งหน้าไปทางทิศใต้พร้อมเสียงอุทานแสดงความตื่นเต้น
“คนเสื้อสีเหลืองนั่นใช่มั้ย เออ นั่นแหละ” ลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านตอบ
“โอ๊ นี่มันปอไหนฮึ ทำไมด่วนเป็นสาวแท้ ?” แม่ค้ายังติดใจเด็กคนนั้น
“แค่ปอหกเอง” ลูกค้าหันมาพูดด้วยอาการลดเสียงลง “บอกตรงๆ เด้อพี่ ฉันกลัวมันไม่จบมอสาม...เที่ยวเก่งเอาแท้ๆ” หางเสียงนั้นทอดยาวอย่างอ่อนใจ
“เออ เห็นว่าแม่มันออกไปทำงานที่อำเภอไม่ใช่รึ?”
ลูกค้าคนเดิมทำหน้ามีเลศนัย
“ตอนนี้ไปกอทอมอแล้วค่า”
“นางยูงน่ะนะ?” แม่ค้าถามเสียงสูง
“จ้า”
ทั้งคนถามและคนเล่ากำลังจะสานต่อหัวข้อที่เร้าความสนใจ ก็พอดีมีลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามา เรื่องราวของนกยูงจึงชะงักเพียงแค่นั้น
(ต่อ)
เรื่องสั้นวันพุธ (13 มิ.ย. 61) : โนรีที่จากคอน
โดย ลิอ่อง
บ้านปูนชั้นเดียวที่สร้างขึ้นหยาบๆ ริมถนนลาดยางหลังนั้นถูกปล่อยปละละเลยจากเจ้าของบ้านมานานวัน แนวรั้วหน้าบ้านที่เคยมีแผงต้นชาดัดและไม้ดอกบางชนิดช่วยกรองฝุ่นบนถนนบัดนี้ทรุดโทรมลงอย่างผิดตา แผงต้นไม้โหว่ไป เหลือเพียงบางต้นที่ยังแข็งแรงพอจะรับสภาพ ส่วนต้นมะม่วงเขียวเสวยมุมบ้านนั้นยังอยู่ เช้นเดียวกับสะเดาจืดที่เจ้าของบ้านเคยภาคภูมิใจและเก็บยอดดอกของมันขายเป็นค่ากับข้าวเมื่อถึงฤดูกาลก็ยังคงอยู่ ทว่าถูกตัดยอดไว้เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ไปรบกวนสายไฟเส้นใหญ่ที่ทอดมาตามแนวถนน
ส่วนแคร่ไม้ไผ่ที่ตั้งไว้หน้าประตูทางเข้าบ้าน ยามนี้เต็มไปด้วยข้าวของหลากประเภทกองสุมกันระเกะระกะ ทั้งเสื้อผ้า จานชาม แกลลอนพลาสติก ไม้กวาด ฯลฯ จนกลายเป็นภาพที่คนผ่านทางแลเห็นจนคุ้นตา และไม่ว่าประตูหน้าบ้านหลังนี้จะเปิดหรือไม่ แต่ข้าวของบนแคร่นั้นก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พร้อมกับที่แทบไม่เคยเห็นคนในบ้านออกมาใช้พื้นที่บริเวณนั้นเนิ่นนานมาแล้ว
“ถ้าไม่ไปรับจ้างเขา แกก็อยู่แต่ในบ้าน” ใครคนหนึ่งในย่านนั้นบอกคนที่สอบถามถึงเจ้าของบ้านหลังนี้
“แต่ก่อนฉันเห็นแกนั่งทอเสื่อ ทำของที่หน้าบ้าน บางทีก็เอาต้นกกมาตากแดดบนถนน”
“ยามนี้แกไม่ทำดอก ทำได้ไง เดี๋ยวกรึ๊บ เดี๋ยวกรึ๊บ”
คนพูดหมายความถึงนางพุด เจ้าของบ้านวัยหกสิบห้าปีแต่สภาพร่างกายร่วงโรยราวกับคนวัยแปดสิบ ผมเป็นสีขาวเกือบทั้งหัว ริ้วรอยยับย่นเต็มใบหน้าที่เกือบจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ผิวหน้าซีดเผือดทั้งด้วยสีหน้าและสีผิว ยังแต่ปากที่มีสีแดงเปรอะเปื้อนแบบคนเคี้ยวหมากตลอดเวลา
“หนักเหล้ารึ ?”
“อือ” คนที่รู้มากกว่าพยักหน้าก่อนจะถอนใจยาวและพูดต่อว่า “ก็เรื่องอียูงนั่นแหละ”
หลังจากตกล่องปล่องชิ้นอยู่กินฉันผัวเมีย นางพุดกับนายเหมือนก็มีลูกชายและลูกสาววัยไล่เลี่ยกันสี่คน ผู้พ่อที่ชื่นชอบนกเป็นพิเศษจึงตั้งชื่อให้ลูกเป็นนกสี่ชนิด คือ นกเขา นกยูง กระจิบ และกระจาบ
พอลูกๆ เติบโตขึ้นและทำมาหากินเองได้แล้ว เจ้านกเขาลูกชายคนโตก็ไปทำงานที่นิคมโรงงานทางภาคตะวันออก ลูกสาวสองคนคือ นกยูง และกระจิบ แยกเรือนออกไปตั้งแต่เรียนจบมัธยมได้ไม่นาน นกยูงผู้พี่เลือกคนต่างบ้าน แต่อยู่ด้วยกันได้ไม่ถึงสามปีก็มีอันเลิกร้างไปโดยที่ไม่มีใครรู้เหตุผล ดีที่ว่ายังไม่มีลูกด้วยกัน จึงไม่เหมือนกระจิบที่มาหย่าผัวตอนที่ลูกชายอายุหกเจ็ดขวบ แล้วก็ต้องฝากลูกชายไว้ให้ปู่ย่าตายายช่วยกันเลี้ยงเพราะแม่ไปหางานทำที่พัทยา ส่วนกระจาบ ร่างกายไม่ค่อยสู้ดี ป่วยบ่อย จึงหารับจ้างทำงานใกล้บ้านและเริ่มติดเหล้าจนเมียเพิ่งเลิกไปได้สองปี
นกยูงนั้นดูจะมีภาษีกว่าพี่น้อง ทั้งรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ เธอแต่งงานใหม่กับสมปอง หนุ่มต่างบ้านอีกคนที่ทำงานเป็นลูกจ้างในหมวดการทางใกล้อำเภอ เขาเป็นคนรูปร่างผอมบาง ผิวขาว ผมออกจะเป็นสีน้ำตาลแดงเช่นเดียวกับเธอ ทั้งคู่เหมาะสมกัน เพราะนกยูงเป็นสาวร่างเล็กและดูแลรูปร่างให้สมส่วนแม้มีลูกสาวเข้าสู่วัยรุ่นทั้งสองคน
นกยูงชอบเขียนขอบตาและทาปาก และถ้าไม่ใช่ทรงผมที่เปลี่ยนอยู่เรื่อย ก็ด้วยการสวมเสื้อผ้าเข้ารูปที่มีสีสันและรูปทรงสะดุดตาอย่างสาวรุ่นนิยมกัน ทว่าในความปราดเปรียวของเครื่องแต่งตัว นกยูงกลับเป็นคนพูดน้อยและเสียงเบา เธอได้แต่ยิ้มแทนการตอบคำถาม และลูกสาวคนโตก็รับคุณสมบัติทั้งสองข้อนี้ไปด้วย
ถึงกระนั้น นกยูงก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นอาสาสมัครของหมู่บ้านในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ คอยออกไปเก็บข้อมูลตามบ้าน เช่น วัดความดันเลือด วัดรอบเอว บางทีก็แจกทรายสำหรับป้องกันยุง แจกปฏิทินวันขึ้นปีใหม่ รวมทั้งสอบถามเรื่องอื่นๆ ตามแต่ต้นสังกัดจะมอบหมาย
ก่อนนั้น นางพุดเคยบอกใครๆ เป็นเชิงอวดว่า ลูกเขยคนใหญ่ของนางไม่ยอมให้เมียออกไปทำงานนอกบ้าน นกยูงจึงได้เป็นแม่บ้านเต็มขั้นซึ่งเธอทำได้ดีมากเสียด้วย บ้านของพวกเขาอยู่ค่อนไปทางทิศใต้สุด และตั้งอยู่หลังเดียวกลางทุ่งนาของนางพุดกับนายเหมือนที่แบ่งให้เป็นมรดกแก่ลูกๆ ไปแล้ว บ้านน้อยสร้างด้วยไม้ที่ลงแรงเลื่อยกันเองทั้งพ่อและผัวของเธอ ใช้สังกะสีมุงหลังคา ยกพื้นสูงราวเมตรเศษๆ บางตอนตีแปะด้วยปีกไม้เพื่อความประหยัดเงิน นกยูงทำให้มันน่าอยู่ด้วยการเช็ดถูพื้นกระดานอย่างสม่ำเสมอจนสะอาดสะอ้านเป็นมันเงา เก็บกวาดใต้ถุนจนโล่งเรียบ และปลูกไม้ดอกใส่กระถางตั้งวางไว้ตรงโน้นตรงนี้พอเป็นสีสันยามที่มีดอกเบ่งบาน เธอแต่งตัวให้บ้านอย่างที่แต่งให้ตัวเอง
ชีวิตของนกยูงดำเนินมาเช่นนั้นอย่างราบรื่น ต่างจากกระจิบที่ตั้งแต่หย่าผัวก็ไปพัทยาอยู่พักใหญ่ก่อนจะตกลงปลงใจกับฝรั่งแก่ๆ คราวพ่อคนหนึ่งที่ต้องการให้เธอเป็นเมียของเขา พวกเขาชวนกันมาปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของกระจิบที่ตั้งอยู่เคียงกันกับนกยูงนั่นเอง และหลังจากนั้น ใครๆ ก็เรียกกระจิบว่า “จิบเมียฝรั่ง”
บ้านของกระจิบไม่หรูหราและใหญ่โต แต่มั่นคงแข็งแรงและสวยงามตามแบบบ้านจัดสรรที่โฆษณากันทั่วไป ฝรั่งหาต้นไม้แปลกๆ มาปลูกล้อมรอบบ้านเสียจนมองแทบไม่เห็นตัวบ้าน ทั้งยังทำรั้วปูนล้อมอีกชั้นหนึ่ง เมื่อตั้งเคียงคู่กับบ้านของนกยูงแล้ว ก็ยิ่งเน้นให้บ้านไม้น้อยหลังนั้นด้อยราคาลงไป
นกยูงไม่สนิทกับแม่ เธอไม่ค่อยออกมาหานางพุดที่บ้านริมทางบ่อยเท่ากับขี่มอเตอร์ไซค์ลวดลายการ์ตูนไปตามบ้านต่างๆ ที่เป็นเครือข่ายการทำงานอาสาสมัครเช่นเดียวกับเธอ กระทั่งลูกสาวคนโตจบมัธยมต้นและไปอยู่หอพักในเมืองเพื่อเรียนต่อสายอาชีพ นกยูงจึงออกจากบ้านครั้งแรกด้วยการเป็นพนักงานประจำร้านขายส่งในตัวอำเภอที่ห่างออกไปสิบห้ากิโลเมตร
ที่จริง สมปองซื้อรถยนต์เก่ามาใช้คันหนึ่งและขับออกไปทำงานทุกวัน งานของเขาคือการทำความสะอาดตามไหล่ทาง ตัดหญ้า ตัดกิ่งไม้ใหญ่ที่กีดขวางถนน ชุดทำงานของสมปองที่คนเห็นจนชินตาก็คือ เสื้อแขนยาวสีส้มสะท้อนแสงกับกางเกงสีมอๆ และหมวกกันแดดซึ่งหลายต่อหลายครั้งอยู่ในสภาพเลอะเทอะเปรอะเปื้อน อย่างไรก็ตาม อาจเพราะเวลาที่ไม่ตรงกัน จึงทำให้นกยูงเลือกขี่มอเตอร์ไซค์ไปกลับเองเช้าเย็น หรือบางทีก็ค่ำ
“มันช่วยกันหาเงินแกเอ๊ย นังหลานคนโตเรียนในเมือง อยู่หอเข้าไปอีก ข้าละกลัวพ่อแม่มันจิเยี่ยวเป็นเลือดซะจริงๆ” นางพุดเคยปรารภกับแม่ค้าขนมจีนที่แกคุ้นเคย
“แหม นั่นมันหลานยายพุดไม่ใช่รึ ลูกนางยูงใช่มั้ยนั่น ?”
แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้านลุงหวัง มัคนายกของหมู่บ้านโพล่งขึ้นเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์ที่มีวัยรุ่นหญิงนั่งซ้อนกันสามคนมุ่งหน้าไปทางทิศใต้พร้อมเสียงอุทานแสดงความตื่นเต้น
“คนเสื้อสีเหลืองนั่นใช่มั้ย เออ นั่นแหละ” ลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านตอบ
“โอ๊ นี่มันปอไหนฮึ ทำไมด่วนเป็นสาวแท้ ?” แม่ค้ายังติดใจเด็กคนนั้น
“แค่ปอหกเอง” ลูกค้าหันมาพูดด้วยอาการลดเสียงลง “บอกตรงๆ เด้อพี่ ฉันกลัวมันไม่จบมอสาม...เที่ยวเก่งเอาแท้ๆ” หางเสียงนั้นทอดยาวอย่างอ่อนใจ
“เออ เห็นว่าแม่มันออกไปทำงานที่อำเภอไม่ใช่รึ?”
ลูกค้าคนเดิมทำหน้ามีเลศนัย
“ตอนนี้ไปกอทอมอแล้วค่า”
“นางยูงน่ะนะ?” แม่ค้าถามเสียงสูง
“จ้า”
ทั้งคนถามและคนเล่ากำลังจะสานต่อหัวข้อที่เร้าความสนใจ ก็พอดีมีลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามา เรื่องราวของนกยูงจึงชะงักเพียงแค่นั้น
(ต่อ)