แกะรอยศาสดา นบีนูฮฺ หรือโนอาห์
เขาคือนูฮฺ อิบนุลามิก อิบนุมิโตชิลค์ อิบนุอีโนค อิบนุยารด์ อิบนุมะฮฺละบีล อิบนุกินาน อิบนุอาโนช อิบนุเซธ อิบนุอาดัมบิดาแห่งมนุษยชาติตามประวัติศาสตร์ของชาวคัมภีร์
1 ระยะเวลาระหว่างการเกิดของนูฮฺและการตายของอาดัมคือ 146 ปี
2 แต่อิบนุอับบาสได้เล่าว่าท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า : “ระยะเวลาระหว่างอาดัมกับนูฮฺคือสิบศตวรรษ”
3.1“ชาวคัมภีร์” หมายถึงชาวยิวและคริสเตียนดังที่อัลลอฮฺทรงเรียกพวกนี้ เพราะคนพวกนี้ได้รับคัมภีร์ที่ถูกประทานมา นั่นคือ เตารอต, ษะบูรฺ และอินญีล ชื่อเหล่านี้ได้ถูกแปลออกเป็นภาษาอังกฤษว่า Torah, Psalms, Gospels ตามลำดับ แต่ต้นฉบับที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปเป็นจำนวนมาก ในบรรดาคัมภีร์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมานั้น มีเพียงคัมภีร์กุรอานที่ยังคงเหมือนเดิมเช่นเดียวกับเมื่อตอนที่ได้ถูกประทานมา
3.2 ตามพันธสัญญาเก่าฉบับปฐมกาล 5 (ฉบับมาตรฐานแก้ไขใหม่) นูฮฺเกิดหลังจากอาดัมเสียชีวิต 126 ปี
3.3 บันทึกโดยบุคอรี
ผู้คนในสมัยของนูฮฺได้เคารพสักการะรูปปั้นที่ถูกเรียกว่าเทพเจ้ามาเป็นเวลาหลายชั่วคน พวกเขาเชื่อว่าเทพเจ้าเหล่านี้จะนำความดีมาให้พวกเขา คุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากความชั่วและตอบสนองความต้องการของพวกเขาทุกอย่าง พวกเขาเรียกชื่อรูปเคารพเหล่านี้ด้วยนามต่างๆ เช่น วัดด์, สุวาอ์, ยะฆูษ, ยะอู๊ก และนัซร์ ตามอำนาจที่พวกเขาคิดว่าเทพเจ้าเหล่านี้มีอยู่
อัลลอฮฺได้ทรงเปิดออกเผยให้ทราบว่า : พวกเขา (ผู้บูชาเทวรูป) กล่าวว่า “จงอย่าละทิ้งเทพเจ้าทั้งหลายของพวกท่านและจงอย่าทิ้งวัดด์และสุวาอ์และยะฆูษและยะอู๊กและนัซร์” (กุรอาน 71:23)
เดิมทีแล้ว ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อของคนดีที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของพวกเขา แต่หลังจากที่คนเหล่านี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว ผู้คนได้สร้างรูปปั้นของคนเหล่านี้ไว้เป็นอนุสรณ์หลังจากที่เวลาผ่านไป ผู้คนก็ได้เริ่มสักการะบูชารูปปั้นเหล่านี้ คนในรุ่นต่อๆมาก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมรูปปั้นเหล่านี้ได้ถูกตั้งขึ้นมา พวกเขารู้แต่เพียงว่าพ่อแม่ของพวกเขาได้สักการะวิงวอนต่อเทวรูปเหล่านี้ นี่คือที่มาของวิวัฒนาการการเคารพรูปปั้น เนื่องจากคนพวกนี้ไม่มีความเข้าใจว่าอัลลอฮฺผู้ทรงอำนาจจะลงโทษพวกเขาสำหรับความชั่วที่เขาได้ทำไว้ พวกเขาจึงกลายเป็นคนเหี้ยมโหดและไร้ศีลธรรม
อิบนุอับบาสได้อธิบายว่า : “เมื่อคนดีเสียชีวิตลง มารร้ายชัยฏอนก็จะดลใจให้ผู้คนของคนดีเหล่านั้นสร้างรูปปั้นขึ้นมาตรงบริเวณที่เขาเคยนั่ง แต่รูปปั้นเหล่านั้นยังไม่ได้ถูกสักการะกราบไหว้กระทั่งชนรุ่นต่อมาได้หลงออกไปจากแนวทางแห่งชีวิตที่ถูกต้อง หลังจากนั้น ผู้คนเหล่านี้ก็หันมาเคารพสักการะรูปปั้นเหล่านั้น”
ในฉบับของอิบนุญะรีรฺได้กล่าวว่า : “ในช่วงเวลาระหว่างอาดัมและนูฮฺมีคนดีอยู่หลายคนและคนเหล่านี้มีผู้ปฏิบัติตามที่ยึดถือพวกเขาเป็นแบบอย่าง หลังจากที่คนเหล่านี้เสียชีวิตไป เพื่อนๆของพวกเขาที่เคยเลียนแบบพวกเขาได้กล่าวว่า “ถ้าเราทำรูปปั้นของพวกเขาไว้ มันก็จะทำให้เรามีความสุขยิ่งขึ้นในการสวดวิงวอนของเราและเป็นสิ่งที่เตือนเราให้นึกถึงพวกเขา” “ดังนั้น พวกเขาจึงได้สร้างรูปปั้นของคนเหล่านั้นขึ้นมา
และหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิตไปแล้ว อิบลีสก็ได้คืบคลานไปในความคิดจิตใจของรุ่นหลังและกระซิบว่า “พ่อๆของพวกท่านเคยสักการบูชาพวกเขาและโดยการสักการบูชานี้เองที่ทำให้พวกเขาได้ฝน” ดังนั้น “พวกเขาจึงได้สักการบูชารูปปั้นเหล่านั้น”
อิบนุ อบีฮาติมได้เล่าว่า : “วัดด์เป็นผู้มีธรรมคนหนึ่งซึ่งเป็นที่รักของผู้คน เมื่อเขาเสียชีวิต ผู้คนได้มายังสุสานของเขาในบาบิโลนและแสดงความเศร้าโศกเสียใจในการตายของเขา เมื่ออิบลีสเห็นเช่นนั้น มันก็แปลงร่างตัวเองเป็นมนุษย์และกล่าวกับผู้คนว่า “ฉันเห็นพวกท่านโศกเศร้าเพราะการเสียชีวิตของคนผู้นี้ ฉันจะสร้างรูปปั้นที่เหมือนกับเขาแล้วตั้งไว้ในสถานที่ที่พวกท่านพบกันเพื่อเป็นสิ่งรำลึกถึงเขาได้ไหม?” ผู้คนต่างเห็นด้วย
ดังนั้นลูกหลานของพวกเขาจึงได้รับรู้และเห็นสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติกัน นอกจากนั้นแล้ว พวกเขาได้เรียนรู้ถึงการทำพิธีรำลึกถึงคนผู้นั้น จนกระทั่งพวกเขายึดเอาคนผู้นั้นเป็นสิ่งสักการะบูชาและเคารพสักการะเขาแทนอัลลอฮฺ ดังนั้น สิ่งแรกที่ได้ถูกสักการะแทนอัลลอฮฺก็คือวัดด์ซึ่งเป็นรูปปั้นที่พวกเขาตั้งชื่อขึ้นมาตามชื่อของคนดีที่พวกเขารัก”
นูฮฺกล่าวว่า: "ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน พวกเขาไม่เชื่อฟังฉันและปฏิบัติตามพวกที่ ทรัพย์สินและลูกหลานของเขามีแต่จะทำให้พวกเขาขาดทุนเพิ่มขึ้นเท่านั้น พวกเขาได้วางแผนการใหญ่กันไว้" พวกเขากล่าวว่า "จงอย่าละทิ้งพระเจ้าต่างๆของพวกท่านและ จงอย่าทิ้งวัดด์และสุวาอ์และยะฆูษและยะอู๊กและนัซร์ พวกเขาได้ทำให้ผู้คนมากมายหลงผิดและทำให้ผู้ทำผิดมีแต่หลงผิดมากขึ้น’” เพราะบาปทั้งหลายของพวกเขานั้นเองที่พวกเขาได้จมน้ำตายและได้ถูกโยนเข้าไปในนรก หลังจากนั้น พวกเขาก็ไม่พบผู้ช่วยเหลือใดๆที่จะช่วยพวกเขาให้พ้นจากอัลลอฮฺ(กุรอาน 71:1-25)
นบีนูฮฺยังคงเรียกร้องผู้คนของเขาให้เชื่อในอัลลอฮฺเป็นเวลาถึง950 ปี อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า : “และเราได้ส่งนูฮฺไปยังหมู่ชนของเขา และเขาได้อยู่กับพวกเป็นเวลาหนึ่งพันหย่อนห้าสิบปี” (กุรอาน 29:14)
แต่ปรากฏว่าคนทุกรุ่นได้เตือนประชากรรุ่นต่อมามิให้เชื่อนบีนูฮฺและต่อต้านเขา พ่อได้สอนลูกของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องที่ตนเองต่อล้อต่อเถียงกับนบีนูฮฺและสั่งลูกของตนให้ปฏิเสธการเรียกร้องของนบีนูฮฺ ดังนั้น อารมณ์ทางธรรมชาติของคนเหล่านี้จึงปฏิเสธที่จะศรัทธาและปฏิบัติตามความจริง
วันหนึ่ง เมื่ออัลลอฮฺได้เปิดเผยให้นบีนูฮฺได้ทราบว่าจะไม่มีใครอีกแล้วที่ศรัทธาและพระองค์ได้ทรงดลใจเขามิให้เสียใจกับคนเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ นูฮฺจึงได้วิงวอนต่อพระเจ้าให้ทรงทำลายบรรดาผู้ไม่ศรัทธาเสีย
“ถ้าหากพระองค์ทรงปล่อยพวกเขาไว้ พวกเขาก็จะนำบ่าวของพระองค์ไปสู่การหลงผิด และพวกเขาจะไม่ให้กำเนิดผู้ใดนอกไปจากทำบาปและผู้ปฏิเสธเท่านั้น” (กุรอาน71:27)
อัลลอฮฺทรงรับคำวิงวอนของนบีนูฮฺ หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงตัดสินบรรดาผู้ไม่ศรัทธาเหล่านี้โดยการให้เกิดน้ำท่วม แต่ก่อนที่พระองค์จะทรงลงโทษ พระองค์ได้สั่งให้นบีนูฮฺสร้างเรือลำใหญ่ขึ้นมาด้วยความรู้และความแนะนำของพระองค์และด้วยความช่วยเหลือของบรรดามลาอิก๊ะฮฺ อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาว่า “และจงสร้างเรือใหญ่ขึ้นมาลำหนึ่งตามคำบัญชาและตามวะฮีย์ของเรา และจงอย่าเอ่ยขออะไรกับฉันให้แก่บรรดาผู้อธรรม แท้จริงคนพวกนี้จะถูกน้ำท่วมตาย” (กุรอาน 11:37)
นูฮฺได้เลือกสถานที่แห่งหนึ่งนอกเมืองที่ห่างไกลจากทะเล เขาได้ไปเก็บรวมรวมไม้และเครื่องมือมา หลังจากนั้นก็เริ่มทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อผู้คนมาเห็นจึงหัวเราะเยาะว่า “นูฮฺเอ๋ย ท่านเป็นช่างไม้มากกว่าเป็นนบีไปแล้วหรือนี่ ? ทำไมท่านจึงได้มาสร้างเรือใหญ่ในสถานที่ที่ห่างไกลจากทะเลอย่างนี้ ? ท่านจะลากมันไปยังทะเลหรือจะให้ลมพัดมันไปให้ท่าน ? นบีนูฮฺได้ตอบว่า “แล้วพวกท่านจะรู้เองว่าใครจะละอายใจและเดือดร้อน”
อัลลอฮฺได้ทรงเล่าว่า : “ดังนั้น นูฮฺจึงได้เริ่มสร้างเรือ และคราวใดที่พวกหัวหน้าหมู่ชนของเขาผ่านมาเห็น พวกเขาก็หัวเราะเยาะ นูฮฺได้กล่าวว่า "หัวเราะเยาะเราะไปเถิดถ้าพวกท่านต้องการ เราก็กำลังหัวเราะเยาะพวกท่านเช่นกัน เพราะในไม่ช้า พวกท่านจะรู้ว่าใครที่จะได้รับการลงโทษที่ทำให้ต้องอัปยศและใครที่จะได้รับการลงโทษอันยาวนานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้’” (กุรอาน 11:38-39)
เมื่อถูกสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว นบีนูฮฺก็นั่งรอคำบัญชาของอัลลอฮฺ หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ได้ทรงบอกให้เขาทราบว่าเมื่อน้ำพุ่งออกมาจากเตาที่บ้านของเขาอย่างมหัศจรรย์เมื่อใด นั่นคือสัญญาณการเริ่มต้นของน้ำท่วมซึ่งเป็นสัญญาณสำหรับเขาให้เริ่มทำตามคำบัญชา
แล้ววันอันน่าสะพรึงกลัวก็มาถึงเมื่อเตาที่บ้านของนบีนูฮฺมีน้ำท่วมทะลักขึ้นมานบีนูฮฺได้รีบไปเปิดเรือและเรียกบรรดาผู้ศรัทธาให้มาที่เรือ นอกจากนั้นแล้ว เขายังได้เอาสัตว์ต่างๆทั้งตัวผู้และตัวเมียทุกชนิดอย่างละคู่ แม้กระทั่งนกและมดขึ้นเรือไปด้วยเสียงดังและกล่าวว่า “นูฮฺจะต้องบ้าแน่แล้ว เขากำลังจะทำอะไรกับสัตว์เหล่านี้ ?”
อัลลอฮฺทรงเล่าว่า:“จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มาถึงและเตาได้มีน้ำพุ่งออกมา เราได้กล่าวว่า "จงเอาสัตว์ทุกชนิดอย่างละคู่ขึ้นเรือพร้อมกับคนของเจ้าด้วย ยกเว้นคนที่ได้ถูกพระบัญชากำหนดโทษไว้แล้ว และให้เอาบรรดาผู้ศรัทธาขึ้นเรือด้วย" แต่ผู้ศรัทธาที่อยู่กับนูฮฺนั้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” (กุรอาน 11:40)
ภรรยาของนบีนูฮฺไม่ได้เป็นผู้ศรัทธา ดังนั้น นางจึงไม่ได้ไปกับเขา รวมทั้งลูกชายคนหนึ่งของเขาซึ่งเป็นผู้ไม่ศรัทธา แต่แสร้งทำเป็นศรัทธาเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ขณะเดียวกัน ผู้คนส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ไม่ศรัทธาและไม่ยอมขึ้นเรือ
นักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องจำนวนคนที่อยู่กับนบีนูฮฺบนเรืออิบนุอับบาสกล่าวว่ามีผู้ศรัทธาเพียง 80 คนเท่านั้น ในขณะที่กะอับ อัลอะฮฺบารฺกล่าวว่ามี 72 คน แต่ก็มีคนอื่นๆกล่าวว่ามีผู้ศรัทธาอยู่บนเรือกับนบีนูฮฺเพียง 10 คน เท่านั้น
น้ำได้พุงขึ้นมาจากรอยแยกทุกแห่งบนผืนดิน หลังจากนั้นมีฝนตกลงมาจากท้องฟ้าในปริมาณที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในโลก น้ำยังคงหลั่งมาจากท้องฟ้าและทะลักขึ้นมาจากรอยแยกของพื้นดินอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมงจนระดับน้ำสูงขึ้น น้ำทะเลและคลื่นก็ทะลักเข้ามาในแผ่นดิน ดังนั้น แผ่นดินภายในจึงหดสั้นลงและผืนมหาสมุทรก็เริ่มแผ่ขยายเพิ่มขึ้นจนท่วมแผ่นดินที่แห้งแล้ง นี่เป็นครั้งแรกที่โลกจมอยู่ใต้น้ำ
อัลลอฮฺได้ทรงเล่าว่า: “นูฮฺกล่าวว่า "จงขึ้นมาบนเรือด้วยพระนานของอัลลอฮฺไม่ว่ามันจะแล่นหรือจอดก็ตาม พระผู้อภิบาลของฉันเป็นผู้ทรงอภัยและผู้ทรงเมตตาเสมอ" ขณะที่เรือกำลังแล่นพาพวกเขาบนคลื่นใหญ่ดุจดังภูเขาอยู่นั้น นูฮฺก็ได้ร้องเรียกลูกชายของเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปว่า "ลูกเอ๋ยจงขึ้นมาบนเรือลำนี้และอย่าอยู่กับบรรดาผู้ปฏิเสธ"
แต่ลูกชายของเขาตอบว่า "ฉันปีนขึ้นไปบนภูเขาที่จะทำให้ฉันพ้นจากน้ำ" นูฮฺจึงกล่าวว่า "วันนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะคุ้มครองป้องกันใครให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้ เว้นแต่ผู้ที่พระองค์จะทรงเมตตาเท่านั้น" ในขณะนั้นเอง คลื่นน้ำก็ซัดเข้ามาระหว่างคนทั้งสอง และเขาก็เป็นหนึ่งหมู่ผู้จมน้ำ และได้มีบัญชาลงมาว่า "แผ่นดินเอ๋ย จงกลืนน้ำของเจ้า และฟ้าเอ๋ยจงหยุดหลั่งน้ำฝนเสีย" ดังนั้น น้ำจึงได้ซึมหายไปในแผ่นดิน คำบัญชาของพระองค์ได้เสร็จสิ้นแล้ว และเรือก็ได้จอดอยู่บนภูเขาญูดีย์และได้มีการประกาศว่า "ผู้ก่อความอธรรมได้ถูกขจัดออกไปหมดแล้ว"
นูฮฺได้ร้องเรียนพระผู้อภิบาลของเขา โดยกล่าวว่า "ข้าแต่พระผู้ อภิบาลของฉัน ลูกชายของฉันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของฉัน และสัญญาของพระองค์นั้นเป็นความจริง และพระองค์ทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในบรรดาผู้ปกครองทั้งหมด"
พระองค์ได้ทรงตอบว่า "นูฮฺเอ๋ยแท้จริงเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเจ้า ความจริงแล้ว เขาเป็นการงานที่ไม่ดี ดังนั้น จงอย่าขอสิ่งใดจากฉันในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ ฉันขอตักเตือนเจ้าว่าอย่าได้ปฏิบัติตนเหมือนพวกคนโง่เขลา"
แกะรอยศาสดา นบีนูฮฺ หรือโนอาห์
เขาคือนูฮฺ อิบนุลามิก อิบนุมิโตชิลค์ อิบนุอีโนค อิบนุยารด์ อิบนุมะฮฺละบีล อิบนุกินาน อิบนุอาโนช อิบนุเซธ อิบนุอาดัมบิดาแห่งมนุษยชาติตามประวัติศาสตร์ของชาวคัมภีร์
1 ระยะเวลาระหว่างการเกิดของนูฮฺและการตายของอาดัมคือ 146 ปี
2 แต่อิบนุอับบาสได้เล่าว่าท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า : “ระยะเวลาระหว่างอาดัมกับนูฮฺคือสิบศตวรรษ”
3.1“ชาวคัมภีร์” หมายถึงชาวยิวและคริสเตียนดังที่อัลลอฮฺทรงเรียกพวกนี้ เพราะคนพวกนี้ได้รับคัมภีร์ที่ถูกประทานมา นั่นคือ เตารอต, ษะบูรฺ และอินญีล ชื่อเหล่านี้ได้ถูกแปลออกเป็นภาษาอังกฤษว่า Torah, Psalms, Gospels ตามลำดับ แต่ต้นฉบับที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปเป็นจำนวนมาก ในบรรดาคัมภีร์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมานั้น มีเพียงคัมภีร์กุรอานที่ยังคงเหมือนเดิมเช่นเดียวกับเมื่อตอนที่ได้ถูกประทานมา
3.2 ตามพันธสัญญาเก่าฉบับปฐมกาล 5 (ฉบับมาตรฐานแก้ไขใหม่) นูฮฺเกิดหลังจากอาดัมเสียชีวิต 126 ปี
3.3 บันทึกโดยบุคอรี
ผู้คนในสมัยของนูฮฺได้เคารพสักการะรูปปั้นที่ถูกเรียกว่าเทพเจ้ามาเป็นเวลาหลายชั่วคน พวกเขาเชื่อว่าเทพเจ้าเหล่านี้จะนำความดีมาให้พวกเขา คุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากความชั่วและตอบสนองความต้องการของพวกเขาทุกอย่าง พวกเขาเรียกชื่อรูปเคารพเหล่านี้ด้วยนามต่างๆ เช่น วัดด์, สุวาอ์, ยะฆูษ, ยะอู๊ก และนัซร์ ตามอำนาจที่พวกเขาคิดว่าเทพเจ้าเหล่านี้มีอยู่
อัลลอฮฺได้ทรงเปิดออกเผยให้ทราบว่า : พวกเขา (ผู้บูชาเทวรูป) กล่าวว่า “จงอย่าละทิ้งเทพเจ้าทั้งหลายของพวกท่านและจงอย่าทิ้งวัดด์และสุวาอ์และยะฆูษและยะอู๊กและนัซร์” (กุรอาน 71:23)
เดิมทีแล้ว ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อของคนดีที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของพวกเขา แต่หลังจากที่คนเหล่านี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว ผู้คนได้สร้างรูปปั้นของคนเหล่านี้ไว้เป็นอนุสรณ์หลังจากที่เวลาผ่านไป ผู้คนก็ได้เริ่มสักการะบูชารูปปั้นเหล่านี้ คนในรุ่นต่อๆมาก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมรูปปั้นเหล่านี้ได้ถูกตั้งขึ้นมา พวกเขารู้แต่เพียงว่าพ่อแม่ของพวกเขาได้สักการะวิงวอนต่อเทวรูปเหล่านี้ นี่คือที่มาของวิวัฒนาการการเคารพรูปปั้น เนื่องจากคนพวกนี้ไม่มีความเข้าใจว่าอัลลอฮฺผู้ทรงอำนาจจะลงโทษพวกเขาสำหรับความชั่วที่เขาได้ทำไว้ พวกเขาจึงกลายเป็นคนเหี้ยมโหดและไร้ศีลธรรม
อิบนุอับบาสได้อธิบายว่า : “เมื่อคนดีเสียชีวิตลง มารร้ายชัยฏอนก็จะดลใจให้ผู้คนของคนดีเหล่านั้นสร้างรูปปั้นขึ้นมาตรงบริเวณที่เขาเคยนั่ง แต่รูปปั้นเหล่านั้นยังไม่ได้ถูกสักการะกราบไหว้กระทั่งชนรุ่นต่อมาได้หลงออกไปจากแนวทางแห่งชีวิตที่ถูกต้อง หลังจากนั้น ผู้คนเหล่านี้ก็หันมาเคารพสักการะรูปปั้นเหล่านั้น”
ในฉบับของอิบนุญะรีรฺได้กล่าวว่า : “ในช่วงเวลาระหว่างอาดัมและนูฮฺมีคนดีอยู่หลายคนและคนเหล่านี้มีผู้ปฏิบัติตามที่ยึดถือพวกเขาเป็นแบบอย่าง หลังจากที่คนเหล่านี้เสียชีวิตไป เพื่อนๆของพวกเขาที่เคยเลียนแบบพวกเขาได้กล่าวว่า “ถ้าเราทำรูปปั้นของพวกเขาไว้ มันก็จะทำให้เรามีความสุขยิ่งขึ้นในการสวดวิงวอนของเราและเป็นสิ่งที่เตือนเราให้นึกถึงพวกเขา” “ดังนั้น พวกเขาจึงได้สร้างรูปปั้นของคนเหล่านั้นขึ้นมา
และหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิตไปแล้ว อิบลีสก็ได้คืบคลานไปในความคิดจิตใจของรุ่นหลังและกระซิบว่า “พ่อๆของพวกท่านเคยสักการบูชาพวกเขาและโดยการสักการบูชานี้เองที่ทำให้พวกเขาได้ฝน” ดังนั้น “พวกเขาจึงได้สักการบูชารูปปั้นเหล่านั้น”
อิบนุ อบีฮาติมได้เล่าว่า : “วัดด์เป็นผู้มีธรรมคนหนึ่งซึ่งเป็นที่รักของผู้คน เมื่อเขาเสียชีวิต ผู้คนได้มายังสุสานของเขาในบาบิโลนและแสดงความเศร้าโศกเสียใจในการตายของเขา เมื่ออิบลีสเห็นเช่นนั้น มันก็แปลงร่างตัวเองเป็นมนุษย์และกล่าวกับผู้คนว่า “ฉันเห็นพวกท่านโศกเศร้าเพราะการเสียชีวิตของคนผู้นี้ ฉันจะสร้างรูปปั้นที่เหมือนกับเขาแล้วตั้งไว้ในสถานที่ที่พวกท่านพบกันเพื่อเป็นสิ่งรำลึกถึงเขาได้ไหม?” ผู้คนต่างเห็นด้วย
ดังนั้นลูกหลานของพวกเขาจึงได้รับรู้และเห็นสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติกัน นอกจากนั้นแล้ว พวกเขาได้เรียนรู้ถึงการทำพิธีรำลึกถึงคนผู้นั้น จนกระทั่งพวกเขายึดเอาคนผู้นั้นเป็นสิ่งสักการะบูชาและเคารพสักการะเขาแทนอัลลอฮฺ ดังนั้น สิ่งแรกที่ได้ถูกสักการะแทนอัลลอฮฺก็คือวัดด์ซึ่งเป็นรูปปั้นที่พวกเขาตั้งชื่อขึ้นมาตามชื่อของคนดีที่พวกเขารัก”
นูฮฺกล่าวว่า: "ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน พวกเขาไม่เชื่อฟังฉันและปฏิบัติตามพวกที่ ทรัพย์สินและลูกหลานของเขามีแต่จะทำให้พวกเขาขาดทุนเพิ่มขึ้นเท่านั้น พวกเขาได้วางแผนการใหญ่กันไว้" พวกเขากล่าวว่า "จงอย่าละทิ้งพระเจ้าต่างๆของพวกท่านและ จงอย่าทิ้งวัดด์และสุวาอ์และยะฆูษและยะอู๊กและนัซร์ พวกเขาได้ทำให้ผู้คนมากมายหลงผิดและทำให้ผู้ทำผิดมีแต่หลงผิดมากขึ้น’” เพราะบาปทั้งหลายของพวกเขานั้นเองที่พวกเขาได้จมน้ำตายและได้ถูกโยนเข้าไปในนรก หลังจากนั้น พวกเขาก็ไม่พบผู้ช่วยเหลือใดๆที่จะช่วยพวกเขาให้พ้นจากอัลลอฮฺ(กุรอาน 71:1-25)
นบีนูฮฺยังคงเรียกร้องผู้คนของเขาให้เชื่อในอัลลอฮฺเป็นเวลาถึง950 ปี อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า : “และเราได้ส่งนูฮฺไปยังหมู่ชนของเขา และเขาได้อยู่กับพวกเป็นเวลาหนึ่งพันหย่อนห้าสิบปี” (กุรอาน 29:14)
แต่ปรากฏว่าคนทุกรุ่นได้เตือนประชากรรุ่นต่อมามิให้เชื่อนบีนูฮฺและต่อต้านเขา พ่อได้สอนลูกของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องที่ตนเองต่อล้อต่อเถียงกับนบีนูฮฺและสั่งลูกของตนให้ปฏิเสธการเรียกร้องของนบีนูฮฺ ดังนั้น อารมณ์ทางธรรมชาติของคนเหล่านี้จึงปฏิเสธที่จะศรัทธาและปฏิบัติตามความจริง
วันหนึ่ง เมื่ออัลลอฮฺได้เปิดเผยให้นบีนูฮฺได้ทราบว่าจะไม่มีใครอีกแล้วที่ศรัทธาและพระองค์ได้ทรงดลใจเขามิให้เสียใจกับคนเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ นูฮฺจึงได้วิงวอนต่อพระเจ้าให้ทรงทำลายบรรดาผู้ไม่ศรัทธาเสีย
“ถ้าหากพระองค์ทรงปล่อยพวกเขาไว้ พวกเขาก็จะนำบ่าวของพระองค์ไปสู่การหลงผิด และพวกเขาจะไม่ให้กำเนิดผู้ใดนอกไปจากทำบาปและผู้ปฏิเสธเท่านั้น” (กุรอาน71:27)
อัลลอฮฺทรงรับคำวิงวอนของนบีนูฮฺ หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงตัดสินบรรดาผู้ไม่ศรัทธาเหล่านี้โดยการให้เกิดน้ำท่วม แต่ก่อนที่พระองค์จะทรงลงโทษ พระองค์ได้สั่งให้นบีนูฮฺสร้างเรือลำใหญ่ขึ้นมาด้วยความรู้และความแนะนำของพระองค์และด้วยความช่วยเหลือของบรรดามลาอิก๊ะฮฺ อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาว่า “และจงสร้างเรือใหญ่ขึ้นมาลำหนึ่งตามคำบัญชาและตามวะฮีย์ของเรา และจงอย่าเอ่ยขออะไรกับฉันให้แก่บรรดาผู้อธรรม แท้จริงคนพวกนี้จะถูกน้ำท่วมตาย” (กุรอาน 11:37)
นูฮฺได้เลือกสถานที่แห่งหนึ่งนอกเมืองที่ห่างไกลจากทะเล เขาได้ไปเก็บรวมรวมไม้และเครื่องมือมา หลังจากนั้นก็เริ่มทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อผู้คนมาเห็นจึงหัวเราะเยาะว่า “นูฮฺเอ๋ย ท่านเป็นช่างไม้มากกว่าเป็นนบีไปแล้วหรือนี่ ? ทำไมท่านจึงได้มาสร้างเรือใหญ่ในสถานที่ที่ห่างไกลจากทะเลอย่างนี้ ? ท่านจะลากมันไปยังทะเลหรือจะให้ลมพัดมันไปให้ท่าน ? นบีนูฮฺได้ตอบว่า “แล้วพวกท่านจะรู้เองว่าใครจะละอายใจและเดือดร้อน”
อัลลอฮฺได้ทรงเล่าว่า : “ดังนั้น นูฮฺจึงได้เริ่มสร้างเรือ และคราวใดที่พวกหัวหน้าหมู่ชนของเขาผ่านมาเห็น พวกเขาก็หัวเราะเยาะ นูฮฺได้กล่าวว่า "หัวเราะเยาะเราะไปเถิดถ้าพวกท่านต้องการ เราก็กำลังหัวเราะเยาะพวกท่านเช่นกัน เพราะในไม่ช้า พวกท่านจะรู้ว่าใครที่จะได้รับการลงโทษที่ทำให้ต้องอัปยศและใครที่จะได้รับการลงโทษอันยาวนานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้’” (กุรอาน 11:38-39)
เมื่อถูกสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว นบีนูฮฺก็นั่งรอคำบัญชาของอัลลอฮฺ หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ได้ทรงบอกให้เขาทราบว่าเมื่อน้ำพุ่งออกมาจากเตาที่บ้านของเขาอย่างมหัศจรรย์เมื่อใด นั่นคือสัญญาณการเริ่มต้นของน้ำท่วมซึ่งเป็นสัญญาณสำหรับเขาให้เริ่มทำตามคำบัญชา
แล้ววันอันน่าสะพรึงกลัวก็มาถึงเมื่อเตาที่บ้านของนบีนูฮฺมีน้ำท่วมทะลักขึ้นมานบีนูฮฺได้รีบไปเปิดเรือและเรียกบรรดาผู้ศรัทธาให้มาที่เรือ นอกจากนั้นแล้ว เขายังได้เอาสัตว์ต่างๆทั้งตัวผู้และตัวเมียทุกชนิดอย่างละคู่ แม้กระทั่งนกและมดขึ้นเรือไปด้วยเสียงดังและกล่าวว่า “นูฮฺจะต้องบ้าแน่แล้ว เขากำลังจะทำอะไรกับสัตว์เหล่านี้ ?”
อัลลอฮฺทรงเล่าว่า:“จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มาถึงและเตาได้มีน้ำพุ่งออกมา เราได้กล่าวว่า "จงเอาสัตว์ทุกชนิดอย่างละคู่ขึ้นเรือพร้อมกับคนของเจ้าด้วย ยกเว้นคนที่ได้ถูกพระบัญชากำหนดโทษไว้แล้ว และให้เอาบรรดาผู้ศรัทธาขึ้นเรือด้วย" แต่ผู้ศรัทธาที่อยู่กับนูฮฺนั้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” (กุรอาน 11:40)
ภรรยาของนบีนูฮฺไม่ได้เป็นผู้ศรัทธา ดังนั้น นางจึงไม่ได้ไปกับเขา รวมทั้งลูกชายคนหนึ่งของเขาซึ่งเป็นผู้ไม่ศรัทธา แต่แสร้งทำเป็นศรัทธาเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ขณะเดียวกัน ผู้คนส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ไม่ศรัทธาและไม่ยอมขึ้นเรือ
นักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องจำนวนคนที่อยู่กับนบีนูฮฺบนเรืออิบนุอับบาสกล่าวว่ามีผู้ศรัทธาเพียง 80 คนเท่านั้น ในขณะที่กะอับ อัลอะฮฺบารฺกล่าวว่ามี 72 คน แต่ก็มีคนอื่นๆกล่าวว่ามีผู้ศรัทธาอยู่บนเรือกับนบีนูฮฺเพียง 10 คน เท่านั้น
น้ำได้พุงขึ้นมาจากรอยแยกทุกแห่งบนผืนดิน หลังจากนั้นมีฝนตกลงมาจากท้องฟ้าในปริมาณที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในโลก น้ำยังคงหลั่งมาจากท้องฟ้าและทะลักขึ้นมาจากรอยแยกของพื้นดินอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมงจนระดับน้ำสูงขึ้น น้ำทะเลและคลื่นก็ทะลักเข้ามาในแผ่นดิน ดังนั้น แผ่นดินภายในจึงหดสั้นลงและผืนมหาสมุทรก็เริ่มแผ่ขยายเพิ่มขึ้นจนท่วมแผ่นดินที่แห้งแล้ง นี่เป็นครั้งแรกที่โลกจมอยู่ใต้น้ำ
อัลลอฮฺได้ทรงเล่าว่า: “นูฮฺกล่าวว่า "จงขึ้นมาบนเรือด้วยพระนานของอัลลอฮฺไม่ว่ามันจะแล่นหรือจอดก็ตาม พระผู้อภิบาลของฉันเป็นผู้ทรงอภัยและผู้ทรงเมตตาเสมอ" ขณะที่เรือกำลังแล่นพาพวกเขาบนคลื่นใหญ่ดุจดังภูเขาอยู่นั้น นูฮฺก็ได้ร้องเรียกลูกชายของเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปว่า "ลูกเอ๋ยจงขึ้นมาบนเรือลำนี้และอย่าอยู่กับบรรดาผู้ปฏิเสธ"
แต่ลูกชายของเขาตอบว่า "ฉันปีนขึ้นไปบนภูเขาที่จะทำให้ฉันพ้นจากน้ำ" นูฮฺจึงกล่าวว่า "วันนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะคุ้มครองป้องกันใครให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้ เว้นแต่ผู้ที่พระองค์จะทรงเมตตาเท่านั้น" ในขณะนั้นเอง คลื่นน้ำก็ซัดเข้ามาระหว่างคนทั้งสอง และเขาก็เป็นหนึ่งหมู่ผู้จมน้ำ และได้มีบัญชาลงมาว่า "แผ่นดินเอ๋ย จงกลืนน้ำของเจ้า และฟ้าเอ๋ยจงหยุดหลั่งน้ำฝนเสีย" ดังนั้น น้ำจึงได้ซึมหายไปในแผ่นดิน คำบัญชาของพระองค์ได้เสร็จสิ้นแล้ว และเรือก็ได้จอดอยู่บนภูเขาญูดีย์และได้มีการประกาศว่า "ผู้ก่อความอธรรมได้ถูกขจัดออกไปหมดแล้ว"
นูฮฺได้ร้องเรียนพระผู้อภิบาลของเขา โดยกล่าวว่า "ข้าแต่พระผู้ อภิบาลของฉัน ลูกชายของฉันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของฉัน และสัญญาของพระองค์นั้นเป็นความจริง และพระองค์ทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในบรรดาผู้ปกครองทั้งหมด"
พระองค์ได้ทรงตอบว่า "นูฮฺเอ๋ยแท้จริงเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเจ้า ความจริงแล้ว เขาเป็นการงานที่ไม่ดี ดังนั้น จงอย่าขอสิ่งใดจากฉันในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ ฉันขอตักเตือนเจ้าว่าอย่าได้ปฏิบัติตนเหมือนพวกคนโง่เขลา"