ห่มรัก พักใจ ไว้ที่ซาปา-เรื่องสั้นท่องเที่ยว



สวัสดีค่ะ ห่มรัก พักใจ ไว้ที่ซาปา เป็นเรื่องสั้นท่องเที่ยว ที่เราเขียนเป็นครั้งแรก

โดยมีเมืองฮานอยและซาปา เป็นฉากหลังของของเรื่องราวการเดินทางของหนุ่มสาวสองคน

เพื่อนห้องถนนนักเขียน และ ห้องบลูแพลนเน็ต คิดเห็นอย่างไร แนะนำ ได้เลยนะคะ ยิ้ม

✿*゚‘゚・✿.。.:。✿*゚✿*゚‘゚・✿.。.::。✿*゚✿*゚‘゚・✿‘゚‘゚✿✿*゚‘゚・✿.。.:。✿*゚✿*゚‘゚・✿.。.::。✿*゚✿*゚‘゚・✿‘゚‘゚✿



                “แก.. ไปเวียดนามกับฉันไหม” เพื่อนสาวโทรมาหาช่วงหัวค่ำวันศุกร์ หลังจากเรารวมกลุ่มเพื่อนกินข้าวกัน แต่นางไม่มา
                “มุกไหนวะ อยู่ดีๆ มาชวนไป ไหนบอกไปกับตั้มไง” เราถามไปเพราะรู้ว่านางวางแผนไปกับหนุ่มของนาง
                “โม...กูโดนเท ฮือ…….” เพื่อนสาวที่ว่าคือ หนุ่มตุ้งติ้ง ชื่อ ป๊อก ของฉัน ร้องไห้แบบนี้แล้วจะทำยังไงดีล่ะนี่
                “แก.. ใจเย็นก่อน ค่อยๆ เล่า” ฉันพูดปลอบกลับไป แล้วป๊อกก็เล่าถึงเหตุการณ์ ว่าตั้มบอกยกเลิกทริปเวียดนาม บอกว่าไม่อยากไป พอถามเหตุผล ก็อิดออด ไม่ยอมตอบ จนป๊อกจับได้ว่า ตั้มปันใจไปให้สาวแท้เสียแล้ว และทริปเที่ยวเวียดนาม 5 วันที่จะออกเดินทางจันทร์ที่จะถึงนี้ เลยเหลือแต่ป๊อกคนเดียว ป๊อกจองและจ่ายเงินทุกอย่างไว้หมดแล้ว ป๊อกลังเลว่าจะทิ้งค่าทัวร์ไปเลยดีไหมหรือจะหาคนไปด้วยดี หรือจะไปเองคนเดียว แล้วป๊อกก็บอกว่าคิดถึงฉันขึ้นมา เรากับป๊อกเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ส่วนตั้มแฟนของป๊อก เป็นเพื่อนที่ทำงานเดียวกันกับป๊อก สองคนนี้คบกันมา 2 ปีกว่า
                “แกไปกับฉันได้ไหม ไปฮานอยกับฉันนะ นะ ” เสียงป๊อกออดอ้อน และสะอื้นมาตามสาย

                จะหาว่าฉันใจง่ายก็ยอมนะ เพราะไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศ และเพื่อนมีอาการแบบนี้ ไม่ไปด้วยกันคงจะไม่ดี หลังจากขอลางานแบบฉุกละหุกแล้ว เช้าวันจันทร์เรากับป๊อก ก็ออกเดินทางไปฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ฉันไปแบบไม่ค่อยได้ตั้งเนื้อตั้งตัวสักเท่าไร รู้แค่ไปฮานอย กับ ซาปา ป๊อกบอกว่า “เวียดนามค่าครองชีพไม่สูงเท่าบ้านเรา เราไปเที่ยวครั้งนี้ ฉันจัดเตรียมไว้อย่างดี แกไม่ต้องห่วง”  ฉันนึกขำในใจ ‘ก็แหงสิ แกวางแผนเที่ยวกับหนุ่มของแก ทริปนี้แกมากับฉัน มันคงรัญจวนใจแกแน่ๆ 555’

                จากสนามบินนานาชาติดอนเมือง พวกเราข้ามไปสูสนามบินนานาชาติโหน่ยบ่าย (Noi Bai Internation Airport) ที่ฮานอย ใช้เวลาบินไม่เกิน 2 ชั่วโมง ก่อนเครื่องบินจะเหินขึ้นฟ้า ป๊อกยังส่งไลน์ไปบอก ตั้มว่า จะไปเที่ยวแล้วนะ แต่สิ่งที่ป๊อกได้กลับมาคือ “อ่าน” ที่หน้าข้อความที่ตัวเองส่งไป ฉันรู้ว่าป๊อกกำลังเก็บอารมณ์เศร้าอยู่ เราเลยโอบไหล่ให้กำลังใจ “ไหวมั้ยแก..”  ป๊อกหันมายิ้ม ขอบตารื้น แล้วพยักหน้าให้

                เมื่อมาถึงสนามบินโหน่ยบ่าย ป๊อกดูตื่นตาตื่นใจกับชุดอ๋าวหย่าย ของเจ้าหน้าที่ในสนามบิน
                “โม… ฉันอยากใส่บ้าง จะใส่เที่ยวให้ทั่วเลย” ป๊อกพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า
                “เอ่อ….. ป๊อก โมคิดว่าซื้อแค่งอบเป็น prop ประกอบก็พอมะ อย่าถึงขั้นใส่ชุดเขาเลย แค่กระเป๋าที่แกขนมา ก็น่าจะมีชุดเพียงพอสำหรับแกทั้ง 5 วันแล้วนะ” ป๊อกหันมามองแล้วค้อนให้ 1 วง
                “ป๊อก เราเข้าเมืองยังไง มีคนมารับใช่ป่าว” ฉันถาม เพราะป๊อกเล่าว่านางจองทุกสิ่งอย่างไว้แล้ว มีราชรถมาเกยถึงหน้าประตูทางออกสนามบิน ยันส่งเรากลับเมืองไทย
                “นั่นไงแก.. ชื่อฉัน Pocky… Hello….” ป๊อกชี้ไปที่ป้ายชื่อภาษาอังกฤษ พร้อมกับลากกระเป๋าไปด้วย ฉันเดินตามแทบไม่ทัน ก็เดินไวซะขนาดนั้น มีรถแบบสเตชั่นวากอน หรือ SUV มารับเรา 2 คน ทัวร์ที่ป๊อกจองไว้เป็นเอเจ้นที่อยู่ย่าน Hanoi Old Quarter เพื่อรับตั๋วรถไฟเดินทางไปซาปาคืนนี้  จากสนามบินมาที่เอเจ้น ใช้เวลาประมาณ 30 นาที สองข้างทางจะเห็นเป็นบ้านทรงกล่อง หน้าบ้านไม่กว้าง (เต็มที่ประมาณ 3 เมตร) และไม่ลึก แต่มีหลายชั้น เหมือนแท่งดินสอที่ตั้งเรียงไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีบ้านเก่าเป็นตึกปูน 2 ชั้น กระจายอยู่เป็นกลุ่มๆ

        พอเริ่มเข้าเขตเมือง ความจอแจก็บังเกิด เสียงบีบแตร ตั้งแต่รถมอเตอร์ไซค์ยันรถบรรทุกก็ดังระงม ปี๊น แป๊น มอเตอร์ไซค์ขับปาดหน้า แซงซ้ายขวา ฝ่าไฟแดง เหมือนเป็นเรื่องปกติ และไม่ค่อยมีคนใส่หมวกกันน้อค แต่จะมีผ้าคาดปากและจมูกกันฝุ่นกันเหมือนหน้ากากอนามัย







        รถเลี้ยวเข้าย่าน Old Quarter ถนนก็ถูกบีบเล็กลงเหลือ 4 เลนสวนกัน (คล้ายๆกับแถวเจริญกรุงสีลม) มีถนนเล็ก ถนนน้อย แตกตัวเหมือนแหตาข่าย และเหมือนเขาแบ่งเป็นโซนขายของด้วย เช่น โซนการ์ดแต่งงาน ก็จะมีร้านขายการ์ดแต่งงานตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งถนน โซนขายสีทาบ้าน ก็มีถังสีเรียงราย เหมือนแถวถนนมหาพฤฒารามที่มีร้านขายสุขภัณฑ์ เรียงรายไปตามถนนเกือบทั้งเส้น

                “น่าจะใกล้ถึงแล้วมั้ง” ป๊อกเอ่ยขึ้นหลังจากที่รถชะลอเทียบจอดหน้าร้านแห่งหนึ่งที่ชั้น 1 ไม่มีอะไรเลยจริงๆ นอกจากรองเท้าวางอยู่ที่ทางขึ้นบันไดไปชั้น 2
                “เอเจ้นแกหายไปไหนอ่ะ” ฉันถามขึ้นหลังจากที่คนขับบอกที่นี่แหละ แล้วเขาก็เอาของลงจากท้ายรถ แล้วขับจากไป
                  “Hello Pocky” เสียงทักทายภาษาอังกฤษสำเนียงเวียดนาม มาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของเอเจ้น
                “Please come upstairs.” เอเจ้นส่งเสียงมาจากด้านบน ‘อ้อ.. ออฟฟิศเอเจ้นอยู่ข้างบนนี้เอง’  พวกเราหิ้วกระเป๋าขึ้นไปถึงชั้น 2 ก็พบกับออฟฟิศขนาดกระทัดรัด พื้นที่ไม่น่าเกิน 6 ตารางเมตร มีชุดคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง และโซฟา 2 ตัวสำหรับแขก และมีตี่จู้เอี๊ย (ศาลเทพเจ้าประจำบ้านแบบคนจีน) ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ป๊อกบอกว่าเราจะฝากกระเป๋าไว้กับเอเจ้นก่อน แล้วออกไปเดินเที่ยวตลาดกัน ถ้าแลกเงิน ก็แลกที่นี่ได้เลย เอาเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐแลกเป็นเงินดอง จะได้เรตดีกว่าที่เอาเงินไทยมาแลก  ฉันเตรียมเงินดอลล่าร์มาแล้ว ส่วนนึงสำหรับแลกใช้ซื้อของที่เวียดนาม และอีกส่วน จะเอามาจ่ายค่าเที่ยวที่นี่ ฉันยื่นเงินค่าเที่ยวให้ป๊อก ป๊อกทำหน้างง แล้วถามว่าจะแลกเงินเยอะขนาดนี้เลยเหรอ ฉันตอบไปว่าเปล่า อันนี้ค่าทัวร์

                “โม.. แกลางานมาเป็นเพื่อนฉัน ฉันก็ดีใจมากแล้ว แกเก็บเงินค่าทัวร์ไว้เหอะ” แต่ฉันดึงดันที่จะจ่าย ป๊อกเลยรับเงินไว้ แล้วบอกว่า “ที่เหลือที่เป็นค่าอาหาร ค่าเข้าชมอื่นๆ ที่อยู่นอกทัวร์ แกไม่ต้องจ่ายแล้ว ป๊อกจะเป็นเจ๊สายเปย์แทน”      
                          
        หลังจากฝากของ และนัดเวลามาขึ้นรถไปสถานีรถไฟที่จะไปซาปาคืนนี้แล้ว ป๊อกก็เปิดมือถือ ดูที่เที่ยวที่วางแผนไว้ จุดแรกคือ โบสถ์เซนต์โจเซฟ หรือ St. Joseph’s Cathedral เป็นโบสถ์แบบโกธิค สร้างสมัยเวียดนามยังอยู่ในอำนาจของฝรั่งเศส และพื้นที่ของโบสถ์นี้ เดิมเป็นที่ตั้งของหอ Bao Thien Tower แต่ถูกทุบทิ้งหลังจากฝรั่งเศสเข้ามาปกครองช่วงคริสตศตวรรษ 18 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านการเขียน การอ่าน การกิน และอื่นๆ อีกมากมาย
                          
        ป๊อกกับฉันเดินเข้าไปดูด้านในของโบสถ์ วันจันทร์อย่างนี้ นักท่องเที่ยวยังมีไม่มาก สามารถนั่งสวดขอพรได้ มองไปรอบๆ โบสถ์จะเห็นกระจกสีแต่งเป็นรูปนักบุญต่างๆ มีหอสวด และเก้าอี้ไม้เรียงรายเป็นระเบียบ ปีอกมายืนข้างฉันแล้วบอกว่า “สวยจัง และสงบมากๆ ด้วย” เหมือนกำแพงผนังของโบสถ์ได้ตัดเสียงจอแจทั้งหลายบนถนนออกไปอย่างสิ้นเชิง มีแต่ความสงบอยู่ด้านใน ป๊อกเดินอออกไปขอพรเงียบๆที่เก้าอี้ด้านหน้า ฉันไม่รู้ว่าป๊อกขอพรอะไร แต่ฉันขอให้ป๊อกได้ฟื้นคืนจากความเจ็บปวดทางใจ และพบกับคนที่รักป๊อกจริงไวๆ
                          
        พวกเราออกมาด้านนอก เห็นว่าที่บ่าวสาว มาถ่ายรูป pre-wedding กันที่หน้าโบสถ์ เสียงออร์แกนเล่นเพลงงานแต่งงานดังขึ้นมาทันที ป๊อกเดินเข้าไปหาว่าที่บ่าวสาว แสดงความยินดีด้วย ประหนึ่งนางเข้าไปร่วมในงานพิธีกับพวกเขาแล้ว พวกเราเดินเที่ยวชมตลาด เดินถ่ายรูปกัน



                “ว้าย.. แก รองเท้าหลุด” ป๊อกร้องริมถนน ฉันเดินเข้าไปหา เห็นรองเท้ากีฬาของป๊อก อ้าปากด้านหน้า แผ่นรองพื้นเปิดกว้าง ขืนฝืนเดินต่อไป พื้นรองเท้าได้หลุดอยู่แถวๆนี้แน่นอน จะไปหารองเท้าที่ไหนล่ะทีนี้ เราเดินถามทางไปร้านรองเท้าจากคนแถวนั้น เขาก็ยิ้มหวานกลับมา แล้วก็ชี้ไปข้างหน้า เราเดินถามไปเรื่อยๆ จนเจอร้านรองเทาแบรนด์เนม แต่เป็นของปลอม สนนราคาไม่แพง คู่ละไม่เกิน 750 บาท ป๊อกบอกว่า เคยไปอ่านเจอในเน็ต บอกว่าที่เวียดนามนี่แหล่งก็อปของแท้ ทั้งเสื้อผ้า รองเท้ากีฬา กระเป๋าเป้ ไม่คิดว่าจะได้มาซื้อใช้จริงก็คราวนี้

        มีสามล้อถีบรับจ้างขี่พาชมเมือง ค่อยๆ ถีบแบบสโลว์โมชั่นผ่านหน้าเรามาพอดี พร้อมกับถามพวกเราว่า ไปมั้ย ไม่แพง พร้อมกับตบพนักสีแดง เชิญชวนเต็มที่ สามล้อถีบของที่นี่ เป็นจักรยาน ผู้โดยสารนั่งหน้า มีผ้ากันแดดอยู่ด้านบน ส่วนคนขับก็อยู่ด้านหลัง

                “ขึ้นรถถีบมะ ถือว่านั่งชมวิวละกัน” ป๊อกบอกแล้วสัญชาตญาณการต่อราคาก็เริ่มทำงาน ป๊อกต่อราคาได้ 100,000 ดอง หรือ 150 บาท/30 นาที/คัน เรื่องต่อรองราคาต้องยกให้ป๊อก เพราะต่อราคาเก่งกว่าผู้หญิงอย่างฉันมากมาย  แล้วพวกเราก็ซิ่งไปรอบๆ Hanoi Old Quarter สามล้อพาขี่ไปตามถนนที่เมื่อกี๊เราผ่านมาตอนมาหาเอเจ้น คราวนี้พาไปซิ่งผ่านทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม (Hồ Hoàn Kiếm Lake)  หรือทะเลสาบคืนดาบมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นรอบๆ ทะเลสาบ และมีสะพานเทฮุก หรือสะพานแสงอาทิตย์ เป็นสะพานสีแดง ทอดข้ามจากฝั่งไปยังวัดหง็อกเซินที่อยู่ตรงกลางทะเลสาบ รอบๆทะเลสาบมีต้นไม้ปลูกร่มรื่น และทำเป็นทางเดินและทางปั่นจักรยานหรือสำหรับคนที่ต้องการมาออกกำลังกาย อากาศไม่ร้อนอบอ้าวมากนัก



        ป๊อกตะโกนข้ามจากรถอีกคัน บอกว่าจะไปดูพวกเสื้อกันหนาวกับรองเท้าสักหน่อยนะ แล้วคนรถก็คุยข้ามกัน ก่อนเลี้ยวรถไปที่ย่านขายเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าก็อปของแท้ คือ ก็อปเลียนแบบเขียนยี่ห้อกันให้เห็นเด่นชัดกันไปเลย





        ฉันกับป๊อกก็เดินเข้าออกร้านขายเสื้อกันหนาว มีหลากหลายยี่ห้อมาก แต่ยี่ห้อที่มีคนขายเยอะสุดคือ the North Face รองลงมาคือ Columbia หน้าตาเสื้อผ้าที่ขายเหมือนกัน เดาว่าน่าจะมาจากโรงงานเพียงไม่กี่แห่งในเวียดนาม แล้วขายส่งมาตามร้านต่างๆ ฉันกับป๊อกเดินเลือกเสื้อกันหนาว กันลมกัน แต่ละร้านขายราคาไม่ต่างกันมาก ต่อราคาได้บ้าง แม้แต่เทคนิคการต่อราคายังต้องมี นั่นคือ เดินเลือกแบบ ถามราคากันก่อน เอาที่ถูกใจ แล้วค่อยมาต่อราคากันทีเดียว โดยมากเขาก็จะลดราคาให้พอหอมปากหอมคอ และราคาก็ไม่ได้สูงเว่อร์วัง สุดท้ายพวกเราได้เสื้อกันลมมาคนละตัว

                “Do they have a bathroom on the train?” ฉันถามหลังจากเราเดินกลับมาเก็บของที่เอเจ้น ก่อนจะไปหาอาหารเย็นรองท้อง สาวน้อยเอเจ้นทรงผมตุ๊กตาเป็นเกลียวลอนสวบ ตอบกลับมาว่า ให้เราอาบน้ำที่นี่ก่อน แล้วออกไปกินข้าวเย็น แล้วค่อยมาขึ้นรถไปสถานีรถไฟ เพราะบนรถไฟมีแต่ห้องถ่ายหนัก-เบา
                ‘เก๋อ่ะ มีเตรียมการเรื่องอาบน้ำไว้ก่อนด้วย’ ฉันนึกชื่นชมในใจ ส่วนป๊อกเตรียมยกกระเป๋าขึ้นไปอีกชั้นเพื่อไปอาบน้ำ ฉันแค่หยิบของใช้ที่จำเป็นขึ้นไป ไม่อยากแบกขึ้นแบกลงบันไดวนของที่นี่ เพราะระยะขั้นบันไดกระชั้นและสั้นมาก กลัวจะลื่นไปเสียก่อน ประเทศนี้เขาประหยัดเนื้อที่กันจริงๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่