อีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ ค่อนข้างจำเป็นแต่โดนคนมองข้ามกันนะครับ วันนี้ผมจะมารีวิวเครื่องอบผ้าแบบ Venting ยี่ห้อ Beko กัน
จริงๆ ชิงรีวิวก่อนเครื่องซักผ้าซะงั้น แต่เดี๋ยวจะมารีวิวเครื่องซักผ้าให้อีกทีละกันนะครับ
ทำความรู้จักคร่าวๆก่อน เครื่องอบผ้า หน้าที่คือทำให้ผ้าแห้ง โดยใช้พลังงานไฟฟ้า นั่นคือเวลาฝนตกไม่มีแดด ก็แห้งได้สบายๆครับ
เครื่องอบผ้า หลักๆเนี่ย มีอยู่ประมาณ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.Venting แบบต่อท่อลมร้อน ถนอมผ้าต่ำ กินไฟมาก ราคาเครื่องถูก และแห้งไวที่สุด ต้องต่อท่อลมร้อน ไว้ในบ้านไม่ได้
2.Condensing แบบควบแน่น ถนอมผ้าปานกลาง กินไฟพอๆกับ Venting ราคาเครื่องแพงปานกลาง และแห้งปานกลาง ไม่ต้องต่อท่อ
3.Heatpump ฮีทปั้ม คล้ายๆแบบควบแน่น ถนอมผ้ากว่า กินไฟน้อยกว่ามาก แต่ราคาเครื่องแพงที่สุด และแห้งช้าที่สุด ไม่ต้องต่อท่อ
ถ้าใครสนใจลง Detail ลึกไปกว่านี้เดี๋ยวอาจจะตั้งกระทู้ให้ในอนาคตนะครับ
อะบอกราคาก่อนเลย เพราะประเด็นนี้คนถามมาเยอะแน่นอน ผมได้มาในราคา 9,341 บาท ซื้อที่ Powerbuy Online ครับ
เพราะตอนนั้นมีลดราคา เหลือ 10,990 จาก 13,990 และตอนนั้นมี Code ลดลงอีก 15% เหลือ 9,341 บาทนี่หละครับ รวมค่าขนส่งและติดตั้งแล้ว
นี่หน้าตาเครื่องครับ ส่วนตัวไม่ค่อนชอบ Design เท่าไร อยากได้ประตูกลมๆ และใสๆ แบบเครื่องซักผ้าา งื้อออ
ผมชอบช่าง Powerbuy นะ ไม่บ่น ติดตั้งฉลาดดี ต่อไฟ 3 ขาเดินสายดินเรียบร้อย ไม่เหมือนช่าง BIG C ที่ตอนมาติดเครื่องซักผ้าแล้วให้ตอกสายดิน
อย่างเดียว ไฟว้มาตั้งนาน TT
ใน Range ราคานี้ อีกเครื่องนึงที่น่าสนใจก็คือ Electrolux Venting 6.5kg. EDV6552
ซึ่งก็น่าสนใจเหมือนกันครับ เบียดกันมาเลย ราคาต่ำสุดตั้งนี้ประมาณ 9,000 ตามร้านข้างนอก และ Powerbuy เคยลดเหลือ 9,889 อะไรประมาณนี้
ผมชอบนะที่มันเป็น กระจกใส กลมๆ แบบเครื่องซักผ้า... แต่สุดท้ายเลือก Beko เพราะว่า
-Electrolux มีโปรแกรมที่น้อยกว่า Beko คือแบบมี 30 60 90 นาที และเลือกปรับความร้อน แต่ Beko จะมี ยีนส์ เสื้อเชิด 10 20 30 40 และอื่นๆที่มากกว่า
-Beko ดูวัสดุทั้งตัวถัง เนื้อประตู ตัวล็อคแล้ว แข็งแรงกว่าในระดับนึงเลย
-ได้ความจุที่มากกว่า 0.5kg โดยเครื่องอบผ้า ยิ่งใหญ่กว่ายิ่งดีครับ ไม่เหมือนเครื่องซักผ้าฝาบนที่ต้องรอน้ำเต็ม มีพื้นที่ให้ผ้ามากกว่า
-ประกัน Beko ประกัน ตัวเครื่อง 2 ปี มอเตอร์ 12 ปี ส่วน Electrolux ประกันตัวเครื่อง 1 ปี มอเตอร์ 12ปี
-การกินไฟ Watt ใกล้ๆ กันคือ 2200 และ 2250 Beko Electrolux ตามลำดับ
โดยเค้าแถม ที่วางตัวเครื่อง และท่อลมร้อนให้ครับ (ตัวเครื่องอาจจะแถมเอง)
ถึงแม้ว่า kg. จะเท่ากัน แต่เครื่องอบผ้านั้นถังค่อนข้างใหญ่กว่า เครื่องซักผ้าเยอะครับ
ต่อมาเป็นแผ่น Filter ที่กรอง เศษผ้า ฝุ่น และสกปรกต่างๆ ให้มา 1 ชั้นครับ แต่ก็โอเครอยู่
ตัวล็อคประตูมี 2 ตัว พอปิดประตูแล้วรู้สึกแน่นหนาดี !!
ต่อมาเป็นท่อลมร้อนครับ สำคัญมากสำหรับเครื่องอบผ้าแบบ Venting เพราะต้องระบายลมออก การที่อยู่คอนโด
หรือต้องวางเครื่องอบไว้ในบ้านจึงไม่เหมาะครับ เพราะบ้านจะร้อนมากมาย ส่วนผมตั้งไว้นอกบ้าน และพอใช้งานก็เอาท่อมาไว้
ด้านหน้าเครื่องเพราะกลัวความร้อนสะสมที่ท่อ PVC เหมือนกัน
อะมาถึงส่วนสำคัญกันละ คือโปรแกรมนั่นเองงง
มาเริ่มที่ปุ่มก่อนละกัน
1.ขวาสุดปุ่ม Power กดแล้วบุ๋มลงไป เป็นการทำให้ไฟเข้าเครื่อง กดอีกครั้งเด้งขึ้นมาเป็นการตัดไฟ
2.ปุ่ม Start, Pause ปุ่มหลักในการเริ่มต้น และหยุดการทำงานชั่วคราวของการอบ
3.Buzzer Cancel ปุ่มปิดเสียงแจ้งเตือนตอนเครื่องอบเสร็จ แต่เสียงเตือนเบามาก ดังตี้ดๆไรงี้ก็หมดละ
ต่อมาไฟสถานะ
1.Clean Filter จะแสดงเหมือนแผ่นฟิลเตอร์เราเต็มแล้ว การ Flow ของลมจะไม่ดี ให้ทำการทำความสะอาดก่อน
2.สถานะการอบทำงาน
-Drying กำลังอบ ผ้ายังชื้นอยู่มาก
-Iron Dry ผ้าแห้งในระดับนึงแล้ว ผ้าชื้นน้อย พร้อมที่จะนำไปรีด
-Cupboard Dry ผ้าแห้งมากแล้ว พร้อมที่จะสวมใส่ หรือเก็บไว้ในตู้ แต่ก็ยังอบอยู่นะ
-End/Anti-creasing อบผ้าเสร็จแล้ว แต่ถ้าเรายังไม่เอาผ้าออก ตัวเครื่องจะทำการหมุนถังเพื่อไม่ให้ผ้ายับทุกๆ กี่นาทีผมจำไม่ได้นะ
สุดท้ายโปรแกรมต่างๆ ผมเองก็ยังไม่ชำนาญมาก พูดเป็นกลุ่มๆ ละกันนะครับ
1.Mini, Delicate, Freshen Up เหมือนจะแค่เป่าลม สำหรับผ้าที่เก็บไว้ในตู้นานๆ ก็มาเป่าไล่ฝุ่นหน่อย
2.Timer Programmer 10, 20, 40, 60 เป่าลมอุ่น ไม่ร้อนมาเป็นเวลา x วินาที เหมือนกับใช้ในตอนที่เลือกโปรแกรมหลักแล้วยังไม่แห้งดีก็มาต่ออีก
10 นาที อะไรประมาณนี้ แต่แอบเสียดายที่ไม่มีเจาะจงเวลา แล้วอุณหภูมิเยอะหน่อย
3.Shirt, Jeans ก็ตามเนื้อผ้าเลยครับ Jeans ก็จะนานหน่อยเพราะผ้าหนา
4.Synthetic ผ้าเนื้อบาง เลือกโปรแกรมย่อยได้อีก 2 คือ Iron Dry ไม่แห้งมาก เหมือนสำหรับอบมาแล้วรีดเลย และ Cupboard Dry ออกมาแห้งเลย
5.สุดท้าย โปรแกรมหลัก ที่ให้อุณหภูมิมากที่สุด คือ Cottons สำหรับผ้าหนา หรือผสมๆ ก็ใช้อันนี้หละ แบ่งเป็น 4 โปรแกรมย่อย
-Iron Dry ออกมารีดได้เลย ยังพอชื้นๆ แต่ไม่ต้องมานั่งฉีดน้ำตอนรีด
-Cupboard Dry โปรแกรมยอดฮิต สำหรับหลายๆเครื่องอบผ้า คืออบแล้วเข้าตู้เสื้อผ้าได้เลย ใช้เวลานานสุดน่าจะประมาณ 1.30 ชม.
-Cupboard Dry Plus คล้ายกับ Cupboard Dry แต่แห้งมากกว่า ใช้เวลานานกว่า อาจจะเหมาะกับการมีผ้าหนาๆ หลายๆชิ้น น่าจะ 2.00 ชม.
-Extra Dry แห้งจนถึงที่สุด ไม่เคยลองเหมือนกัน แต่คงแห้งแบบมากๆ และใช้เวลาที่นานที่สุดนั่นเอง น่าจะ 2.30 ชม. ++
อะ เรามาเข้าสู่การอบจริงกัน.....
วันนี้ผมปั่นแห้ง 1200 รอบนะครับ อ่อลืมบอกไปว่า ถ้าเครื่องอบผ้า ไม่มีเครื่องซักผ้าปั่นหมาดให้เลย
อันนี้จะไม่เหมาะเท่าไรครับ แบบซักมือมาเปียกๆ อะไรแบบนี้ ควรปั่นหมาดซัก 800 รอบขึ้นไปนะครับ
วันนี้แบ่งซักเป็น 2 รอบครับ ตะกร้าแรกผ้าน้อย 30 นาที และผ้าผสม อีก 1 ชั่วโมง ปั่นหมาด 1200 รอบทั้งคู่ครับ
ตะกร้าแรก ใส่รอไว้ก่อน ถังยังเหลือๆอีกเยอะเลย รอตะกร้าที่สองซักเสร็จ
พอใส่ตะกร้าที่ 2 วันนี้ผ้าเยอะหน่อย ก็กินประมาณเกือบครึ่งถัง จัดไป
เปิด Breaker กดปุ่มเปิด เลือกโปแกรมไปที่ Cupboard Dry ผ้าแบบ Cotton ยอดฮิตครับ จากนั้นก็กด Start
หลังจากนั้น ผ้าออกและเอาแผ่นกรองมาดูครับ ก็อย่างที่เห็นสกปรกเหมือนกันนะนี่
วันนี้ถังใหญ่ โดยแม่ผม 30 นาที กด Pause เอาผ้าที่แห้งๆออกไปเก็บก่อน
และกด Start ให้เครื่องทำงานต่อ โดยมีผ้า ประมาณตะกร้าแรก อีก 15 นาที เครื่องหยุดให้ รวมๆ 45 นาทีสำหรับโปรแกรมหลัก
และเปิดออกมาดูผ้าแห้งแทบหมดละ เหลือผ้าขนหนู เลยจัดไปอีก 10 นาที ออกมา หอมม นุ่มฟูเลยครับ
แต่ด้วยความรีบเลยลืมถ่ายผ้าหลังจากนั้นมาให้ชม TT กำเลย
ส่วนตัวปลื้มผ้าขนหนูที่สุดละ เพราะมันเป็นผ้าที่เสียพิ้นที่บนราวตากผ้ามาก ใช้เวลาตากนาน พอแห้งแล้วมันจะกรอบ
แต่ถ้าใช้เครื่องอบ มันจะนุ่มฟู ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องกลัวฝุ่น ขี้นก และหอมจากน้ำยาปรับผ้านุ่นมากๆ ครับ ยิ่งถ้าเป็น Condensing หรือ Heatpump
จะนุ่มกว่านี้อีกนะ
สุดท้ายเป็น Sensor วัดความชื้นของผ้าครับ ถ้าผ้าแห้งแล้ว เครื่องจะหยุดเอง อัตโนมัติ
สำหรับผมเอง ผ้าผมแห้งในเวลาไม่ถึง ชั่วโมงเลยครับ ไม่รู้สมาชิกคนอื่นใส่เต็มถังเลยหรือเปล่า แต่ใช้แล้วชีวิตนี้ Happy ขึ้นเยอะเลยครับ
ยิ่งวันไหนฝนตก แล้วเพื่อนบ้านต้องรีบไปเก็บผ้า หรือเอาราวตากผ้า เข้าบ้านนี่แอบสะใจเบาๆ เป็นสิ่งที่ซื้อมาแล้วไม่ผิดหวังเลยจริงๆครับ
สรุป ข้อดี
-ราคาถูก หาซื้อง่าย อดใจรอโปรโมชั่นหน่อย
-ผ้าแห้งเร็ว มีระบบตัดการทำงานเมื่อผ้าแห้ง
-ตัวเครื่องสามารถปั่นไปซ้าย-ขวาได้ ทำให้ผ้านั้นไม่พันกัน ลดรอยยับ
-ที Filter กรองฝุ่นที่มาจากการอบ (เครื่องซักและอบผ้าในตัว จะไม่มี)
-ประกันตัวเครื่อง 2ปี มอเตอร์ 12ปี ซึ่งถือว่าเยอะมากๆ และผลิตที่ตุรกี
-วัสดุดูแน่นหนา แข็งแรง
ข้อเสีย
-Design ไม่ล้ำสมัย ฝาปิดไม่ใช่แบบกลม มองไม่เห็นผ้า (ผมชอบดูผ้าเวลาซักมากๆ แต่นี่ต้องจินตนาการเอา)
-ตัวเครื่องเป็นแบบ Venting ฉะนั้นต้องต่อท่อ ไว้ในบ้านไม่ได้ และการอบแบบนี้จะไม่ถนอมผ้าเท่า Condensing, Heatpump
-การตั้ง Programs เป็นแบบ Analog จึงไม่รู้ว่า ใช้เวลาเท่าไรจึงจะเสร็จ ในแต่ละโปรแกรม
-มีเรื่องค่าไฟมา เนื่องจากเครื่องอบกินไฟเยอะประมาณ 2200watt Full Load มีท่านหนึ่งเคยบอกว่า Electrolux 2250watt 90นาทีประมาณ 1.4 หน่วย
โดยถ้าอยู่บ้านธรรมดา จะตก 1.30 ชม. ประมาณ 6 บาทครับ
-เสียงแจ้งเตือนเหมือนอบเสร็จ เบามากกก ถ้าเทียบกับเครื่องซักผ้า LG ของผมที่พ่นมาเป็นเพลงนี่ดังขึ้นด้านบน จึงต้องอาศัยการมาเดินเช็คบ่อยๆ
[CR] รีวิวเครื่องอบผ้า Beko Venting 7kg. DV7120
จริงๆ ชิงรีวิวก่อนเครื่องซักผ้าซะงั้น แต่เดี๋ยวจะมารีวิวเครื่องซักผ้าให้อีกทีละกันนะครับ
ทำความรู้จักคร่าวๆก่อน เครื่องอบผ้า หน้าที่คือทำให้ผ้าแห้ง โดยใช้พลังงานไฟฟ้า นั่นคือเวลาฝนตกไม่มีแดด ก็แห้งได้สบายๆครับ
เครื่องอบผ้า หลักๆเนี่ย มีอยู่ประมาณ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.Venting แบบต่อท่อลมร้อน ถนอมผ้าต่ำ กินไฟมาก ราคาเครื่องถูก และแห้งไวที่สุด ต้องต่อท่อลมร้อน ไว้ในบ้านไม่ได้
2.Condensing แบบควบแน่น ถนอมผ้าปานกลาง กินไฟพอๆกับ Venting ราคาเครื่องแพงปานกลาง และแห้งปานกลาง ไม่ต้องต่อท่อ
3.Heatpump ฮีทปั้ม คล้ายๆแบบควบแน่น ถนอมผ้ากว่า กินไฟน้อยกว่ามาก แต่ราคาเครื่องแพงที่สุด และแห้งช้าที่สุด ไม่ต้องต่อท่อ
ถ้าใครสนใจลง Detail ลึกไปกว่านี้เดี๋ยวอาจจะตั้งกระทู้ให้ในอนาคตนะครับ
อะบอกราคาก่อนเลย เพราะประเด็นนี้คนถามมาเยอะแน่นอน ผมได้มาในราคา 9,341 บาท ซื้อที่ Powerbuy Online ครับ
เพราะตอนนั้นมีลดราคา เหลือ 10,990 จาก 13,990 และตอนนั้นมี Code ลดลงอีก 15% เหลือ 9,341 บาทนี่หละครับ รวมค่าขนส่งและติดตั้งแล้ว
นี่หน้าตาเครื่องครับ ส่วนตัวไม่ค่อนชอบ Design เท่าไร อยากได้ประตูกลมๆ และใสๆ แบบเครื่องซักผ้าา งื้อออ
ผมชอบช่าง Powerbuy นะ ไม่บ่น ติดตั้งฉลาดดี ต่อไฟ 3 ขาเดินสายดินเรียบร้อย ไม่เหมือนช่าง BIG C ที่ตอนมาติดเครื่องซักผ้าแล้วให้ตอกสายดิน
อย่างเดียว ไฟว้มาตั้งนาน TT
ใน Range ราคานี้ อีกเครื่องนึงที่น่าสนใจก็คือ Electrolux Venting 6.5kg. EDV6552
ซึ่งก็น่าสนใจเหมือนกันครับ เบียดกันมาเลย ราคาต่ำสุดตั้งนี้ประมาณ 9,000 ตามร้านข้างนอก และ Powerbuy เคยลดเหลือ 9,889 อะไรประมาณนี้
ผมชอบนะที่มันเป็น กระจกใส กลมๆ แบบเครื่องซักผ้า... แต่สุดท้ายเลือก Beko เพราะว่า
-Electrolux มีโปรแกรมที่น้อยกว่า Beko คือแบบมี 30 60 90 นาที และเลือกปรับความร้อน แต่ Beko จะมี ยีนส์ เสื้อเชิด 10 20 30 40 และอื่นๆที่มากกว่า
-Beko ดูวัสดุทั้งตัวถัง เนื้อประตู ตัวล็อคแล้ว แข็งแรงกว่าในระดับนึงเลย
-ได้ความจุที่มากกว่า 0.5kg โดยเครื่องอบผ้า ยิ่งใหญ่กว่ายิ่งดีครับ ไม่เหมือนเครื่องซักผ้าฝาบนที่ต้องรอน้ำเต็ม มีพื้นที่ให้ผ้ามากกว่า
-ประกัน Beko ประกัน ตัวเครื่อง 2 ปี มอเตอร์ 12 ปี ส่วน Electrolux ประกันตัวเครื่อง 1 ปี มอเตอร์ 12ปี
-การกินไฟ Watt ใกล้ๆ กันคือ 2200 และ 2250 Beko Electrolux ตามลำดับ
โดยเค้าแถม ที่วางตัวเครื่อง และท่อลมร้อนให้ครับ (ตัวเครื่องอาจจะแถมเอง)
ถึงแม้ว่า kg. จะเท่ากัน แต่เครื่องอบผ้านั้นถังค่อนข้างใหญ่กว่า เครื่องซักผ้าเยอะครับ
ต่อมาเป็นแผ่น Filter ที่กรอง เศษผ้า ฝุ่น และสกปรกต่างๆ ให้มา 1 ชั้นครับ แต่ก็โอเครอยู่
ตัวล็อคประตูมี 2 ตัว พอปิดประตูแล้วรู้สึกแน่นหนาดี !!
ต่อมาเป็นท่อลมร้อนครับ สำคัญมากสำหรับเครื่องอบผ้าแบบ Venting เพราะต้องระบายลมออก การที่อยู่คอนโด
หรือต้องวางเครื่องอบไว้ในบ้านจึงไม่เหมาะครับ เพราะบ้านจะร้อนมากมาย ส่วนผมตั้งไว้นอกบ้าน และพอใช้งานก็เอาท่อมาไว้
ด้านหน้าเครื่องเพราะกลัวความร้อนสะสมที่ท่อ PVC เหมือนกัน
อะมาถึงส่วนสำคัญกันละ คือโปรแกรมนั่นเองงง
มาเริ่มที่ปุ่มก่อนละกัน
1.ขวาสุดปุ่ม Power กดแล้วบุ๋มลงไป เป็นการทำให้ไฟเข้าเครื่อง กดอีกครั้งเด้งขึ้นมาเป็นการตัดไฟ
2.ปุ่ม Start, Pause ปุ่มหลักในการเริ่มต้น และหยุดการทำงานชั่วคราวของการอบ
3.Buzzer Cancel ปุ่มปิดเสียงแจ้งเตือนตอนเครื่องอบเสร็จ แต่เสียงเตือนเบามาก ดังตี้ดๆไรงี้ก็หมดละ
ต่อมาไฟสถานะ
1.Clean Filter จะแสดงเหมือนแผ่นฟิลเตอร์เราเต็มแล้ว การ Flow ของลมจะไม่ดี ให้ทำการทำความสะอาดก่อน
2.สถานะการอบทำงาน
-Drying กำลังอบ ผ้ายังชื้นอยู่มาก
-Iron Dry ผ้าแห้งในระดับนึงแล้ว ผ้าชื้นน้อย พร้อมที่จะนำไปรีด
-Cupboard Dry ผ้าแห้งมากแล้ว พร้อมที่จะสวมใส่ หรือเก็บไว้ในตู้ แต่ก็ยังอบอยู่นะ
-End/Anti-creasing อบผ้าเสร็จแล้ว แต่ถ้าเรายังไม่เอาผ้าออก ตัวเครื่องจะทำการหมุนถังเพื่อไม่ให้ผ้ายับทุกๆ กี่นาทีผมจำไม่ได้นะ
สุดท้ายโปรแกรมต่างๆ ผมเองก็ยังไม่ชำนาญมาก พูดเป็นกลุ่มๆ ละกันนะครับ
1.Mini, Delicate, Freshen Up เหมือนจะแค่เป่าลม สำหรับผ้าที่เก็บไว้ในตู้นานๆ ก็มาเป่าไล่ฝุ่นหน่อย
2.Timer Programmer 10, 20, 40, 60 เป่าลมอุ่น ไม่ร้อนมาเป็นเวลา x วินาที เหมือนกับใช้ในตอนที่เลือกโปรแกรมหลักแล้วยังไม่แห้งดีก็มาต่ออีก
10 นาที อะไรประมาณนี้ แต่แอบเสียดายที่ไม่มีเจาะจงเวลา แล้วอุณหภูมิเยอะหน่อย
3.Shirt, Jeans ก็ตามเนื้อผ้าเลยครับ Jeans ก็จะนานหน่อยเพราะผ้าหนา
4.Synthetic ผ้าเนื้อบาง เลือกโปรแกรมย่อยได้อีก 2 คือ Iron Dry ไม่แห้งมาก เหมือนสำหรับอบมาแล้วรีดเลย และ Cupboard Dry ออกมาแห้งเลย
5.สุดท้าย โปรแกรมหลัก ที่ให้อุณหภูมิมากที่สุด คือ Cottons สำหรับผ้าหนา หรือผสมๆ ก็ใช้อันนี้หละ แบ่งเป็น 4 โปรแกรมย่อย
-Iron Dry ออกมารีดได้เลย ยังพอชื้นๆ แต่ไม่ต้องมานั่งฉีดน้ำตอนรีด
-Cupboard Dry โปรแกรมยอดฮิต สำหรับหลายๆเครื่องอบผ้า คืออบแล้วเข้าตู้เสื้อผ้าได้เลย ใช้เวลานานสุดน่าจะประมาณ 1.30 ชม.
-Cupboard Dry Plus คล้ายกับ Cupboard Dry แต่แห้งมากกว่า ใช้เวลานานกว่า อาจจะเหมาะกับการมีผ้าหนาๆ หลายๆชิ้น น่าจะ 2.00 ชม.
-Extra Dry แห้งจนถึงที่สุด ไม่เคยลองเหมือนกัน แต่คงแห้งแบบมากๆ และใช้เวลาที่นานที่สุดนั่นเอง น่าจะ 2.30 ชม. ++
อะ เรามาเข้าสู่การอบจริงกัน.....
วันนี้ผมปั่นแห้ง 1200 รอบนะครับ อ่อลืมบอกไปว่า ถ้าเครื่องอบผ้า ไม่มีเครื่องซักผ้าปั่นหมาดให้เลย
อันนี้จะไม่เหมาะเท่าไรครับ แบบซักมือมาเปียกๆ อะไรแบบนี้ ควรปั่นหมาดซัก 800 รอบขึ้นไปนะครับ
วันนี้แบ่งซักเป็น 2 รอบครับ ตะกร้าแรกผ้าน้อย 30 นาที และผ้าผสม อีก 1 ชั่วโมง ปั่นหมาด 1200 รอบทั้งคู่ครับ
ตะกร้าแรก ใส่รอไว้ก่อน ถังยังเหลือๆอีกเยอะเลย รอตะกร้าที่สองซักเสร็จ
พอใส่ตะกร้าที่ 2 วันนี้ผ้าเยอะหน่อย ก็กินประมาณเกือบครึ่งถัง จัดไป
เปิด Breaker กดปุ่มเปิด เลือกโปแกรมไปที่ Cupboard Dry ผ้าแบบ Cotton ยอดฮิตครับ จากนั้นก็กด Start
หลังจากนั้น ผ้าออกและเอาแผ่นกรองมาดูครับ ก็อย่างที่เห็นสกปรกเหมือนกันนะนี่
วันนี้ถังใหญ่ โดยแม่ผม 30 นาที กด Pause เอาผ้าที่แห้งๆออกไปเก็บก่อน
และกด Start ให้เครื่องทำงานต่อ โดยมีผ้า ประมาณตะกร้าแรก อีก 15 นาที เครื่องหยุดให้ รวมๆ 45 นาทีสำหรับโปรแกรมหลัก
และเปิดออกมาดูผ้าแห้งแทบหมดละ เหลือผ้าขนหนู เลยจัดไปอีก 10 นาที ออกมา หอมม นุ่มฟูเลยครับ
แต่ด้วยความรีบเลยลืมถ่ายผ้าหลังจากนั้นมาให้ชม TT กำเลย
ส่วนตัวปลื้มผ้าขนหนูที่สุดละ เพราะมันเป็นผ้าที่เสียพิ้นที่บนราวตากผ้ามาก ใช้เวลาตากนาน พอแห้งแล้วมันจะกรอบ
แต่ถ้าใช้เครื่องอบ มันจะนุ่มฟู ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องกลัวฝุ่น ขี้นก และหอมจากน้ำยาปรับผ้านุ่นมากๆ ครับ ยิ่งถ้าเป็น Condensing หรือ Heatpump
จะนุ่มกว่านี้อีกนะ
สุดท้ายเป็น Sensor วัดความชื้นของผ้าครับ ถ้าผ้าแห้งแล้ว เครื่องจะหยุดเอง อัตโนมัติ
สำหรับผมเอง ผ้าผมแห้งในเวลาไม่ถึง ชั่วโมงเลยครับ ไม่รู้สมาชิกคนอื่นใส่เต็มถังเลยหรือเปล่า แต่ใช้แล้วชีวิตนี้ Happy ขึ้นเยอะเลยครับ
ยิ่งวันไหนฝนตก แล้วเพื่อนบ้านต้องรีบไปเก็บผ้า หรือเอาราวตากผ้า เข้าบ้านนี่แอบสะใจเบาๆ เป็นสิ่งที่ซื้อมาแล้วไม่ผิดหวังเลยจริงๆครับ
สรุป ข้อดี
-ราคาถูก หาซื้อง่าย อดใจรอโปรโมชั่นหน่อย
-ผ้าแห้งเร็ว มีระบบตัดการทำงานเมื่อผ้าแห้ง
-ตัวเครื่องสามารถปั่นไปซ้าย-ขวาได้ ทำให้ผ้านั้นไม่พันกัน ลดรอยยับ
-ที Filter กรองฝุ่นที่มาจากการอบ (เครื่องซักและอบผ้าในตัว จะไม่มี)
-ประกันตัวเครื่อง 2ปี มอเตอร์ 12ปี ซึ่งถือว่าเยอะมากๆ และผลิตที่ตุรกี
-วัสดุดูแน่นหนา แข็งแรง
ข้อเสีย
-Design ไม่ล้ำสมัย ฝาปิดไม่ใช่แบบกลม มองไม่เห็นผ้า (ผมชอบดูผ้าเวลาซักมากๆ แต่นี่ต้องจินตนาการเอา)
-ตัวเครื่องเป็นแบบ Venting ฉะนั้นต้องต่อท่อ ไว้ในบ้านไม่ได้ และการอบแบบนี้จะไม่ถนอมผ้าเท่า Condensing, Heatpump
-การตั้ง Programs เป็นแบบ Analog จึงไม่รู้ว่า ใช้เวลาเท่าไรจึงจะเสร็จ ในแต่ละโปรแกรม
-มีเรื่องค่าไฟมา เนื่องจากเครื่องอบกินไฟเยอะประมาณ 2200watt Full Load มีท่านหนึ่งเคยบอกว่า Electrolux 2250watt 90นาทีประมาณ 1.4 หน่วย
โดยถ้าอยู่บ้านธรรมดา จะตก 1.30 ชม. ประมาณ 6 บาทครับ
-เสียงแจ้งเตือนเหมือนอบเสร็จ เบามากกก ถ้าเทียบกับเครื่องซักผ้า LG ของผมที่พ่นมาเป็นเพลงนี่ดังขึ้นด้านบน จึงต้องอาศัยการมาเดินเช็คบ่อยๆ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้