ถ้าจะให้พูดถึงประเทศที่ผมไปทีไรก็ร้อง “ว๊าว!!!” ได้ตลอด ก็คือประเทศ “สิงคโปร์”
สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการพัฒนาไวมากๆ ประเทศหนึ่งในแถบอาเซียน ทั้งในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวที่ผุดขึ้นมาหยั่งกับดอกเห็ด และตึกรามบ้านช่องที่แปลกตาทุกครั้งที่กลับไป
นี่เป็นการไปประเทศสิงคโปร์ครั้งที่ 5 ของผม ซึ่งบอกตามตรงคือโคดจะไม่อยากไป เพราะไปบ่อยแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้ไปจนได้ จะไม่ไปได้ไงละ!!! ก็โบเล่นเอาชื่อเราไปจองตั๋วเครื่องบินแบบไม่บอกไม่กล่าว 5555
การไปสิงคโปร์ครั้งนี้เราใช้บริการสายการบิน scoot เป็นครั้งแรก เดินทางจากดอนเมือง เวลา 22.55 pm. ถึงสิงคโปร์ เวลา 02.20 am. ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง
เราไปถึงสิงคโปร์ตอนประมาณตี 2 ครึ่ง ถ้าจะเดินทางเข้าเมืองเลยมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือต้องใช้บริการแท็กซี่ แต่ใครๆ ก็รู้ว่าแท็กซี่สิงคโปร์นี่ราคาอย่างโหด ใครจะไปยอมเสียตังละ 55555 ประหยัดได้ก็ประหยัด เราเลยตกลงกันว่าจะนอนที่สนามบิน แล้วรอรถไฟฟ้า MRT เที่ยวแรกของวัน
การอยู่รอในสนามบินชางงีนั้นไม่ยากอย่างที่คิด แถมสบายอีกด้วย เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกในสนามบินนี่แบบเต็มสูบมาก ไม่ว่าจะเป็น WiFi ฟรี ตู้เกม ร้านขายของ 24 ชม. โรงหนัง แม้กระทั้งบาร์ ทั้งหมดนี่อยู่ที่เทอร์มินอล 2 ถ้าใครไม่อยากนอน ก็นั่งเล่นเน็ต ดูหนังฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ส่วนคนที่ตัดสินใจแน่วแน่ว่า “กุไม่ไหวแน่ๆ กุต้องนอน ชีวิตนี้การนอนสำคัญที่สุด” มาๆ จะบอกมุมเด็ดๆ ไว้ซุกหัวเข้าไปนอนแบบสบายๆ ให้
พอลงเครื่องแล้ว ให้ตรงไปที่เทอร์มินอล 2 เลย จะเจอกับลานกว้างๆ ถ้าเดินลงบันไดเลื่อนจะไป ตม. แต่ไม่ต้องลง ค่อยผ่านตอนเช้าทีเดียว หันหน้าเข้าบันไดเลื่อนแล้วเดินออกขวาจะเจอบันไดเลื่อนอีกหนึ่งจุดไว้ขึ้นไปด้านบนเขียนว่า Entertainment นั่นแหละเดินขึ้นไปจะเลย
ใครต้องการความสบายหน่อยด้านบนจะมีโรงแรมเอาไว้นอนชั่วคราวอยู่ด้านขวามือ ต้องเสียเงิน แต่ไม่แน่ใจว่าราคาเท่าไหร่ ส่วนใครสายประหยัดแบบผมให้เดินเลี้ยวซ้ายมา จะเจอบาร์และตู้เกม ให้ตรงเข้าไปตรงซอก จะเจอมุมนั่งเล่นอยู่ นี่แหละ ที่นอนของเราคืนนี้ 5555
6 โมงเช้า เราก็ตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน เก็บข้าวของ แล้วเดินไปขึ้น MRT ซึ่งอยู่ด้านขวาสุดของสนามบิน
การเดินทางในสิงคโปร์นั้น มันจะมีบัตรอยู่อันนึง ที่เรียกว่า EZ Link เป็นบัตรที่สามารถเติมตังเข้าไปแล้วสามารถใช้ขึ้นทั้งรถไฟฟ้าและรถบัสได้เลย แถมยังใช้ซื้อของในร้านต่างๆ ได้อีกด้วย ราคาของบัตรจะอยู่ที่ 12 ดอลลาร์โดยในบัตรสามารถใช้จ่ายได้ 7 ดอลลาร์ และหลังจากที่คืนบัตรจะได้เงินคืน 3 ดอลลาร์ ใครจะไปเที่ยวสิงคโปร์ควรจะมีติดไว้จะดีที่สุด
หลังจากนั้นเราก็เดินทางเข้าที่พักกัน ที่พักของเรามีชื่อว่า “5Footway.inn Project Boat Quay” โฮสเทลสุดฮิตของคนไทยที่อยู่ริมแม่น้ำสิงคโปร์ ซึ่งมีสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้อยู่ถึง 2 แห่ง คือ สถานี Raffles Place สายสีแดง และ สถานี Clarke Quay สายสีม่วง
โฮสเทลนี้ถูกออกมาในสไตล์โมเดิล ผนังทาสีขาว ตัดกับการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นลายไม้ ทำให้โฮสเทลนี้แลดูดีเกินคำว่าโฮสเทลไปเยอะ
หลังจากที่เข้าไปคุยกับ Reception เขาแจ้งว่า เราจะสามารถเข้าห้องได้เวลาบ่าย 2 ซึ่งตอนไปถึงน่าจะประมาณเที่ยง เราเลยฝากกระเป๋าเอาไว้แล้วออกไปเที่ยวกันก่อน
เรานั่งรถไฟฟ้าสายสีม่วงโดยเริ่มจาก สถานี Clark Quay ไปลงที่สถานี Dhoby Ghaut เพื่อจะไปสถานที่สุดฮิตในช่วง 2-3 ปีหลังมานี่เลย ซึ่งก็คือ Fort Canning นั่นเอง
พอถึงสถานี Dhoby Ghaut ให้ออกทางออก B จากนั้นเดินข้างถนนแล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปเรื่อยจะเจออุโมงค์ ให้เดินผ่านเข้าไปจนสุดทางก็ถึง
Fort Canning เป็นชื่อของสวนสาธารณะที่มีพื้นที่กว่า 18 เฮคเตอร์ อยู่ติดกับโรงแรมฟอร์ทแคนนิง (Hotel Fort Canning) โรงแรมใหญ่สไตล์บูติก ที่น่าพักอีกทีหนึ่งของสิงคโปร์
ไฮไลด์ของสถานที่นี้อยู่ที่บันไดโค้งที่เมื่อมองขึ้นไปจะเห็นพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่สีเขียวชอุ่มอยู่ด้านบน เป็นอีกจุดหนึ่งที่คนสิงคโปร์นิยมมาถ่าย Pre Wedding กัน
เราใช้เวลาเดินเล่นกันซักพักก็กลับเข้าที่พัก เพราะเมื่อเช้าไม่ได้อาบน้ำ แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ห้องพักของเราเป็นห้องเดี่ยวเล็กๆ เตียง 2 ชั้น สามารถนอนได้ 2 คน ห้องน้ำรวม ซึ่งห้องน้ำถือว่าไม่แย่เลย มีคนทำความสะอาดตลอด ใช้ได้สบายๆ
หลังจากอาบน้ำและเก็บของเสร็จ เราตัดสินใจเดินเล่นเรียบแม่น้ำสิงคโปร์ไปเรื่อยๆ
[CR] "In the mood of SINGAPORE" เที่ยวสิงคโปร์ 3 วัน กับ 20 สถานที่ ที่ควรจะไปซักครั้งเมื่อไปเยือนสิงคโปร์
ถ้าจะให้พูดถึงประเทศที่ผมไปทีไรก็ร้อง “ว๊าว!!!” ได้ตลอด ก็คือประเทศ “สิงคโปร์”
สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการพัฒนาไวมากๆ ประเทศหนึ่งในแถบอาเซียน ทั้งในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวที่ผุดขึ้นมาหยั่งกับดอกเห็ด และตึกรามบ้านช่องที่แปลกตาทุกครั้งที่กลับไป
นี่เป็นการไปประเทศสิงคโปร์ครั้งที่ 5 ของผม ซึ่งบอกตามตรงคือโคดจะไม่อยากไป เพราะไปบ่อยแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้ไปจนได้ จะไม่ไปได้ไงละ!!! ก็โบเล่นเอาชื่อเราไปจองตั๋วเครื่องบินแบบไม่บอกไม่กล่าว 5555
การไปสิงคโปร์ครั้งนี้เราใช้บริการสายการบิน scoot เป็นครั้งแรก เดินทางจากดอนเมือง เวลา 22.55 pm. ถึงสิงคโปร์ เวลา 02.20 am. ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง
เราไปถึงสิงคโปร์ตอนประมาณตี 2 ครึ่ง ถ้าจะเดินทางเข้าเมืองเลยมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือต้องใช้บริการแท็กซี่ แต่ใครๆ ก็รู้ว่าแท็กซี่สิงคโปร์นี่ราคาอย่างโหด ใครจะไปยอมเสียตังละ 55555 ประหยัดได้ก็ประหยัด เราเลยตกลงกันว่าจะนอนที่สนามบิน แล้วรอรถไฟฟ้า MRT เที่ยวแรกของวัน
การอยู่รอในสนามบินชางงีนั้นไม่ยากอย่างที่คิด แถมสบายอีกด้วย เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกในสนามบินนี่แบบเต็มสูบมาก ไม่ว่าจะเป็น WiFi ฟรี ตู้เกม ร้านขายของ 24 ชม. โรงหนัง แม้กระทั้งบาร์ ทั้งหมดนี่อยู่ที่เทอร์มินอล 2 ถ้าใครไม่อยากนอน ก็นั่งเล่นเน็ต ดูหนังฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ส่วนคนที่ตัดสินใจแน่วแน่ว่า “กุไม่ไหวแน่ๆ กุต้องนอน ชีวิตนี้การนอนสำคัญที่สุด” มาๆ จะบอกมุมเด็ดๆ ไว้ซุกหัวเข้าไปนอนแบบสบายๆ ให้
พอลงเครื่องแล้ว ให้ตรงไปที่เทอร์มินอล 2 เลย จะเจอกับลานกว้างๆ ถ้าเดินลงบันไดเลื่อนจะไป ตม. แต่ไม่ต้องลง ค่อยผ่านตอนเช้าทีเดียว หันหน้าเข้าบันไดเลื่อนแล้วเดินออกขวาจะเจอบันไดเลื่อนอีกหนึ่งจุดไว้ขึ้นไปด้านบนเขียนว่า Entertainment นั่นแหละเดินขึ้นไปจะเลย
ใครต้องการความสบายหน่อยด้านบนจะมีโรงแรมเอาไว้นอนชั่วคราวอยู่ด้านขวามือ ต้องเสียเงิน แต่ไม่แน่ใจว่าราคาเท่าไหร่ ส่วนใครสายประหยัดแบบผมให้เดินเลี้ยวซ้ายมา จะเจอบาร์และตู้เกม ให้ตรงเข้าไปตรงซอก จะเจอมุมนั่งเล่นอยู่ นี่แหละ ที่นอนของเราคืนนี้ 5555
6 โมงเช้า เราก็ตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน เก็บข้าวของ แล้วเดินไปขึ้น MRT ซึ่งอยู่ด้านขวาสุดของสนามบิน
การเดินทางในสิงคโปร์นั้น มันจะมีบัตรอยู่อันนึง ที่เรียกว่า EZ Link เป็นบัตรที่สามารถเติมตังเข้าไปแล้วสามารถใช้ขึ้นทั้งรถไฟฟ้าและรถบัสได้เลย แถมยังใช้ซื้อของในร้านต่างๆ ได้อีกด้วย ราคาของบัตรจะอยู่ที่ 12 ดอลลาร์โดยในบัตรสามารถใช้จ่ายได้ 7 ดอลลาร์ และหลังจากที่คืนบัตรจะได้เงินคืน 3 ดอลลาร์ ใครจะไปเที่ยวสิงคโปร์ควรจะมีติดไว้จะดีที่สุด
หลังจากนั้นเราก็เดินทางเข้าที่พักกัน ที่พักของเรามีชื่อว่า “5Footway.inn Project Boat Quay” โฮสเทลสุดฮิตของคนไทยที่อยู่ริมแม่น้ำสิงคโปร์ ซึ่งมีสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้อยู่ถึง 2 แห่ง คือ สถานี Raffles Place สายสีแดง และ สถานี Clarke Quay สายสีม่วง
โฮสเทลนี้ถูกออกมาในสไตล์โมเดิล ผนังทาสีขาว ตัดกับการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นลายไม้ ทำให้โฮสเทลนี้แลดูดีเกินคำว่าโฮสเทลไปเยอะ
หลังจากที่เข้าไปคุยกับ Reception เขาแจ้งว่า เราจะสามารถเข้าห้องได้เวลาบ่าย 2 ซึ่งตอนไปถึงน่าจะประมาณเที่ยง เราเลยฝากกระเป๋าเอาไว้แล้วออกไปเที่ยวกันก่อน
เรานั่งรถไฟฟ้าสายสีม่วงโดยเริ่มจาก สถานี Clark Quay ไปลงที่สถานี Dhoby Ghaut เพื่อจะไปสถานที่สุดฮิตในช่วง 2-3 ปีหลังมานี่เลย ซึ่งก็คือ Fort Canning นั่นเอง
พอถึงสถานี Dhoby Ghaut ให้ออกทางออก B จากนั้นเดินข้างถนนแล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปเรื่อยจะเจออุโมงค์ ให้เดินผ่านเข้าไปจนสุดทางก็ถึง
Fort Canning เป็นชื่อของสวนสาธารณะที่มีพื้นที่กว่า 18 เฮคเตอร์ อยู่ติดกับโรงแรมฟอร์ทแคนนิง (Hotel Fort Canning) โรงแรมใหญ่สไตล์บูติก ที่น่าพักอีกทีหนึ่งของสิงคโปร์
ไฮไลด์ของสถานที่นี้อยู่ที่บันไดโค้งที่เมื่อมองขึ้นไปจะเห็นพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่สีเขียวชอุ่มอยู่ด้านบน เป็นอีกจุดหนึ่งที่คนสิงคโปร์นิยมมาถ่าย Pre Wedding กัน
เราใช้เวลาเดินเล่นกันซักพักก็กลับเข้าที่พัก เพราะเมื่อเช้าไม่ได้อาบน้ำ แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ห้องพักของเราเป็นห้องเดี่ยวเล็กๆ เตียง 2 ชั้น สามารถนอนได้ 2 คน ห้องน้ำรวม ซึ่งห้องน้ำถือว่าไม่แย่เลย มีคนทำความสะอาดตลอด ใช้ได้สบายๆ
หลังจากอาบน้ำและเก็บของเสร็จ เราตัดสินใจเดินเล่นเรียบแม่น้ำสิงคโปร์ไปเรื่อยๆ
https://www.facebook.com/hangaroundthailand
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น