สวัสดีค่ะ เราเป็นนักเรียน ป โท อยู่ที่อังกฤษ เพิ่งไปขอวีซ่าอเมริกามา เพราะคิดว่าจะแวะเยี่ยมญาติก่อนกลับไทย ตอนเราหาข้อมูลนี่หายากทีเดียว เพราะยังไม่ค่อยมีคนมาลงรีวิวเอาไว้เท่าไหร่ เลยอยากจะมาเล่าให้ฟังเอาไว้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับใครที่มาเรียน ป โท ที่นี่เหมือนกันแล้วสนใจนะคะ
เกริ่นข้อมูลก่อนไปขอนึดนึงว่าเรา...
- ถือ Tier 4 Student Visa ของ UK
- ไม่เคยไป และไม่เคยขอวีซ่า US มาก่อน
- ในพาสปอร์ตมีเชงเก้นวีซ่า 6 เดือนอยู่ (เพิ่งจะหมดอายุ)
สำหรับขั้นตอนการสมัคร ออนไลน์ เราขออนุญาต link ไปที่กระทู้นี้นะคะ
https://ppantip.com/topic/36840834 เป็นกระทู้ของท่านอื่นที่เราใช้ศึกษาก่อนตัวเองจะไปทำ เพราะขั้นตอนกรอกฟอร์มออนไลน์ จนถึงจ่ายเงินยังเหมือนเดิมทุกอย่าง จะมีเรื่องสถานที่กับบางขั้นตอนหลังจากนั้นที่เปลี่ยนไป ซึ่งเราจะขอเล่าต่อจากนี้ค่ะ
Note : การจองวันอย่าลืมกำหนดเวลาเผื่อไว้ดีๆ นะคะ ตอนเราจอง คิวเร็วสุดที่ได้คือ 1 เดือนถัดไปพอดีค่ะ
สถานที่และวันขอวีซ่า : สถานที่ขอวีซ่าตั้งแต่ มกราคม 2018 เป็นต้นไป จะเปลี่ยนเป็นที่ US embassy 33 Nine Elms Ln, London SW11 7US
วิธีไปที่ง่ายที่สุดคือนั่ง Tube สาย Victoria line มาลงที่สถานี Vauxhall ออกทางออก 1 หรือ 4 แล้วก็เดินเลียบแม่น้ำมาประมาณ 10 นาทีค่ะ ควรไปก่อนเวลานัดหมายซัก 30 นาที
ต่อไปจะขอพูดถึงการประสบการณ์ขอวีซ่าของเราแล้วนะคะ
เอกสารที่เตรียมไป :
เอกสารสำคัญ (required) :
- D-160 confirmation – ปริ้นจากเว็ปหลังกรอกใบสมัครเสร็จ
- Visa Instruction - ปริ้นจากเว็ปหลังจ่ายเงิน
- พาสปอร์ต, BRP
- รูปถ่าย 1 ใบ (2x2 นิ้ว พื้นขาว)
เอกสารที่เราเตรียมไปเผื่อ : แต่ไม่ได้ใช้ซักอย่าง... แหะๆ
- Student Status ให้มหาลัยออกให้
- Bank Statement 3 เดือน
- แพลนเที่ยวคร่าวๆ (ไม่ได้จองตั๋ว และที่พักอะไรเลย แค่บอกวันไหนจะไปเที่ยวไหน)
- Invitation Letter ให้ญาติเขียนให้ ระบุที่อยู่ (เราจะไปนอนบ้านญาติ) พร้อม Contact details ของญาติ
- Copy passport + บัตรนักเรียน + BRP
- ใบคอนเฟิร์มตั๋วเครื่องบินไปเกาหลี.. คือเราจะไปเกาหลีต่อหลังกลับไทย ซึ่งซื้อตั๋วไว้แล้ว เลยเอาไปเผื่อกะว่าหากเขาให้โชว์ intention ที่จะออกจากอเมริกาหลังจบทริปก็จะพูดถึงอันนี้ 55555
เราจองเวลาไป 8.30 แต่ไปถึงตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง เจ้าหน้าที่ก็ให้เข้าไปด้านในได้นะคะ แต่ต้องไปเข้าแถวรอให้ถึงรอบตัวเองก่อน เข้าไปหน้าตึกด่านแรกจะมีซุ้มที่ติดป้ายไว้ว่าเป็น US visa ให้ไปต่อแถวนั้นจะมีการขอตรวจใบ D-160 confirmation ค่ะ จากนั้นก็เข้าสู่ระบบตรวจความปลอดภัย มีสแกนกระเป๋า (ห้ามเอา labtop เข้านะคะ) เราเอาขวดน้ำเปล่าไป ถูกบังคับให้ดื่มให้ดูต่อหน้า...
ผ่านด่านรักษาความปลอดภัยก็เข้ามาที่ตัวอาคาร จะมีแถวให้ต่อตามคิวเวลาของตัวเอง จุดนี้มีขอตรวจใบ D-160 Comfrimation อีกรอบ แล้วเขาก็จะแปะบัตรคิวมาให้ แล้วให้ขึ้นลิฟต์ไปต่อที่ชั้น 1 ค่ะ
ขึ้นลิฟต์ไปแล้ว ก็ไปนั่งรอเรียกตามคิวที่ขึ้นโชว์ไว้บนจอ จะมีเรียก 2 รอบ รอบแรกสำหรับเช็คเอกสารสำคัญและสแกนนิ้ว รอบที่สองสำหรับสัมภาษณ์ ทั้งหมดเป็นเคาท์เตอร์ที่เราคุยกับเจ้าหน้าที่ผ่านช่องกระจกค่ะ
ช่องเช็คเอกสาร : เรียกเก็บเอกสารสำคัญ สแกนนิ้ว และขอดู BRP
ช่องสัมภาษณ์ : อันนี้เราตื่นเต้นมาก เพราะตอนคิวเราเรียกแล้ว ปรากฏคนข้างหน้ายังสัมภาษณ์ไม่เสร็จ เราเลยยืนต่อแถวอยู่ข้างหลัง เห็นเค้ายืนคุยกับ จนท อยู่นานเลย สุดท้ายถือพาสปอร์ตกลับมา(แปลว่าไม่ผ่าน) เราเลยยิ่งกลัวเข้าไปให้ จนท. ของเราเป็นผู้หญิงชาวอเมริกันค่ะ
มาดูคำถามที่เราโดนสัมภาษณ์และบทสนทนากันนะ
เรา : สวัสดีค่ะ ( ยิ้มสู้มาก ข้างในนี้ใจเต้นตึกๆ 5555 )
จนท : สวัสดีค่ะ ขอวีซ่าจะไปเที่ยวเหรอคะ
เรา : ใช่ค่ะ
จนท : ตอนนี้เรียนปริญญาโทอยู่ใช่ไหมคะ
เรา : ใช่ค่ะ
จนท : ที่เรียนปริญญาโทนี่ พ่อแม่ออกค่าใช้จ่ายให้เหรอคะ
เรา : ใช่ค่ะ
จนท : นอกจากอังกฤษแล้ว เคยไปเที่ยวประเทศไหนในยุโรปมาบ้างไหมคะ
เรา : ตอนวันหยุดอีสเตอร์ที่ผ่านมา(สองเดือนก่อน) เพิ่งไปฝรั่งเศส เบลเยี่ยม กับสวิสเซอร์แลนด์มาค่ะ
จนท : โอเค วีซ่าคุณผ่านแล้วนะคะ จะส่งไปให้ในอีก 1 อาทิตย์ค่ะ
เราโดนสัมภาษณ์แค่นี้จริงๆ ค่ะ เร็วจนตกใจ เอกสารอะไรก็ไม่ได้ขอเพิ่มเติมเลยค่ะ แต่ใครจะไปแนะนำให้เอาไปเผื่อนะคะ เพราะที่คุยมา เพื่อนบางคนก็โดนขอดูเอกสารเพิ่มบ้างเหมือนกัน
อ้อ! ไม่ชัวร์ว่าจะมีผลไหม แต่วันนั้นเราแต่งตัวไปเรียบร้อยมากค่ะ กึ่งๆ formal ส่วนคนก่อนหน้าที่โดนปฏิเสธ ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ไป ยังไงถ้าจะให้ดีก็แต่งตัวถูกกาลเทศะไปดีกว่าค่ะ
Note : ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้ขอรอบเช้าที่สุดค่ะ เพราะในเว็ปไซต์บอกว่าอาจจะต้องอยู่นานในนั้นถึง 3-4 ชั่วโมง แต่เรากลับใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง (เข้า 8.30 เสร็จเก้าโมงนิดๆ ) อาจจะเพราะเป็นรอบเช้าเกือบที่สุด (รอบแรก 8.00) คนตกค้างก่อนหน้าเลยไม่เยอะมาก แต่หลังจากนั้นคนคงจะตกค้างไปเรื่อยๆ แล้วล่ะค่ะ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะคะ ^^
รีวิวการขอวีซ่าอเมริกา จากประเทศอังกฤษ (สำหรับผู้ถือ Tier 4)
เกริ่นข้อมูลก่อนไปขอนึดนึงว่าเรา...
- ถือ Tier 4 Student Visa ของ UK
- ไม่เคยไป และไม่เคยขอวีซ่า US มาก่อน
- ในพาสปอร์ตมีเชงเก้นวีซ่า 6 เดือนอยู่ (เพิ่งจะหมดอายุ)
สำหรับขั้นตอนการสมัคร ออนไลน์ เราขออนุญาต link ไปที่กระทู้นี้นะคะ
https://ppantip.com/topic/36840834 เป็นกระทู้ของท่านอื่นที่เราใช้ศึกษาก่อนตัวเองจะไปทำ เพราะขั้นตอนกรอกฟอร์มออนไลน์ จนถึงจ่ายเงินยังเหมือนเดิมทุกอย่าง จะมีเรื่องสถานที่กับบางขั้นตอนหลังจากนั้นที่เปลี่ยนไป ซึ่งเราจะขอเล่าต่อจากนี้ค่ะ
Note : การจองวันอย่าลืมกำหนดเวลาเผื่อไว้ดีๆ นะคะ ตอนเราจอง คิวเร็วสุดที่ได้คือ 1 เดือนถัดไปพอดีค่ะ
สถานที่และวันขอวีซ่า : สถานที่ขอวีซ่าตั้งแต่ มกราคม 2018 เป็นต้นไป จะเปลี่ยนเป็นที่ US embassy 33 Nine Elms Ln, London SW11 7US
วิธีไปที่ง่ายที่สุดคือนั่ง Tube สาย Victoria line มาลงที่สถานี Vauxhall ออกทางออก 1 หรือ 4 แล้วก็เดินเลียบแม่น้ำมาประมาณ 10 นาทีค่ะ ควรไปก่อนเวลานัดหมายซัก 30 นาที
ต่อไปจะขอพูดถึงการประสบการณ์ขอวีซ่าของเราแล้วนะคะ
เอกสารที่เตรียมไป :
เอกสารสำคัญ (required) :
- D-160 confirmation – ปริ้นจากเว็ปหลังกรอกใบสมัครเสร็จ
- Visa Instruction - ปริ้นจากเว็ปหลังจ่ายเงิน
- พาสปอร์ต, BRP
- รูปถ่าย 1 ใบ (2x2 นิ้ว พื้นขาว)
เอกสารที่เราเตรียมไปเผื่อ : แต่ไม่ได้ใช้ซักอย่าง... แหะๆ
- Student Status ให้มหาลัยออกให้
- Bank Statement 3 เดือน
- แพลนเที่ยวคร่าวๆ (ไม่ได้จองตั๋ว และที่พักอะไรเลย แค่บอกวันไหนจะไปเที่ยวไหน)
- Invitation Letter ให้ญาติเขียนให้ ระบุที่อยู่ (เราจะไปนอนบ้านญาติ) พร้อม Contact details ของญาติ
- Copy passport + บัตรนักเรียน + BRP
- ใบคอนเฟิร์มตั๋วเครื่องบินไปเกาหลี.. คือเราจะไปเกาหลีต่อหลังกลับไทย ซึ่งซื้อตั๋วไว้แล้ว เลยเอาไปเผื่อกะว่าหากเขาให้โชว์ intention ที่จะออกจากอเมริกาหลังจบทริปก็จะพูดถึงอันนี้ 55555
เราจองเวลาไป 8.30 แต่ไปถึงตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง เจ้าหน้าที่ก็ให้เข้าไปด้านในได้นะคะ แต่ต้องไปเข้าแถวรอให้ถึงรอบตัวเองก่อน เข้าไปหน้าตึกด่านแรกจะมีซุ้มที่ติดป้ายไว้ว่าเป็น US visa ให้ไปต่อแถวนั้นจะมีการขอตรวจใบ D-160 confirmation ค่ะ จากนั้นก็เข้าสู่ระบบตรวจความปลอดภัย มีสแกนกระเป๋า (ห้ามเอา labtop เข้านะคะ) เราเอาขวดน้ำเปล่าไป ถูกบังคับให้ดื่มให้ดูต่อหน้า...
ผ่านด่านรักษาความปลอดภัยก็เข้ามาที่ตัวอาคาร จะมีแถวให้ต่อตามคิวเวลาของตัวเอง จุดนี้มีขอตรวจใบ D-160 Comfrimation อีกรอบ แล้วเขาก็จะแปะบัตรคิวมาให้ แล้วให้ขึ้นลิฟต์ไปต่อที่ชั้น 1 ค่ะ
ขึ้นลิฟต์ไปแล้ว ก็ไปนั่งรอเรียกตามคิวที่ขึ้นโชว์ไว้บนจอ จะมีเรียก 2 รอบ รอบแรกสำหรับเช็คเอกสารสำคัญและสแกนนิ้ว รอบที่สองสำหรับสัมภาษณ์ ทั้งหมดเป็นเคาท์เตอร์ที่เราคุยกับเจ้าหน้าที่ผ่านช่องกระจกค่ะ
ช่องเช็คเอกสาร : เรียกเก็บเอกสารสำคัญ สแกนนิ้ว และขอดู BRP
ช่องสัมภาษณ์ : อันนี้เราตื่นเต้นมาก เพราะตอนคิวเราเรียกแล้ว ปรากฏคนข้างหน้ายังสัมภาษณ์ไม่เสร็จ เราเลยยืนต่อแถวอยู่ข้างหลัง เห็นเค้ายืนคุยกับ จนท อยู่นานเลย สุดท้ายถือพาสปอร์ตกลับมา(แปลว่าไม่ผ่าน) เราเลยยิ่งกลัวเข้าไปให้ จนท. ของเราเป็นผู้หญิงชาวอเมริกันค่ะ
มาดูคำถามที่เราโดนสัมภาษณ์และบทสนทนากันนะ
เรา : สวัสดีค่ะ ( ยิ้มสู้มาก ข้างในนี้ใจเต้นตึกๆ 5555 )
จนท : สวัสดีค่ะ ขอวีซ่าจะไปเที่ยวเหรอคะ
เรา : ใช่ค่ะ
จนท : ตอนนี้เรียนปริญญาโทอยู่ใช่ไหมคะ
เรา : ใช่ค่ะ
จนท : ที่เรียนปริญญาโทนี่ พ่อแม่ออกค่าใช้จ่ายให้เหรอคะ
เรา : ใช่ค่ะ
จนท : นอกจากอังกฤษแล้ว เคยไปเที่ยวประเทศไหนในยุโรปมาบ้างไหมคะ
เรา : ตอนวันหยุดอีสเตอร์ที่ผ่านมา(สองเดือนก่อน) เพิ่งไปฝรั่งเศส เบลเยี่ยม กับสวิสเซอร์แลนด์มาค่ะ
จนท : โอเค วีซ่าคุณผ่านแล้วนะคะ จะส่งไปให้ในอีก 1 อาทิตย์ค่ะ
เราโดนสัมภาษณ์แค่นี้จริงๆ ค่ะ เร็วจนตกใจ เอกสารอะไรก็ไม่ได้ขอเพิ่มเติมเลยค่ะ แต่ใครจะไปแนะนำให้เอาไปเผื่อนะคะ เพราะที่คุยมา เพื่อนบางคนก็โดนขอดูเอกสารเพิ่มบ้างเหมือนกัน
อ้อ! ไม่ชัวร์ว่าจะมีผลไหม แต่วันนั้นเราแต่งตัวไปเรียบร้อยมากค่ะ กึ่งๆ formal ส่วนคนก่อนหน้าที่โดนปฏิเสธ ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ไป ยังไงถ้าจะให้ดีก็แต่งตัวถูกกาลเทศะไปดีกว่าค่ะ
Note : ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้ขอรอบเช้าที่สุดค่ะ เพราะในเว็ปไซต์บอกว่าอาจจะต้องอยู่นานในนั้นถึง 3-4 ชั่วโมง แต่เรากลับใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง (เข้า 8.30 เสร็จเก้าโมงนิดๆ ) อาจจะเพราะเป็นรอบเช้าเกือบที่สุด (รอบแรก 8.00) คนตกค้างก่อนหน้าเลยไม่เยอะมาก แต่หลังจากนั้นคนคงจะตกค้างไปเรื่อยๆ แล้วล่ะค่ะ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะคะ ^^