"เมื่อฉันเคยเป็นร่างทรง" แชร์ประสบการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ

สวัสดีสมาชิกทุกท่านนะคะ...

**ขอแก้ไขชี้แจงเจตนา กระทู้นี้เตือนสติคนที่เชื่องมงายเรื่องร่างทรง อย่าหลงเชื่อและใช้ชีวิตแบบมีสติค่ะ**

เนื่องจากตอนนี้เห็นกระแสข่าวเรื่อง "ร่างทรงองค์เทพ" ค่อนข้างแรงทั้งคนทรง และชาวโซเชียล

ซึ่งต่างคนต่างความคิดต่างประสบการณ์ เพราะเราไม่ใช่คนคนเดียวกัน
และก็มีบางคำถามที่ร่างทรงตอบไม่ได้ ไปไม่เป็น อึ้ง และตอบไม่ตรงคำถาม
และประชาชนก็คงอยากรู้ว่าจริงหรือปลอม
ฉะนั้นวันนี้ เราจึงตัดสินใจออกมาเล่าประสบการณ์การเป็น "ร่างทรง" ตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟัง พร้อมทั้งแง่คิดและการสังเกตต่างๆ ด้วยค่ะ

"ขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวของเรา ถ้าผิดพลาด หรือกล่าวถึงท่านใดไปต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วย"
"ขอให้ความเจตนาดีของเราได้ช่วยเหลือหรือเป็นแสงสว่างให้กับท่านที่อ่านหรือแชร์ให้ครอบครัวอ่านนะคะ"

จุดเริ่มต้น

เราเกิดมาในครอบครัวยากจน ส่วนมากอยู่กับแม่และพี่สาว ตระกูลของเราไม่มีใครเป็นร่างทรงหรือมีความรู้หรือความเชื่อด้านนี้เลยค่ะ
ที่บ้านนับถือศาสนาพุทธทั้งหมด ตาและแม่สวดมนต์ไหว้พระ ไม่เคยไหว้เทพ ไม่เคยดูดวง
ตอนเด็กๆเราก็สวดมนต์ตามคนที่บ้าน ที่นับถือมีหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ หลวงปู่โต พรหมรังสี พระสยามเทวาธิราช พระพุทธชินราช หลวงพ่อพุทธโสธร ค่ะ
ด้วยความที่บ้านยากจน เราต้องช่วยแม่ขายของตั้งแต่ ป.1 เลิกเรียนแล้วก็ช่วยแม่ค้าขาย เป็นอย่างนี้เรื่อยมา
แม่ก็ขยัน อดทนเลี้ยงลูก และสอนเราให้รู้จักทำความดี ไม่เคยสอนเรื่องความเชื่อ ความงมงาย แต่สอนให้สวดมนต์กับนั่งสมาธิค่ะ
เป็นแบบนี้เรื่อยมา...

จนเราอายุจะเข้า 15 ช่วงนั้นเราปวดหัวบ่อยมาก ไม่ได้มีไข้ แต่ปวดหัวแทบระเบิด ขยับตัวแทบไม่ได้
แต่เราต้องไปเรียนและช่วยแม่ขายของ เหนื่อยมากและปวดหัวมาก ปวดจนลามลงมาที่ตา กินยาพาราก็ไม่หาย
จนบางครั้งไม่ได้ออกไปขายของ พี่สาวก็เข้าใจเรานะคะเพราะเห็นเรากินยาตลอด แต่แม่ไม่เข้าใจ แม่คิดว่าเราโกหก
แม่เค้าเหนื่อย เค้าก็โมโหและหงุดหงิดง่าย และไม่ได้พูดจาแบบมีเหตุผล ใช้อารมณ์ตลอด
ซึ่งเราที่เป็นเด็กและปวดหัวจะระเบิดก็เลยมีอารมณ์โกรธและน้อยใจ มีปัญหากันรุนแรงพอควร เราเลยตัดสินใจอยากฆ่าตัวตายค่ะ
แต่ ณ ตอนนั้น ไม่รู้จะตายยังไง ตายที่ไหน แค่อยากไปไหนก็ได้ที่สบายใจ เลยคิดถึงยายที่อยู่ ตจว.
เราหนีไปหายายโดยไม่บอกแม่ สมัยนั้นไม่มีมือถือนะคะ มีเพจเจอร์กับโทรศัพท์บ้าน แม่จึงติดต่อเราไม่ได้
เราเล่าทุกอย่างให้ยายฟัง และบอกยายว่าห้ามบอกแม่เด็ดขาดว่าเราหนีมาอยู่กับยาย เพราะไม่อยากกลับไปอยู่กับแม่แล้ว
ยายไม่บอกแม่ แม่ก็กังวล โทรมาที่บ้านยาย คอยถามว่าเราไปหายายมั้ย ยายก็ปฏิเสธทุกครั้ง...

"คืนแรกที่เราไปนอนบ้านยาย เราฝันเห็นยายทวดมาเหยียบที่อกเรา และดุเราว่า หนีแม่มาทำไม ให้กลับบ้านไปหาแม่"
เราไม่กลัวนะคะ เพราะเคยดูแลยายทวดมาก่อนแกจะเสีย เราคิดว่าเราอาจกังวลไปเอง จึงไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง

ขณะที่อยู่กับยายเราก็ปวดหัวอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรไม่ได้เลย ตัดสินใจว่าอยากตายแล้วจริงๆ มันทรมาน
ไม่กล้าไปหาหมอ เพราะกลัวไม่มีเงิน และไม่มีผู้ปกครองไปด้วยค่ะ
วันนั้นอยู่ๆก็คิดว่าต้องขอพรพระ ประมาณ 6 โมงเย็นได้ค่ะ เรานำหนังสือสวดมนต์มาสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก 16 จบ ใช้ไม้ขีดนับ
ระยะเวลาในการสวดมันยาวนาน ร่วมๆ 4 ชม. เพราะเป็นการสวดบทนี้ครั้งแรกในชีวิต
(เมื่อก่อนที่บ้านไม่ให้สวดบทนี้เพราะว่าศักดิ์สิทธิ์ ยาว และค่อนข้างอ่านยาก)
เราจึงคิดเอาเองว่าบทนี้น่าจะสื่อถึงพระได้ จะได้ขอพรจากท่าน สวดไปก็ร้องไห้ไปเพราะปวดหัวมากค่ะ
หลังสวดมนต์เสร็จเรานอนหลับไปแล้วก็ฝันเห็นเรื่องอัศจรรย์ ซึ่งยังจำได้ถึงทุกวันนี้

ในความฝันเห็นผู้ชายแก่ๆ ใส่ชุดลายเสือ นั่งขัดสมาธิลอยมาหาเรา แล้วพูดกับเราว่า
"ลำบากทรมานมากเลยใช่มั้ย ให้พ่อช่วยมั้ย"
เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเห็นนี้คืออะไร แต่เราสัมผัสได้ว่าเขาอยากช่วยเราจริงๆ และดูเขาเข้าใจเรา
"ถ้าช่วยให้หนูหายจากสิ่งที่เป็นอยู่ได้ หนูยอมยกชีวิตให้ท่านเลย"
หลังจากนั้นภาพตัดไปที่วัดแห่งหนึ่งแถวบ้านยายเรา
มีช้างเผือกสวยงามมากๆ งวงและงายาว ขาวผ่องอร่ามไปทั้งตัว ช้างหันมามองที่เรา
เรานั่งลงพับเพียบและก้มกราบช้างตัวนั้น

เช้าวันต่อมายายกลับมาจากตลาด และบอกเราว่าตอนนี้แม่เราร้อนใจมากที่เราหายไป มีคนแนะนำให้ไปหาร่างทรง
ร่างทรงคนนี้เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ในหมู่บ้านของแม่ แม่เลยลองไปดูดวงกับเขา เขาบอกแม่ว่าเราอยู่กับยาย
แม่เลยโทรมาบอกยายว่าให้พาเราไปส่งที่นนทบุรี ให้บอกเราว่า "พ่อแก่" อยากคุยกับเรา
ซึ่งตอนนั้นทั้งเราและยายไม่รู้ว่า "พ่อแก่" คืออะไรค่ะ

พอเรากลับมาถึงบ้านแม่ แม่ไม่ว่าอะไร มองค้อนเรานิดหน่อย แล้วก็พาเราไปที่ห้องเช่าเล็กๆ ห้องหนึ่ง
ในห้องนั้นมีพวกรูปปั้นบูชาต่างๆ มีพระพุทธรูป มีหัวโขน (เราคิดเอาเอง ณ ตอนนั้น จริงๆแล้วคือเศียรพ่อแก่) มีกลิ่นธูป และผู้ชายนุ่งขาวคนหนึ่ง
พี่ผู้ชายคนนั้นมาทราบทีหลังว่าชื่อ วัฒน์ อายุประมาณ 30 ต้นๆ เขาหันมามองและยิ้มให้เรา แม่ให้เรายกมือไหว้
เขาก็จุดธูปสวดมนต์ นั่งสมาธินิ่งๆ สักพักก็อ้วกออกมาเสียงดัง มีแต่เสียงอ้วก เราสะดุ้งตกใจเลยค่ะ
สักพักอากัปกิริยาเขาเปลี่ยนไป ทั้งหน้า ตาแดง เสียง หลังค่อม แม่ยกมือไหว้ เราก็ยกมือไหว้
ยังไม่มีใครพูดอะไร เขาก็พูดทักหันมาทางเราเลยค่ะ

"เป็นยังไง เข้ามาใกล้ๆพ่อซิ" แม่ก็ดันเราเข้าไปหาใกล้ๆ เราก็กลัวๆ งงๆ ที่เขาดูแปลกไปจากตอนแรกที่ยิ้มให้เรา
"ให้ยายแก่ไปเหยียบอกก็ยังไม่ยอมกลับใช่มั้ย" อือหืมมมม ! ประโยคนี้ทำเราคนลุกจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ เราไม่เคยเล่าความฝันนี้ให้ใครฟัง
งงมากว่าเขารู้ได้ยังไง เขาก็ยิ้มปนหัวเราะแบบเอ็นดู เอื้อมมือมาลูบหัวเรา
"ก็เจ้าอยากให้พ่อช่วยไม่ใช่รึไง" แวบนั้นภาพความฝันถึงชายแก่คนนั้นเขามาในหัว ระหว่างที่เขาลูบหัว ขนหัวเราลุกเลยจริงๆ ร้องไห้ออกมาเลย
"เพราะเจ้าสวดมนต์ขอพรให้ใครมาช่วย แล้วชะตาเจ้ากำลังจะขาด พ่อจึงมาช่วยต่อชีวิตให้ จงเชื่อฟังพ่อแก่กับแม่ของเจ้านะ"
ตอนนั้นเราก้มกราบเขาเลยค่ะ และเพิ่งเข้าใจตอนนั้นว่าชายแก่ที่เข้าฝันคือ "พ่อแก่"
และมาทราบหลังจากคุยกับพี่วัฒน์ว่าเขาเป็นร่างทรง "พ่อแก่บรมครูปู่ฤๅษีนารอด"  คือเศียรที่อยู่บนหิ้งพระค่ะ

หลังจากกลับมาบ้านแม่ก็ถามไถ่เราก็เลยเล่าให้แม่ฟังทุกอย่าง ทีนี้กลายเป็นแม่เชื่อและศรัทธามาก
แม่เราค้าขายดอกไม้ของไหว้พระค่ะ ก็จะนำของไปถวายที่ตำหนักนี้ แต่หลังๆ ความแม่นกระจายไปทั่วหมู่บ้าน ลูกศิษย์ลูกหาเยอะมากมาย
แม่เลยไปหาห้องเช่าให้พี่วัฒน์ใหม่ ห้องใหญ่พอควร รับลูกศิษย์สบาย และให้ลูกๆ คอยดูแลส่งข้าวส่งน้ำด้วย

หลังๆ เราเริ่มเรียนรู้เรื่องร่างทรงมากขึ้น ตำหนักนี้มีค่าครู 12 บาท ไม่รับทรงวันพระ ไม่ให้หวยตรงๆ มีทรงทั้งพ่อแก่ พ่อสิงห์ดง กุมาร
ซึ่งหลังๆ ความแม่น ความให้หวยให้บอลถูกก็กระจายไปทั่ว ตำหนักดูดี มีพระและรูปปั้นองค์เทพเยอะแยะไปหมด
ส่วนตัวเราเองก็ยังปวดหัวอยู่เรื่อยๆ แม่ไม่ค่อยบ่นว่าเราเท่าเมื่อก่อน เพราะพ่อแก่ขอไว้ และแม่สงสารที่เราชะตาจะขาดด้วย
ในช่วงนี้เองเราเริ่มฝันเห็นองค์เทพ เห็นสถานที่โบราณ เห็นพระมหากษัตริย์ไทย แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าที่ฝันเห็นคือใครบ้าง
จึงไปหาหนังสือเกี่ยวกับองค์เทพมาอ่าน จนได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น

แต่เนื่องจากพอมีคนมาที่ตำหนักเยอะ แม่ก็ค้าขายดีมากๆ เราก็เหนื่อยและเริ่มรู้สึกไม่เป็นตัวเอง จนเริ่มมีปัญหากับแม่อีก
ความคิดสั้นก็มาอีกค่ะ ไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้อยานอนหลับ เขาไม่ขายให้เพราะไม่มีใบสั่งแพทย์
แต่อารมณ์ตอนนั้นคืออยากจบทุกอย่าง จึงปั่นจักรยานออกจากบ้านเพื่อจะไปโดดสะพานพระนั่งเกล้า
แต่ปั่นมาได้ไม่ไกล มีวินมอเตอร์ไซค์มาบอกเราว่า "พ่อแก่เรียก ให้ไปหาด่วนเลย"
แล้วให้เราจอดจักรยานและนั่งซ้อนท้ายเขาไป

พอถึงตำหนัก มีคนมาเฝ้าพ่อแก่กันเยอะ พ่อแก่หันมามองหน้าเรา แล้วพูดว่า
"เข้ามาใกล้ๆ ทำไมคิดสั้นอีกแล้ว พ่อบอกว่าจะช่วย จะไปฆ่าตัวตายทำไม เขาไม่ขายยายังจะไปโดดน้ำอีก"
คิดดูค่ะว่าเขารู้ได้ยังไง เราร้องไห้ทั้งกลัวทั้งเครียด ได้แต่พูดว่าหนูขอโทษ หนูทนจะไม่ไหวแล้ว
พ่อแก่เลยบอกว่าวันพรุ่งนี้จะมีงานไหว้ครูใหญ่ ให้เราไปกับร่างพี่วัฒน์ เราไม่รู้หรอกค่ะว่างานอะไร แต่ก็ตอบตกลงไป
พอเรากลับบ้านไป แม่เงียบ ไม่คุยกับเรา คงรู้จากคนอื่นว่าเราจะฆ่าตัวตาย
แม่บอกแค่ว่าพรุ่งนี้จะพาไปงานไหว้ครู ให้ไปด้วยกัน

วันต่อมาพี่วัฒน์พาเรา แม่ และพี่สาวไปที่งานไหว้ครูแถวห้วยขวาง (คนที่ชอบเรื่องร่างทรงน่าจะรู้จักตำหนักนี้นะคะ)
มาทราบภายหลังว่าตำหนักนี้เป็นร่างทรงที่เป็นครูของร่างทรงคนอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมาไหว้ครูและมารับขันธ์กันที่นี่
ร่างทรงนี้ใช้นามแฝงค่ะ แต่เราแอบรู้สึกเองว่าน่าจะเป็นร่างทรง ท้าวมหาพรหมหรือ พระตรีมูรติ
พอเข้าไปในงานทุกสายตาจับจ้องมาที่เรา ไม่ใช่เพราะเราสวยนะคะ แต่เพราะเสร่อแต่งกายสีดำ
ทั้งแม่ พี่สาว และประชาชนคนอื่นๆที่มางานเป็นร้อยคน เขาใส่ชุดขาวกันหมด ยกเว้นคนที่เป็นร่างทรงจะใส่ชุดของตัวเอง แต่ก็จะออกสีขาวๆ
มีเราที่ใส่สีดำ เพราะเราชอบใส่สีดำค่ะ ไม่เคยมีสีขาวแบบคนอื่น
มีผู้ชาย 2 คนเดินมาทำท่าจะไล่เราออกจากงาน เหมือนเราไปท้าทายดูหมิ่นงานเขา แต่ป้าเจ้าของงานมาห้าม บอกให้เราเข้ามาได้
เพราะเรายังเด็ก อาจไม่รู้เรื่อง แม่เราก็ยกมือไหว้ขอโทษคนในงาน

นั่งฟังพระสวดสักพัก เจ้าของงานก็เริ่มสวดภาษาอะไรไม่รู้ เปิดงานตรงบายศรี ร่างทรงคนอื่นๆ ก็เริ่มสำแดงฤทธิ์กัน
เรามองแล้วก็งงๆ ขำๆ เพราะบางคนก็ดูตลกดี
สักพักนึงก็มีการสวดอัญเชิญเทวดา องค์เทพ แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นค่ะ
เรากรี๊ดเสียงดังมากๆๆ ทุกคนตกใจหันมามอง ยกเก้าอี้หนี แต่เราก็กรี๊ดๆๆๆๆๆ กรี๊ดจนตกใจตัวเอง แต่เราควบคุมตัวเองไม่ได้ค่ะ
คือเราเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่ไม่สามารถควบคุมหรือหยุดตัวเองได้เลย
สักพักป้าคนนึงเดินมาบอกแม่เราว่า เพราะเราใส่ชุดดำมา ให้เราถอดเสื้อดำและใส่เสื้อขาว แล้วป้าก็ถอดเสื้อตัวนอกของตัวเองให้เราค่ะ
เราอายมาก เพราะเค้าถอดเสื้อเราตรงนั้น ตรงที่คนมองเยอะๆ แล้วก็สวมเสื้อขาวให้
พอได้เสื้อขาวเราหยุดกรี๊ดค่ะ แต่ลุกขึ้นรำแทน -*-
อับอายมากๆ ทุกคนมองมาที่เรา แต่เราหยุดตัวเองไม่ได้ งงว่าเป็นอะไรวะเนี่ย
รำอยู่จนจบเพลงนั้น พี่วัฒน์ก็บอกว่ากลับบ้านกันเถอะ เพราะกลัวเราจะทำอะไรมากไปกว่านี้ คงกลัวเราจะพังงานมั้ง 555
กำลังจะเดินไปไหว้ลาเจ้าของงาน ระหว่างที่เดินไป ผู้ชายคนที่ห้ามเราไม่ให้เข้างาน เดินมาจับแขนเราค่ะ
แล้วเขาก็พูดภาษาอะไรไม่รู้ งงมาก แต่ที่งงยิ่งกว่า เราพูดตอบกลับเขาออกไป แต่มันไม่ใช่ภาษาไทยค่ะ
พระเจ้า... เราพูดภาษาเดียวกับเขา เขาก็พูดกลับมา เราเหวอและตกใจมากค่ะตอนนั้น
เขาพาเราเดินไปหาเจ้าของงาน เจ้าของงานยิ้มแย้มเอ็นดูเราซะงั้น เจ้าของงานเป็นผู้หญิงนะคะ แต่เวลาทรงแบบนี้ดูเป็นผู้ชายเลย
เขาหยิบเทียนมาหนึ่งเล่ม ปากก็สวดภาษาอะไรไม่รู้ แล้วก็จิ้มเทียนเข้ามาในปากเรา เท่านั้นล่ะค่ะ
เราพูดไม่หยุด พูดภาษาอะไรไม่รู้ พูดออกมายาว ร่ายยาว พูดไม่ได้หยุดเลย แต่คนละภาษากับป้าเจ้าของงานนะ
เรารู้ว่าตอนนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราอยากพูด และการกระทำต่างๆ ไม่ใช่ตัวเรา เหมือนเราเห็นทุกอย่าง แต่เราทำอะไรไม่ได้ค่ะ
สักพักมีร่างทรงคนนึงน่าจะเป็นเทพสายยักษ์ เพราะทำหน้าตาบึ้งตึงดูโกรธๆและทำท่าถือกระบองมาจะหวดเรา
เราก็เหมือนจะลุกขึ้นสู้ แต่ป้าเจ้าของงานก็มากั้นกลาง และให้พี่วัฒน์พาเรากลับบ้านค่ะ

ระหว่างทางนั่งรถกลับ เรายังพูดพล่ามภาษานั้นต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน ได้ยินที่แม่คุยกับพี่วัฒน์ทั้งหมด
พี่สาวหันมาถามเราว่าเป็นอะไร เราจะอ้าปากตอบ แต่ภาษาที่ออกมาก็เป็นภาษาอื่นค่ะ
คืนนั้นเราต้องนอนที่ตำหนักพ่อแก่ ขึ้นธูปไหว้กลางแจ้ง อาการค่อยๆสงบลงแล้วก็หลับเป็นตาย
พอวันต่อมา แม่มาปลุกบอกต้องไปรับขันธ์ครูที่ห้วยขวาง ไม่งั้นจะเป็นบ้าแบบเมื่อคืน
เราก็กลัวๆนะ ไม่ค่อยกล้าอ้าปากพูด กลัวภาษานั้นจะมาอีก แต่รู้ว่าใจเต้นแรงตลอดเวลา
พี่สาวมาถามอีกว่าเป็นอะไร รู้ตัวมั้ยเมื่อคืนทำอะไร เราก็ไม่กล้าพูด ได้แต่ส่ายหัวและอยู่คนเดียว (แม่ไม่ขายของเลยวันนั้นเพราะกลัวลูกเป็นบ้า)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่