เมื่อวานพูดเรื่อง "สมณศักดิ์" ไป เพราะเห็นว่าสมณศักดิ์เป็นอุบายหรือไอเดียของฝ่ายคฤหัสถ์ที่สร้างเพื่อล่อและกำนัลพระสงฆ์ที่ฝักใฝ่การเมืองในฝ่ายของตนจึงนับเอาสมณศักดิ์เป็นส่วนหนึ่งของ "การเมือง" ซึ่งสมณศักดิ์นี้ได้สร้างชนชั้นแบบกลายๆ ขึ้นในหมู่พระสงฆ์ ให้พระสงฆ์นำไปใช้เป็นเครื่องมือหาเงินจากทั้งญาติโยมหรือแม้แต่ในหมู่พระสงฆ์ด้วยกันเอง ในศาสนจักร...อย่าว่าแต่พระสงฆ์เลยครับ แม้แต่สถานะของวัดยังมีการแบ่งชนชั้น "วัดราษฏร์" และ "วัดหลวง" ในกรณีที่เป็นวัดหลวงนั้น ต้องลำดับอีกว่าหลวงชั้นไหน ตรี โท เอกหรือพิเศษ?? จิตมนุษย์ก็ประมาณนี้แหละครับ สร้างยศ สร้างบรรดาศักดิ์ให้ตัวเองยังไม่พอ ยังอุตริอุปโลกน์ไปแบ่งชนแบ่งชั้นให้กับสิ่งที่ไม่มีวิญญาณครองด้วย
ในเรื่องของ "สีกา" นั้น พระพุทธองค์ทรงเคยตรัสเตือนสติพระสงฆ์ประมาณว่าให้ห่างเข้าไว้ ตรงนี้ก็อย่าเข้าใจผิดว่าพระพุทธองค์สอนให้รังเกียจสตรีเพศนะครับ ที่น่ารังเกียจอาจจะเป็นที่ "จิต" หรือ "อินทรีย์" ของพระสงฆ์ที่ไม่อาจรักษาไว้ให้คงมั่นเมื่อเจอสตรีต่างหาก พระนักปฏิบัติท่านจึงพยายามหลีกลี้ ปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมจนบรรลุหรืออินทรีย์แก่กล้าเสียก่อน หลังจากนั้นต่อให้เจอสตรีงดงามเพียงใดท่านก็ย่อมไม่หวั่นไหว ความเป็น "สตรีเพศ" สามารถทะลุทะลวงใจผู้ถือศีลได้ขนาดไหน ทำไมพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่าให้ห่างเข้าไว้นั้นประมาณใด กรณีท่านซูมิโอะก็เป็นประจักษ์พยานได้ดี ใครต่อใครก็ลือก็อ้างว่าอินทรีย์ของท่านซูมิโอะนั้นแน่....ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ...สุดท้ายก็อย่างที่เห็น นี่ยังไม่ต้องพูดถึงหลายกรณีที่มีเรื่องเข้าไปพัวพันกับสีกาอย่างยันตระ นิกร ภาวนาพุทโธ หลวงพ่อปราโมทย์ พระคึกฤทธิ์ หรือแม้แต่พระเกจิที่เป็นสหธรรมิกใกล้ชิดกับหลวงตามหาบัวอย่างหลวงพ่อเมือง เป็นต้น
สีกาคือ "จุดอ่อน" ของพระสงฆ์และสามารถทะลุทะลวงและนำภัยมาสู่สมณเพศได้หลายทางเช่น ตัวสีกาเองเป็นฝ่ายเข้าหาหนึ่ง พระสงฆ์เป็นฝ่ายเข้าหาหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างเข้าหาหนึ่ง มีตัวพ่อสื่อแม่ชักให้ทั้งสองฝ่ายอีกหนึ่ง และที่สำคัญตัว "สีกา" อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องในการกำจัดพระสงฆ์ได้ด้วย อย่างเช่นกรณีนางจิญจามานะวิกาและนางสุนทรีที่เคยถูกใช้ว่ามีเรื่องชู้สาวกับพระพุทธเจ้า
การลุ่มหลงในสตรีเพศนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว เคยมีพระรูปหนึ่งไปรับบิณฑบาตสตรีที่สวยที่สุดในแว่นแคว้น ตอนพระรูปนั้นเห็นนางนวยนวดหิ้วอาหารออกมาใส่บาตรหัวใจของพระแทบจะหลอมละลายเมื่อเห็นความงาม เมื่อกลับมาถึงวัดพระท่านก็รีบเข้ากุฏิปิดประตูลั่นดาลไปนอนครวญครางละเมอเพ้อฝันถึงแต่ไม่ยอมออกมาฉันข้าวฉันปลาหลายวันทีเดียว ดูเอาเถิด....ขนาดพระที่มีพระพุทธเจ้าคอยกำชับอยู่ใกล้ชิดในวัดเดียวกันขนาดนั้นก็ยังเอาไม่อยู่ แล้วพระระดับ "เจ้าสัว" กลางใจกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่บางรูปมีหรือจะไม่วอกแวกบ้าง ??
มีอีกกรณีหนึ่งที่น่าศึกษา ถือว่าเป็นกรณีที่ใหม่ที่หลายคนอาจจะไม่ค่อยรู้จัก คือกรณีพระธรรมทูตที่ไปเผยแพร่ (หรือเผยแผ่?) ศาสนาในต่างประเทศเป็นระยะเวลายาวนาน เมื่ออยู่นานไปก็มีสิทธิ์ได้สัญชาติของประเทศนั้น ก็ยังไม่วายมีสีกาบางคนไปตะล่อมท่านสึกก็มี เพราะว่าตะล่อม(จีบ)พระนั้นจีบง่ายกว่า เมื่อพระสึกออกมาแต่งงานกับสีกา สีกานั้นก็สามารถขอวีซ่าจากนักเรียน หรือนักท่องเที่ยวเป็นเรสซิเดนซ์ได้โดยไม่ยาก เพราะแต่งงานกับอดีตพระที่ถือสัญชาติประเทศนั้นแล้วนั่นเอง บางรายนะ...เมื่อผู้หญิงได้สัญชาติแล้วเพราะหลอกพระอดีตธรรมทูตให้สึกออกมาแล้ว เธอก็โบยบินหาแฟนใหม่ ปล่อยให้อดีตพระธรรมทูตตรอมตรมก็มี.... จบแบบเศร้าๆ แกมสมน้ำหน้าอย่างนี้แหละขอรับ ตั้งใจจะพูดเรื่อง "การเมือง" ด้วย แต่ก็ร่ายเรื่อง "สีกา" ซะยาว ไว้โอกาสหน้าจะมาโซ้ยเรื่องการเมืองต่อ
….ไม่ "สีกา" ก็ "การเมือง" ที่ทำให้พระเสีย ภาค๑..../วัชรานนท์
ในเรื่องของ "สีกา" นั้น พระพุทธองค์ทรงเคยตรัสเตือนสติพระสงฆ์ประมาณว่าให้ห่างเข้าไว้ ตรงนี้ก็อย่าเข้าใจผิดว่าพระพุทธองค์สอนให้รังเกียจสตรีเพศนะครับ ที่น่ารังเกียจอาจจะเป็นที่ "จิต" หรือ "อินทรีย์" ของพระสงฆ์ที่ไม่อาจรักษาไว้ให้คงมั่นเมื่อเจอสตรีต่างหาก พระนักปฏิบัติท่านจึงพยายามหลีกลี้ ปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมจนบรรลุหรืออินทรีย์แก่กล้าเสียก่อน หลังจากนั้นต่อให้เจอสตรีงดงามเพียงใดท่านก็ย่อมไม่หวั่นไหว ความเป็น "สตรีเพศ" สามารถทะลุทะลวงใจผู้ถือศีลได้ขนาดไหน ทำไมพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่าให้ห่างเข้าไว้นั้นประมาณใด กรณีท่านซูมิโอะก็เป็นประจักษ์พยานได้ดี ใครต่อใครก็ลือก็อ้างว่าอินทรีย์ของท่านซูมิโอะนั้นแน่....ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ...สุดท้ายก็อย่างที่เห็น นี่ยังไม่ต้องพูดถึงหลายกรณีที่มีเรื่องเข้าไปพัวพันกับสีกาอย่างยันตระ นิกร ภาวนาพุทโธ หลวงพ่อปราโมทย์ พระคึกฤทธิ์ หรือแม้แต่พระเกจิที่เป็นสหธรรมิกใกล้ชิดกับหลวงตามหาบัวอย่างหลวงพ่อเมือง เป็นต้น
สีกาคือ "จุดอ่อน" ของพระสงฆ์และสามารถทะลุทะลวงและนำภัยมาสู่สมณเพศได้หลายทางเช่น ตัวสีกาเองเป็นฝ่ายเข้าหาหนึ่ง พระสงฆ์เป็นฝ่ายเข้าหาหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างเข้าหาหนึ่ง มีตัวพ่อสื่อแม่ชักให้ทั้งสองฝ่ายอีกหนึ่ง และที่สำคัญตัว "สีกา" อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องในการกำจัดพระสงฆ์ได้ด้วย อย่างเช่นกรณีนางจิญจามานะวิกาและนางสุนทรีที่เคยถูกใช้ว่ามีเรื่องชู้สาวกับพระพุทธเจ้า
การลุ่มหลงในสตรีเพศนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว เคยมีพระรูปหนึ่งไปรับบิณฑบาตสตรีที่สวยที่สุดในแว่นแคว้น ตอนพระรูปนั้นเห็นนางนวยนวดหิ้วอาหารออกมาใส่บาตรหัวใจของพระแทบจะหลอมละลายเมื่อเห็นความงาม เมื่อกลับมาถึงวัดพระท่านก็รีบเข้ากุฏิปิดประตูลั่นดาลไปนอนครวญครางละเมอเพ้อฝันถึงแต่ไม่ยอมออกมาฉันข้าวฉันปลาหลายวันทีเดียว ดูเอาเถิด....ขนาดพระที่มีพระพุทธเจ้าคอยกำชับอยู่ใกล้ชิดในวัดเดียวกันขนาดนั้นก็ยังเอาไม่อยู่ แล้วพระระดับ "เจ้าสัว" กลางใจกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่บางรูปมีหรือจะไม่วอกแวกบ้าง ??
มีอีกกรณีหนึ่งที่น่าศึกษา ถือว่าเป็นกรณีที่ใหม่ที่หลายคนอาจจะไม่ค่อยรู้จัก คือกรณีพระธรรมทูตที่ไปเผยแพร่ (หรือเผยแผ่?) ศาสนาในต่างประเทศเป็นระยะเวลายาวนาน เมื่ออยู่นานไปก็มีสิทธิ์ได้สัญชาติของประเทศนั้น ก็ยังไม่วายมีสีกาบางคนไปตะล่อมท่านสึกก็มี เพราะว่าตะล่อม(จีบ)พระนั้นจีบง่ายกว่า เมื่อพระสึกออกมาแต่งงานกับสีกา สีกานั้นก็สามารถขอวีซ่าจากนักเรียน หรือนักท่องเที่ยวเป็นเรสซิเดนซ์ได้โดยไม่ยาก เพราะแต่งงานกับอดีตพระที่ถือสัญชาติประเทศนั้นแล้วนั่นเอง บางรายนะ...เมื่อผู้หญิงได้สัญชาติแล้วเพราะหลอกพระอดีตธรรมทูตให้สึกออกมาแล้ว เธอก็โบยบินหาแฟนใหม่ ปล่อยให้อดีตพระธรรมทูตตรอมตรมก็มี.... จบแบบเศร้าๆ แกมสมน้ำหน้าอย่างนี้แหละขอรับ ตั้งใจจะพูดเรื่อง "การเมือง" ด้วย แต่ก็ร่ายเรื่อง "สีกา" ซะยาว ไว้โอกาสหน้าจะมาโซ้ยเรื่องการเมืองต่อ