….ไม่ "สีกา" ก็ "การเมือง" ที่ทำให้พระเสีย ภาค๑..../วัชรานนท์

กระทู้คำถาม
เมื่อวานพูดเรื่อง "สมณศักดิ์" ไป   เพราะเห็นว่าสมณศักดิ์เป็นอุบายหรือไอเดียของฝ่ายคฤหัสถ์ที่สร้างเพื่อล่อและกำนัลพระสงฆ์ที่ฝักใฝ่การเมืองในฝ่ายของตนจึงนับเอาสมณศักดิ์เป็นส่วนหนึ่งของ "การเมือง"    ซึ่งสมณศักดิ์นี้ได้สร้างชนชั้นแบบกลายๆ ขึ้นในหมู่พระสงฆ์   ให้พระสงฆ์นำไปใช้เป็นเครื่องมือหาเงินจากทั้งญาติโยมหรือแม้แต่ในหมู่พระสงฆ์ด้วยกันเอง   ในศาสนจักร...อย่าว่าแต่พระสงฆ์เลยครับ  แม้แต่สถานะของวัดยังมีการแบ่งชนชั้น  "วัดราษฏร์" และ "วัดหลวง"   ในกรณีที่เป็นวัดหลวงนั้น  ต้องลำดับอีกว่าหลวงชั้นไหน  ตรี  โท  เอกหรือพิเศษ??   จิตมนุษย์ก็ประมาณนี้แหละครับ   สร้างยศ  สร้างบรรดาศักดิ์ให้ตัวเองยังไม่พอ   ยังอุตริอุปโลกน์ไปแบ่งชนแบ่งชั้นให้กับสิ่งที่ไม่มีวิญญาณครองด้วย


ในเรื่องของ "สีกา" นั้น  พระพุทธองค์ทรงเคยตรัสเตือนสติพระสงฆ์ประมาณว่าให้ห่างเข้าไว้   ตรงนี้ก็อย่าเข้าใจผิดว่าพระพุทธองค์สอนให้รังเกียจสตรีเพศนะครับ    ที่น่ารังเกียจอาจจะเป็นที่ "จิต" หรือ "อินทรีย์" ของพระสงฆ์ที่ไม่อาจรักษาไว้ให้คงมั่นเมื่อเจอสตรีต่างหาก   พระนักปฏิบัติท่านจึงพยายามหลีกลี้   ปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมจนบรรลุหรืออินทรีย์แก่กล้าเสียก่อน   หลังจากนั้นต่อให้เจอสตรีงดงามเพียงใดท่านก็ย่อมไม่หวั่นไหว     ความเป็น "สตรีเพศ" สามารถทะลุทะลวงใจผู้ถือศีลได้ขนาดไหน   ทำไมพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่าให้ห่างเข้าไว้นั้นประมาณใด  กรณีท่านซูมิโอะก็เป็นประจักษ์พยานได้ดี    ใครต่อใครก็ลือก็อ้างว่าอินทรีย์ของท่านซูมิโอะนั้นแน่....ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ...สุดท้ายก็อย่างที่เห็น    นี่ยังไม่ต้องพูดถึงหลายกรณีที่มีเรื่องเข้าไปพัวพันกับสีกาอย่างยันตระ  นิกร  ภาวนาพุทโธ  หลวงพ่อปราโมทย์  พระคึกฤทธิ์  หรือแม้แต่พระเกจิที่เป็นสหธรรมิกใกล้ชิดกับหลวงตามหาบัวอย่างหลวงพ่อเมือง เป็นต้น


สีกาคือ "จุดอ่อน" ของพระสงฆ์และสามารถทะลุทะลวงและนำภัยมาสู่สมณเพศได้หลายทางเช่น  ตัวสีกาเองเป็นฝ่ายเข้าหาหนึ่ง  พระสงฆ์เป็นฝ่ายเข้าหาหนึ่ง   ต่างฝ่ายต่างเข้าหาหนึ่ง   มีตัวพ่อสื่อแม่ชักให้ทั้งสองฝ่ายอีกหนึ่ง   และที่สำคัญตัว "สีกา" อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องในการกำจัดพระสงฆ์ได้ด้วย  อย่างเช่นกรณีนางจิญจามานะวิกาและนางสุนทรีที่เคยถูกใช้ว่ามีเรื่องชู้สาวกับพระพุทธเจ้า


การลุ่มหลงในสตรีเพศนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว    เคยมีพระรูปหนึ่งไปรับบิณฑบาตสตรีที่สวยที่สุดในแว่นแคว้น   ตอนพระรูปนั้นเห็นนางนวยนวดหิ้วอาหารออกมาใส่บาตรหัวใจของพระแทบจะหลอมละลายเมื่อเห็นความงาม   เมื่อกลับมาถึงวัดพระท่านก็รีบเข้ากุฏิปิดประตูลั่นดาลไปนอนครวญครางละเมอเพ้อฝันถึงแต่ไม่ยอมออกมาฉันข้าวฉันปลาหลายวันทีเดียว     ดูเอาเถิด....ขนาดพระที่มีพระพุทธเจ้าคอยกำชับอยู่ใกล้ชิดในวัดเดียวกันขนาดนั้นก็ยังเอาไม่อยู่    แล้วพระระดับ "เจ้าสัว" กลางใจกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่บางรูปมีหรือจะไม่วอกแวกบ้าง ??


มีอีกกรณีหนึ่งที่น่าศึกษา   ถือว่าเป็นกรณีที่ใหม่ที่หลายคนอาจจะไม่ค่อยรู้จัก   คือกรณีพระธรรมทูตที่ไปเผยแพร่ (หรือเผยแผ่?) ศาสนาในต่างประเทศเป็นระยะเวลายาวนาน  เมื่ออยู่นานไปก็มีสิทธิ์ได้สัญชาติของประเทศนั้น    ก็ยังไม่วายมีสีกาบางคนไปตะล่อมท่านสึกก็มี    เพราะว่าตะล่อม(จีบ)พระนั้นจีบง่ายกว่า   เมื่อพระสึกออกมาแต่งงานกับสีกา   สีกานั้นก็สามารถขอวีซ่าจากนักเรียน  หรือนักท่องเที่ยวเป็นเรสซิเดนซ์ได้โดยไม่ยาก  เพราะแต่งงานกับอดีตพระที่ถือสัญชาติประเทศนั้นแล้วนั่นเอง    บางรายนะ...เมื่อผู้หญิงได้สัญชาติแล้วเพราะหลอกพระอดีตธรรมทูตให้สึกออกมาแล้ว  เธอก็โบยบินหาแฟนใหม่  ปล่อยให้อดีตพระธรรมทูตตรอมตรมก็มี....  จบแบบเศร้าๆ แกมสมน้ำหน้าอย่างนี้แหละขอรับ  ตั้งใจจะพูดเรื่อง "การเมือง" ด้วย  แต่ก็ร่ายเรื่อง "สีกา" ซะยาว  ไว้โอกาสหน้าจะมาโซ้ยเรื่องการเมืองต่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่