รีวิวเรื่องที่18/100
หลังจากที่ผมได้มีโอกาสพูดถึง Batman Begins ไปแล้ว เลยถือโอกาสต่อยอดพูดถึงที่สุดแห่งไตรภาคBatmanของChristopher Nolan ไปด้วยซะเลยครับ หนังเรื่องนี้ผมดูในโรงหนังไปถึงสองรอบนะครับและในรอบที่สองที่ดูในโรงความสนุกกลับไม่ได้ลดลงเลย ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจเป็นเพราะบทพูดเฉีอดเฉือนของตัวละครแต่ละตัว, ฉากactionที่ไม่ได้เยอะมากจนเกินไปแต่สามารถสร้างimpactได้ดีซะเหลือเกินในทุกๆซีน บวกกับการแสดงที่สุดยอดของ Heath Ledger ในบทของJoker ที่ยียวนกวนประสาททั้งยังแสดงความจิตป่วยออกมาได้อย่างเต็มmaxครับ ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดายนะครับที่นักแสดงหนุ่มผู้นี้รีบจากโลกไปซะก่อนไม่งั้นเราอาจได้มีโอกาสเห็นเขากลับมารับบทนี้อีกก็เป็นไปได้
หลังจากในตอนท้ายเรื่องของBatman Begins เราได้เห็นไพ่ปริศนาซึ่งเป็นการบอกถึงการกลับมาของJokerสู่จอภาพยนต์อีกครั้งครับ ซึ่งต้องให้creditทีมcasting นักแสดงจริงๆครับที่ได้เลือกHeath Ledger มารับบทJokerตัวร้ายตลอดกาลของBatman ซึ่งก่อนหน้านี้ผมติดภาพเขาในบทอัศวินสุดหล่อในเรื่อง A Knight’s Tale จึงทำให้การมารับบทครั้งนี้ของเขาเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงจริงๆครับ ซึ่งแน่นอนว่าในหนังSuper Hero ส่วนมากในภาคแรกจะfocusไปที่ตัวHero เป็นหลักแต่ในภาคต่อนี้ตัวร้ายจะเป็นตัวสำคัญในการสร้างสีสันและความสนุกครับ เนื่องจากเราได้รู้ไส้รู้พุงของHeroไปหมดแล้ว ซึ่งในภาคต่อHero อาจจะมีการงัดอาวุธใหม่ๆหรือความสามารถใหม่ๆออกมาบ้างก็เป็นได้ แต่สำหรับBatmanนี้อย่างที่รู้ๆกันว่าความสามารถของเขานั้นมีข้อจำกัดอยู่เนื่องจากเขาเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้มีพลังเหนือธรรมชาติครับ ฉะนั้นจึงเพิ่งอาวุธและเทคโนโลยีเป็นหลักซึ่งผู้คนก็พอจะคาดเดากันได้อยู่แล้ว ฉะนั้นหนังเรื่องนี้จะทำให้คนดูรู้สึกทึ่งอึ้งเสียวได้อย่างไร หน้าที่นั้นจึงตกมาอยู่ที่ตัวร้ายหลักของเรื่องอย่างJokerครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จริงๆมีตัวร้ายมากกว่าหนึ่งนะครับเหมือนภาคที่แล้วที่จะมีตัวร้ายเสริมมาsurpriseคนดูครับ
ภาคนี้เล่าเรื่องหลังจาก Batman Begins ได้ไม่นานครับหลังจากที่เหล่าอาชญากรในเมืองGothamเริ่มลดลงเพราะความกลัวที่มีต่อBatman เหล่าแก๊งค์ต่างๆได้รวมตัวกันเพื่อป้องกันตัวจากBatman และวายร้ายโนเนมผู้มีแผลปากฉีกและซ่อนใบหน้าภายใต้make upอย่างJokerก็ได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่ออาสาที่จะเป็นคนกำจัดBatman ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าJokerเป็นใครหรือมีอดีตยังไงครับในเรื่องแต่เขาค่อยๆวางแผนเพื่อสังหารคนสำคัญในเมืองGothamไปทีละคนทีละคน โดยที่ปล่าวประกาศว่าใครที่เป็นBatmanถ้ายอมเปิดเผยตัวตน เขาจะหยุดการสังการทันทีครับ เพราะการที่Batmanถอดหน้ากากนั้นก็หมายถึงการที่Batmanก้าวสู่จุดจบนั้นเองครับ เพราะถึงแม้สิ่งที่Batmanทำอยู่จะช่วยให้สังคมน่าอยู่ขึ้นและมีอาชญากรน้อยลงแต่ก็มีคนในสังคมไม่น้อยครับที่ไม่ยอมรับและสนับสนุนสิ่งที่Batmanทำอยู่เพราะไม่ได้เป็นการกระทำภายใต้กฏหมาย ในขณะเดียวกันก็มีอัศวินม้าขาวอย่างHarvey Dentโผล่ขึ้นมาในเมืองGothamครับในฐานะอัยการผู้ที่อาสาจะลากเหล่าอาชญากรทั้งหลายมาลงทัณฑ์อีกทั้งเขายังเป็นขวัญใจคนใหม่ของRachelอดีตคนรักของBruceอีกด้วย ซึ่งBruceก็ยอมรับและเคารพการตัดสินใจของเธอครับ แต่เนื่องจากHarveyกำลังกลายเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรมในเมืองนี้ Jokerจึงหมายหัวและนั้นก็ทำให้เรื่องราวมาถึงจุดหักเหและการห่ำหั่นชิงไหวชิงพริบระหว่างBatmanผู้ที่เชื่อมั่นในความยุติธรรมและต้องการที่จะกำจัดเหล่าอาชญากรเพื่อGotham กับJoker ผู้ที่ต้องการเห็นความพินาจและความวุ่นวายของสังคมอีกทั้งยังมีความเชื่อที่ว่าแม้คนที่ดีที่สุดถ้าถึงจุดๆหนึ่งก็สามารถจะต่ำช้าเลวทรามได้ไม่แพ้กัน
รีวิวตัวละคร
Bruce Wayne / Batman (Christian Bale) ในภาคนี้เล่นได้เป็นธรรมชาติมากครับทำให้เราเข้าใจไปแล้วว่าเขาเป็นBruceและBatmanจริงๆซึ่งเขาทำให้ฉากที่ต้องเผชิญหน้ากับJokerแต่ละซีนกลายเป็นที่น่าจดจำครับ
Joker (Heath Ledger) เป็นการแสดงของเป็นอะไรที่สร้างความแตกต่างและยกระดับให้หนังเรื่องนี้เป็นอย่างมากเลยทีเดียวครับ สมแล้วครับที่เป็นบทที่ทำให้เขาได้รางวัลOscar สาขานักแสดงสมทบชายในปี 2009 เท่าที่ทราบมาเขามีส่วนให้การสร้างCharacter Jokerตัวนี้ขึ้นมาด้วยตัวเองด้วยครับ เช่นอาการเลียปากซึ่งจะเห็นได้ตลอดทั้งเรื่องซึ่งเป็นอาการของคนที่มีอาการปากฉีกครับ และหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเพิ่มเติมเข้าไปในการแสดงเพื่อให้Jokerดูโรคจิตและเข้าถึงได้ยากมากขึ้นครับสำหรับคนปกติอย่างเราๆ
Rachel Dawes (Maggie Gyllenhaal) เข้ามารับบทขวัญใจBruce Wayne แทนที่Katie Holmesครับ ซึ่งผมว่าเธอแสดงได้ดีกว่า Katie นะครับถึงแม้จะดูไม่สวยใสเท่าก็ตาม
Harvey Dent (Aaron Eckhart) ผมรู้สึกว่า Aaronแสดงออกมาได้ดีมากถึงมากที่สุดครับ ดีจนกระทั่งออร่าของเขาทำให้ผมหลงคิดว่าเขาเป็นพระเอกแล้ว Christian Baleเป็นพระรองไปซะงั้น
Alfred (Michael Caine) มีบทคมๆที่พูดกับBruce Wayneที่เปรียบเปรยความไร้เหตุผลตรรกะของคนบางคนที่ไม่อาจจะเข้าใจได้ครับ ยอมรับว่าบทพูดของเฮียแกถ้าไม่ตั้งใจฟังละก็ งง ใช่ย่อยอยู่เหมือนกันครับ ยังไงผมก็ยังหลงรักเสียงสำเนียงของMichael Caine อยู่ดีครับ
Jim Gordon(Gary Oldman) ในภาคนี้Gordonได้เลื่อนขั้นมาเป็นหัวหน้าในกรมตำรวจอย่างเต็มตัวครับ อีกทั้งบทยังเด่นและน่าสนใจมากขึ้นกว่าภาคที่แล้วด้วยครับ ซึ่งแน่นอนว่าGary Oldmanสามารถถ่ายทอดบทนี้ออกมาได้เป็นอย่างดี
ต้องยกนิ้วโป้งให้นักแสดงทุกคนเลยครับเพราะทั้งนักแสดงหลักหรือสมบทสามารถทำหน้าที่ของตนเองออกมาได้ดีมากและเป็นหนังที่เก็บรายละเอียดเรื่องของบทพูดเนี๊ยบและเฉียบมากเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดวิสัยของหนังSuperhero ส่วนมากที่จะขายความอลังกาลมากกว่าบทพูดครับ ต้องชื่นชมChristopher Nolanจริงครับที่สามารถยกระดับหนังHero ให้สามารถก้าวเข้าสู่Oscarได้ เพราะหนังเรื่องนี้ชนะOscarไปถึง2รางวัลจากรางวัลนักแสดงสมทบชายของHeath Ledger และรางวัล Best Sound Editing ซึ่งก็คือการตัดต่อเสียงยอดเยี่ยมครับ อีกทั้งยังเข้าชิงอีกถึง 6 รางวัลครับ โอ้แม่เจ้านี่มันเหลือเชื่อจริงๆ
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ให้ความบังเทิงบวกกับสาระนะครับ ซึ่งข้อเสียก็คือสำหรับเด็กอาจจะเข้าใจเนื้อหาและเข้าถึงบทพูดของตัวละครต่างๆยากหน่อยเพราะมีการเปรียบเปรยและบทสนทนาที่เข้าใจยากเยอะแยะเต็มไปหมดซึ่งถ้าเก็บไม่หมดอาจจะขาดอรรถรสในการชมได้ครับ สำหรับผมหนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่คู่ควรแก่การเสียเวลาดูมากครับเพราะมีทั้งเนื้อเรื่องที่เข้มข้นการต่อสู้ที่มีชั้นเชิงอีกทั้งคุณจะได้เห็นการแสดงที่ทรงพลังของนักแสดงทุกคนในเรื่องครับ ในช่วงท้ายของเรื่องคุณจะได้รู้ว่าสิ่งที่ Jokerทำทั้งหมดนั้นเพื่อต้องการพิสูจน์อะไร ซึ่งในแง่ของภาพยนต์แล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังHeroที่หลุดกรอบของหนังHeroปกติไปไกลมาครับเพราะมันลึกกว่าและการต่อสู้ที่ไม่ได้ใช้แค่พละกำลังเข้าว่าแต่เป็นการต่อสู้ด้วยอุดมการณ์และจิตวิทยาด้วยครับ
บทภาพยนต์: 9.5/10
ความสนุก: 8/10
การตัดต่อภาพและเสียง:9/10
[SR] รีวิว "The Dark Knight" (รีวิวหนัง100เรื่อง/100วัน)
หลังจากที่ผมได้มีโอกาสพูดถึง Batman Begins ไปแล้ว เลยถือโอกาสต่อยอดพูดถึงที่สุดแห่งไตรภาคBatmanของChristopher Nolan ไปด้วยซะเลยครับ หนังเรื่องนี้ผมดูในโรงหนังไปถึงสองรอบนะครับและในรอบที่สองที่ดูในโรงความสนุกกลับไม่ได้ลดลงเลย ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจเป็นเพราะบทพูดเฉีอดเฉือนของตัวละครแต่ละตัว, ฉากactionที่ไม่ได้เยอะมากจนเกินไปแต่สามารถสร้างimpactได้ดีซะเหลือเกินในทุกๆซีน บวกกับการแสดงที่สุดยอดของ Heath Ledger ในบทของJoker ที่ยียวนกวนประสาททั้งยังแสดงความจิตป่วยออกมาได้อย่างเต็มmaxครับ ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดายนะครับที่นักแสดงหนุ่มผู้นี้รีบจากโลกไปซะก่อนไม่งั้นเราอาจได้มีโอกาสเห็นเขากลับมารับบทนี้อีกก็เป็นไปได้
หลังจากในตอนท้ายเรื่องของBatman Begins เราได้เห็นไพ่ปริศนาซึ่งเป็นการบอกถึงการกลับมาของJokerสู่จอภาพยนต์อีกครั้งครับ ซึ่งต้องให้creditทีมcasting นักแสดงจริงๆครับที่ได้เลือกHeath Ledger มารับบทJokerตัวร้ายตลอดกาลของBatman ซึ่งก่อนหน้านี้ผมติดภาพเขาในบทอัศวินสุดหล่อในเรื่อง A Knight’s Tale จึงทำให้การมารับบทครั้งนี้ของเขาเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงจริงๆครับ ซึ่งแน่นอนว่าในหนังSuper Hero ส่วนมากในภาคแรกจะfocusไปที่ตัวHero เป็นหลักแต่ในภาคต่อนี้ตัวร้ายจะเป็นตัวสำคัญในการสร้างสีสันและความสนุกครับ เนื่องจากเราได้รู้ไส้รู้พุงของHeroไปหมดแล้ว ซึ่งในภาคต่อHero อาจจะมีการงัดอาวุธใหม่ๆหรือความสามารถใหม่ๆออกมาบ้างก็เป็นได้ แต่สำหรับBatmanนี้อย่างที่รู้ๆกันว่าความสามารถของเขานั้นมีข้อจำกัดอยู่เนื่องจากเขาเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้มีพลังเหนือธรรมชาติครับ ฉะนั้นจึงเพิ่งอาวุธและเทคโนโลยีเป็นหลักซึ่งผู้คนก็พอจะคาดเดากันได้อยู่แล้ว ฉะนั้นหนังเรื่องนี้จะทำให้คนดูรู้สึกทึ่งอึ้งเสียวได้อย่างไร หน้าที่นั้นจึงตกมาอยู่ที่ตัวร้ายหลักของเรื่องอย่างJokerครับ[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ภาคนี้เล่าเรื่องหลังจาก Batman Begins ได้ไม่นานครับหลังจากที่เหล่าอาชญากรในเมืองGothamเริ่มลดลงเพราะความกลัวที่มีต่อBatman เหล่าแก๊งค์ต่างๆได้รวมตัวกันเพื่อป้องกันตัวจากBatman และวายร้ายโนเนมผู้มีแผลปากฉีกและซ่อนใบหน้าภายใต้make upอย่างJokerก็ได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่ออาสาที่จะเป็นคนกำจัดBatman ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าJokerเป็นใครหรือมีอดีตยังไงครับในเรื่องแต่เขาค่อยๆวางแผนเพื่อสังหารคนสำคัญในเมืองGothamไปทีละคนทีละคน โดยที่ปล่าวประกาศว่าใครที่เป็นBatmanถ้ายอมเปิดเผยตัวตน เขาจะหยุดการสังการทันทีครับ เพราะการที่Batmanถอดหน้ากากนั้นก็หมายถึงการที่Batmanก้าวสู่จุดจบนั้นเองครับ เพราะถึงแม้สิ่งที่Batmanทำอยู่จะช่วยให้สังคมน่าอยู่ขึ้นและมีอาชญากรน้อยลงแต่ก็มีคนในสังคมไม่น้อยครับที่ไม่ยอมรับและสนับสนุนสิ่งที่Batmanทำอยู่เพราะไม่ได้เป็นการกระทำภายใต้กฏหมาย ในขณะเดียวกันก็มีอัศวินม้าขาวอย่างHarvey Dentโผล่ขึ้นมาในเมืองGothamครับในฐานะอัยการผู้ที่อาสาจะลากเหล่าอาชญากรทั้งหลายมาลงทัณฑ์อีกทั้งเขายังเป็นขวัญใจคนใหม่ของRachelอดีตคนรักของBruceอีกด้วย ซึ่งBruceก็ยอมรับและเคารพการตัดสินใจของเธอครับ แต่เนื่องจากHarveyกำลังกลายเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรมในเมืองนี้ Jokerจึงหมายหัวและนั้นก็ทำให้เรื่องราวมาถึงจุดหักเหและการห่ำหั่นชิงไหวชิงพริบระหว่างBatmanผู้ที่เชื่อมั่นในความยุติธรรมและต้องการที่จะกำจัดเหล่าอาชญากรเพื่อGotham กับJoker ผู้ที่ต้องการเห็นความพินาจและความวุ่นวายของสังคมอีกทั้งยังมีความเชื่อที่ว่าแม้คนที่ดีที่สุดถ้าถึงจุดๆหนึ่งก็สามารถจะต่ำช้าเลวทรามได้ไม่แพ้กัน
รีวิวตัวละคร
Bruce Wayne / Batman (Christian Bale) ในภาคนี้เล่นได้เป็นธรรมชาติมากครับทำให้เราเข้าใจไปแล้วว่าเขาเป็นBruceและBatmanจริงๆซึ่งเขาทำให้ฉากที่ต้องเผชิญหน้ากับJokerแต่ละซีนกลายเป็นที่น่าจดจำครับ
Joker (Heath Ledger) เป็นการแสดงของเป็นอะไรที่สร้างความแตกต่างและยกระดับให้หนังเรื่องนี้เป็นอย่างมากเลยทีเดียวครับ สมแล้วครับที่เป็นบทที่ทำให้เขาได้รางวัลOscar สาขานักแสดงสมทบชายในปี 2009 เท่าที่ทราบมาเขามีส่วนให้การสร้างCharacter Jokerตัวนี้ขึ้นมาด้วยตัวเองด้วยครับ เช่นอาการเลียปากซึ่งจะเห็นได้ตลอดทั้งเรื่องซึ่งเป็นอาการของคนที่มีอาการปากฉีกครับ และหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเพิ่มเติมเข้าไปในการแสดงเพื่อให้Jokerดูโรคจิตและเข้าถึงได้ยากมากขึ้นครับสำหรับคนปกติอย่างเราๆ
Rachel Dawes (Maggie Gyllenhaal) เข้ามารับบทขวัญใจBruce Wayne แทนที่Katie Holmesครับ ซึ่งผมว่าเธอแสดงได้ดีกว่า Katie นะครับถึงแม้จะดูไม่สวยใสเท่าก็ตาม
Harvey Dent (Aaron Eckhart) ผมรู้สึกว่า Aaronแสดงออกมาได้ดีมากถึงมากที่สุดครับ ดีจนกระทั่งออร่าของเขาทำให้ผมหลงคิดว่าเขาเป็นพระเอกแล้ว Christian Baleเป็นพระรองไปซะงั้น
Alfred (Michael Caine) มีบทคมๆที่พูดกับBruce Wayneที่เปรียบเปรยความไร้เหตุผลตรรกะของคนบางคนที่ไม่อาจจะเข้าใจได้ครับ ยอมรับว่าบทพูดของเฮียแกถ้าไม่ตั้งใจฟังละก็ งง ใช่ย่อยอยู่เหมือนกันครับ ยังไงผมก็ยังหลงรักเสียงสำเนียงของMichael Caine อยู่ดีครับ
Jim Gordon(Gary Oldman) ในภาคนี้Gordonได้เลื่อนขั้นมาเป็นหัวหน้าในกรมตำรวจอย่างเต็มตัวครับ อีกทั้งบทยังเด่นและน่าสนใจมากขึ้นกว่าภาคที่แล้วด้วยครับ ซึ่งแน่นอนว่าGary Oldmanสามารถถ่ายทอดบทนี้ออกมาได้เป็นอย่างดี
ต้องยกนิ้วโป้งให้นักแสดงทุกคนเลยครับเพราะทั้งนักแสดงหลักหรือสมบทสามารถทำหน้าที่ของตนเองออกมาได้ดีมากและเป็นหนังที่เก็บรายละเอียดเรื่องของบทพูดเนี๊ยบและเฉียบมากเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดวิสัยของหนังSuperhero ส่วนมากที่จะขายความอลังกาลมากกว่าบทพูดครับ ต้องชื่นชมChristopher Nolanจริงครับที่สามารถยกระดับหนังHero ให้สามารถก้าวเข้าสู่Oscarได้ เพราะหนังเรื่องนี้ชนะOscarไปถึง2รางวัลจากรางวัลนักแสดงสมทบชายของHeath Ledger และรางวัล Best Sound Editing ซึ่งก็คือการตัดต่อเสียงยอดเยี่ยมครับ อีกทั้งยังเข้าชิงอีกถึง 6 รางวัลครับ โอ้แม่เจ้านี่มันเหลือเชื่อจริงๆ
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ให้ความบังเทิงบวกกับสาระนะครับ ซึ่งข้อเสียก็คือสำหรับเด็กอาจจะเข้าใจเนื้อหาและเข้าถึงบทพูดของตัวละครต่างๆยากหน่อยเพราะมีการเปรียบเปรยและบทสนทนาที่เข้าใจยากเยอะแยะเต็มไปหมดซึ่งถ้าเก็บไม่หมดอาจจะขาดอรรถรสในการชมได้ครับ สำหรับผมหนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่คู่ควรแก่การเสียเวลาดูมากครับเพราะมีทั้งเนื้อเรื่องที่เข้มข้นการต่อสู้ที่มีชั้นเชิงอีกทั้งคุณจะได้เห็นการแสดงที่ทรงพลังของนักแสดงทุกคนในเรื่องครับ ในช่วงท้ายของเรื่องคุณจะได้รู้ว่าสิ่งที่ Jokerทำทั้งหมดนั้นเพื่อต้องการพิสูจน์อะไร ซึ่งในแง่ของภาพยนต์แล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังHeroที่หลุดกรอบของหนังHeroปกติไปไกลมาครับเพราะมันลึกกว่าและการต่อสู้ที่ไม่ได้ใช้แค่พละกำลังเข้าว่าแต่เป็นการต่อสู้ด้วยอุดมการณ์และจิตวิทยาด้วยครับ
บทภาพยนต์: 9.5/10
ความสนุก: 8/10
การตัดต่อภาพและเสียง:9/10
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้