40 ปี อาจจะดูยาวนานสำหรับคนที่กำลังมองไปข้างหน้า แต่เมื่อต้องมองย้อนกลับไป มันเป็นเวลาที่สั้นมากราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้..
ก็เมื่อวานนี้เองไม่ใช่หรือ ที่ฉันยังเป็นเด็กน้อย ร้องไห้งอแงเพราะไม่มีเค้กวันเกิดให้เป่า เนื่องจากความยากจน
เมื่อวาน.. ที่ฉันได้รับของขวัญวันเกิดห่อกระดาษมาอย่างสวยงามจากคนที่รักฉัน
เมื่อวาน.. ที่ฉันได้รับของขวัญวันเกิดจากผู้คนตามมารยาท
เมื่อวาน.. ที่ฉันไม่ได้รับอะไรจากใครเลย
และเมื่อวาน ที่ฉันเรียนรู้ที่จะเป็น 'ผู้ให้' ในวันเกิดของตัวเอง ..
...............................................
เมื่อวานของฉันผ่านไปสี่สิบปีแล้ว ฉันผ่านความสุขความทุกข์ ความสำเร็จล้มเหลว การพบและพลัดพรากมามากมาย จนกระทั่งได้รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่สำคัญต่อชีวิตของฉัน เท่ากับ "ความคิด"
ในยามร้าย หากคิดร้าย อะไรๆก็มีแต่จะร้ายลง
ในยามร้าย หากคิดดี อะไรๆก็ย่อมดีขึ้น
เหมือนดังคำสอนของท่านคานธีที่ว่า..
"จงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นคำพูด
จงระวังคำพูด เพราะคำพูดจะกลายเป็นการกระทำ
จงระวังการกระทำ เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัย
จงระวังนิสัย เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิก
จงระวังบุคลิก เพราะบุคลิกจะกลายเป็นชะตากรรม"
ฉันเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว เสียเวลาไปมากมายเหลือเกิน กับการคิดเล็กคิดน้อย คิดโกรธเกลียดผู้อื่น แต่ลืมดูตัวเอง คิดเสียใจในเรื่องที่ผ่านไปแล้ว คิดกังวลในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
ตอนนั้นคิดว่า "ก็แค่ความคิด" แต่กว่าจะรู้ว่า มันมีอิทธิพลกับชีวิตมากแค่ไหนก็เสียน้ำตาไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
แม้วันนี้ฉันเองยังไม่สามารถคิดบวกได้กับทุกสถานการณ์ พอจะทำได้ก็แค่..
*********************************
รู้จักคิดยอมรับความจริง และรู้วิธีพักความคิดตัวเอง
*********************************
มันก็ทำให้ชีวิตมีความทุกข์น้อยลงกว่าเดิมมาก..
ฉันในวัยนี้ เป็นคุณป้าที่ไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย ถ้าเทียบกับเพื่อนๆในวัยและในวุฒิการศึกษาเดียวกัน ฉันไปไม่ถึงเป้าหมายที่เคยฝัน ฉันเคยรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวด้วยซ้ำ แต่ฉัน "ต้องยอมรับความจริง" เพื่อที่จะอยู่ต่อไปให้ได้ โดยเลือกที่จะมองด้านดีในสิ่งที่เหลืออยู่ และใช้ชีวิตแต่ละวันให้คุ้มค่า ไม่เอากฏเกณฑ์ใดๆมาผูกมัดตัวเอง ไม่มีคำว่าสำเร็จ หรือล้มเหลว มีเพียงคำว่า "รับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด" เท่านั้น
ฉันในวันนี้ เป็นคุณป้าผู้โดดเดี่ยว ที่ต้องดูแลคนชราและหมาแก่ขาพิการเพียงคนเดียว ฉันไม่มีอิสระในการเลือกสถานที่ทำงาน ไม่มีเงินและเวลามากสำหรับไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ฉันไม่มีลูก เป็นความหวังและกำลังใจเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ฉันล้ากับงานบ้าน ฉันปวดเมื่อยกับการอุ้มหมาหนักยี่สิบกิโลทุกวัน ฉันเหนื่อยกับทัศนคติลบๆของคนในครอบครัว แต่ฉันก็หนีพวกเขาไปไม่ได้ ..ทำได้เพียง "พักความคิด" เท่านั้น
ฉันพักด้วยการอยู่กับลมหายใจของตัวเอง รู้ตัวว่าตอนนี้ลมหายใจกำลังผ่านเข้าหรือผ่านออกจากรูจมูก ฉันคอยสังเกตุความรู้สึกเศร้า เหงา โกรธ ของตัวเอง ว่ามันมีลักษณะอย่างไรในแต่ละครั้ง ฉันคอยรู้สึกตัวว่ากำลังขยับมือเท้าขาไปในทิศทางใด
..ฉันจึงแนบแน่นอยู่กับปัจจุบันขณะได้ ไม่มีอดีตหรืออนาคตใดมาทำร้ายฉันได้ในยามนี้..
ดังนั้นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ฉันได้รับในวัยสี่สิบ จึงเป็นสิ่งอื่นไปไม่ได้นอกจาก " กัลยาณมิตร "
พวกเขา คือคนแปลกหน้าที่คอยอัพโหลดข้อธรรมดีๆลงยูทูป ส่งหนังสือ และซีดีธรรมะที่อ่านเข้าใจง่ายมาให้ฉันโดยไม่คิดแม้แต่ค่าขนส่ง
ฉัน คือคนที่เคยไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก่อน แต่เพราะความสว่างไสวของเทียนแห่งพระสัทธรรมที่กัลยาณมิตรช่วยกันจุดและส่งต่อมาให้ ฉันจึงรู้จักที่จะโยนิโสมนสิการ และฝึกฝนสติสัมปชัญญะของตัวเองให้เข้มแข็งขึ้น
......................................
ขอบคุณ ของขวัญล้ำค่า แห่งการเป็นชาวพุทธ..
ขอบคุณเหลือเกิน ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา..
ของขวัญวันเกิด.. ในวันที่อายุ 40
ก็เมื่อวานนี้เองไม่ใช่หรือ ที่ฉันยังเป็นเด็กน้อย ร้องไห้งอแงเพราะไม่มีเค้กวันเกิดให้เป่า เนื่องจากความยากจน
เมื่อวาน.. ที่ฉันได้รับของขวัญวันเกิดห่อกระดาษมาอย่างสวยงามจากคนที่รักฉัน
เมื่อวาน.. ที่ฉันได้รับของขวัญวันเกิดจากผู้คนตามมารยาท
เมื่อวาน.. ที่ฉันไม่ได้รับอะไรจากใครเลย
และเมื่อวาน ที่ฉันเรียนรู้ที่จะเป็น 'ผู้ให้' ในวันเกิดของตัวเอง ..
...............................................
เมื่อวานของฉันผ่านไปสี่สิบปีแล้ว ฉันผ่านความสุขความทุกข์ ความสำเร็จล้มเหลว การพบและพลัดพรากมามากมาย จนกระทั่งได้รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่สำคัญต่อชีวิตของฉัน เท่ากับ "ความคิด"
ในยามร้าย หากคิดร้าย อะไรๆก็มีแต่จะร้ายลง
ในยามร้าย หากคิดดี อะไรๆก็ย่อมดีขึ้น
เหมือนดังคำสอนของท่านคานธีที่ว่า..
"จงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นคำพูด
จงระวังคำพูด เพราะคำพูดจะกลายเป็นการกระทำ
จงระวังการกระทำ เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัย
จงระวังนิสัย เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิก
จงระวังบุคลิก เพราะบุคลิกจะกลายเป็นชะตากรรม"
ฉันเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว เสียเวลาไปมากมายเหลือเกิน กับการคิดเล็กคิดน้อย คิดโกรธเกลียดผู้อื่น แต่ลืมดูตัวเอง คิดเสียใจในเรื่องที่ผ่านไปแล้ว คิดกังวลในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
ตอนนั้นคิดว่า "ก็แค่ความคิด" แต่กว่าจะรู้ว่า มันมีอิทธิพลกับชีวิตมากแค่ไหนก็เสียน้ำตาไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
แม้วันนี้ฉันเองยังไม่สามารถคิดบวกได้กับทุกสถานการณ์ พอจะทำได้ก็แค่..
*********************************
รู้จักคิดยอมรับความจริง และรู้วิธีพักความคิดตัวเอง
*********************************
มันก็ทำให้ชีวิตมีความทุกข์น้อยลงกว่าเดิมมาก..
ฉันในวัยนี้ เป็นคุณป้าที่ไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย ถ้าเทียบกับเพื่อนๆในวัยและในวุฒิการศึกษาเดียวกัน ฉันไปไม่ถึงเป้าหมายที่เคยฝัน ฉันเคยรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวด้วยซ้ำ แต่ฉัน "ต้องยอมรับความจริง" เพื่อที่จะอยู่ต่อไปให้ได้ โดยเลือกที่จะมองด้านดีในสิ่งที่เหลืออยู่ และใช้ชีวิตแต่ละวันให้คุ้มค่า ไม่เอากฏเกณฑ์ใดๆมาผูกมัดตัวเอง ไม่มีคำว่าสำเร็จ หรือล้มเหลว มีเพียงคำว่า "รับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด" เท่านั้น
ฉันในวันนี้ เป็นคุณป้าผู้โดดเดี่ยว ที่ต้องดูแลคนชราและหมาแก่ขาพิการเพียงคนเดียว ฉันไม่มีอิสระในการเลือกสถานที่ทำงาน ไม่มีเงินและเวลามากสำหรับไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ฉันไม่มีลูก เป็นความหวังและกำลังใจเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ฉันล้ากับงานบ้าน ฉันปวดเมื่อยกับการอุ้มหมาหนักยี่สิบกิโลทุกวัน ฉันเหนื่อยกับทัศนคติลบๆของคนในครอบครัว แต่ฉันก็หนีพวกเขาไปไม่ได้ ..ทำได้เพียง "พักความคิด" เท่านั้น
ฉันพักด้วยการอยู่กับลมหายใจของตัวเอง รู้ตัวว่าตอนนี้ลมหายใจกำลังผ่านเข้าหรือผ่านออกจากรูจมูก ฉันคอยสังเกตุความรู้สึกเศร้า เหงา โกรธ ของตัวเอง ว่ามันมีลักษณะอย่างไรในแต่ละครั้ง ฉันคอยรู้สึกตัวว่ากำลังขยับมือเท้าขาไปในทิศทางใด
..ฉันจึงแนบแน่นอยู่กับปัจจุบันขณะได้ ไม่มีอดีตหรืออนาคตใดมาทำร้ายฉันได้ในยามนี้..
ดังนั้นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ฉันได้รับในวัยสี่สิบ จึงเป็นสิ่งอื่นไปไม่ได้นอกจาก " กัลยาณมิตร "
พวกเขา คือคนแปลกหน้าที่คอยอัพโหลดข้อธรรมดีๆลงยูทูป ส่งหนังสือ และซีดีธรรมะที่อ่านเข้าใจง่ายมาให้ฉันโดยไม่คิดแม้แต่ค่าขนส่ง
ฉัน คือคนที่เคยไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก่อน แต่เพราะความสว่างไสวของเทียนแห่งพระสัทธรรมที่กัลยาณมิตรช่วยกันจุดและส่งต่อมาให้ ฉันจึงรู้จักที่จะโยนิโสมนสิการ และฝึกฝนสติสัมปชัญญะของตัวเองให้เข้มแข็งขึ้น
......................................
ขอบคุณ ของขวัญล้ำค่า แห่งการเป็นชาวพุทธ..
ขอบคุณเหลือเกิน ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา..