.
บทที่ ๑๓ ชะตากรรมเพียงลำพัง
อาทิตย์คล้อยต่ำ หลบอยู่หลังม่านเมฆ
อากาศยามนี้ของเดือนอ้าย กลับเย็นสบายด้วยสายลมพัด
แต่ผู้คนบนอัฒจันทร์ข้างสนามกลางแปลงต่างร้อนใจใคร่จะได้ชมการประลองรอบต่อไป ตัวอัฒจันทร์ปลูกสร้างยาวตามแนวทิศตะวันออกและตะวันตก หันหน้าไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นลานเปิดโล่ง เหมาะกับการขี่ม้าและไสช้างเข้าต่อสู้กัน
องค์กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จขึ้นปะรำที่ประทับซึ่งจัดเตรียมไว้บริเวณตรงกลางของอัฒจันทร์เป็นที่เรียบร้อย
เบื้องหน้าปะรำที่ประทับปรากฏร่างขุนพลธรณินก้าวออกมาพร้อมกับเจ้าทิพและสิงขร ทั้งหมดคุกเข่าลงกราบถวายบังคม จากนั้นท่านขุนพลได้กราบทูลดังขึ้น
“ขอเดชะ ฝ่าพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชานุญาตดำเนินการประลองในฐานที่สอง คือการแทงทวนบนหลังอาชาระหว่างสิงขรราชองครักษ์ชั้นเอกประจำวังหลวงและเจ้าทิพ พระพุทธเจ้าข้า...”
ทันทีที่ขุนพลธรณินลุกขึ้นจะประกาศลั่นกลองเริ่มการประลอง ก็บังเกิดเรื่องไม่คาดหมาย... เสียงอาลักษณ์หลวงซึ่งถวายงานอยู่หน้าปะรำที่ประทับพลันประกาศขึ้น
“หยุดก่อน... มีพระราชโองการ ถึงเจ้าทิพากร...”
ขุนพลธรณินรีบคุกเข่าลงกับพื้นอีกครา พร้อมกับเจ้าทิพที่ถวายบังคมเพื่อรับสนองพระราชโองการ
“มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ถึงเจ้าทิพากรพระราชบุตรที่เกิดแต่พระสนมจันทรา...
แต่เดิมนั้นไม่ประสงค์ให้เรียนรู้วิชาการรบและการต่อสู้ บัดนี้เจ้าทิพเติบใหญ่พร้อมกับมีวิชาดังกล่าวติดตัว แม้จะกำหนดให้ใช้เฉพาะการติดตามค้นหาองค์ตุมพะทะนานทองกลับสู่เมืองปตานี แต่การนี้เป็นหน้าที่เฉพาะของราชาสิบสองนักษัตร...
ดังนั้นหากเจ้าทิพากรไม่สามารถชิงชัยจนได้ตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรในการประลองคัดเลือกของเดือนสี่ ปีฉลู พุทธศักราช ๑๙๑๖ หรือไม่สามารถผ่านการคัดเลือกเป็นตัวแทนของเมืองปตานีเข้าชิงชัย...
ให้สักไหล่แล้วเนรเทศเจ้าทิพากรออกจากเมืองปตานีในทันที ห้ามกลับเข้าเมืองอีกตลอดไป เพื่อมิให้เป็นภัยแก่บ้านแก่เมืองและอาณาประชาราษฎร์
พระราชลัญจกรประทับ... พระเจ้าฤทธิเทวา เจสุตตรา พระราชาแห่งปตานี”
สิ้นเสียงอาลักษณ์หลวง เจ้าทิพรู้สึกหนาวสะท้านเข้าไปในทรวง... หากตนถูกขับพ้นจากปตานี แม้แต่สถูปพระมารดาก็กลับมาไหว้อีกไม่ได้แล้ว
“รับ.. ด้วยเกล้า พระเจ้า ค่ะ” เจ้าทิพถวายบังคมด้วยน้ำเสียงตีบตันในลำคอ แม้เป็นคำกราบทูลรับสนองสั้นๆ ยังยากแสนเข็ญจะเอ่ยออกมาให้จบคำได้
สมองของตนรู้สึกมึนงง ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพระบิดาจึงจงเกลียดจงชังตนได้ถึงประมาณนี้ แม้ถูกตัดเส้นเอ็นมือให้พิการใช้อาวุธไม่ได้ คงไม่เจ็บปวดทรมานเท่ากับโดนสักไหล่ประจาน เป็นคนโทษถูกเนรเทศขับไล่ ห้ามผู้ใดเข้ามายุ่งเกี่ยวช่วยเหลือ...
น้ำตาอุ่นๆ แทบจะสำลักออกมาจากดวงตา พลันรู้สึกถึงสิ่งของบางอย่างถูกประคองเข้ามาอยู่ในอุ้งมือตน... เป็นพานเชิญพระราชโองการนั่นเอง
ช่วงเวลานั้นตนไม่ทราบว่าได้ใช้กิริยาเยี่ยงไรรับพานทูลเชิญ ก้มหน้าลงมองม้วนผ้าขลิบทองที่วางบนพาน นึกถึงคำประกาศที่เขียนจารึกอยู่ภายในให้รู้สึกเจ็บแปลบใจ ปากสั่นระริก น้ำตาเป็นสายไหลหยดลงบนม้วนผ้าขลิบทองนั้นเอง... ตนได้แต่ก้มหน้าซบกับพานอัญเชิญมิอาจให้ใครเห็นน้ำตาที่หลั่งออกมาได้
เสียงกลองย่ำดังสะท้าน กลบเสียงสะอื้นของตน...
เจ้าทิพเดินก้มหน้าไปยังม้าของตนซึ่งมีทหารนายหนึ่งจูงอยู่ ซบหน้าลงกับขนแผงคอม้า พานอัญเชิญถูกนำออกไป แขนที่หุ้มห่อด้วยผ้าพันแผลถูกวาดปาดมาเช็ดรอยคราบน้ำตา
เสียงฝูงชนมากมายเริ่มโห่ร้อง... พริบตานั้นเจ้าทิพรู้สึกตนช่างโดดเดี่ยวลำพังจริงๆ
--------------------------------------------------
ม้าสองตัวยืนหันหน้าเข้าหากัน เจ้าทิพถือทวนด้วยมือขวาถือบังเหียนม้าด้วยมือซ้าย ยืนม้าอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนสิงขรยืนม้าอยู่ทางทิศตะวันตก ห่างกันประมาณ ๑๐ วา
ม้าของสิงขรเป็นม้าศึกได้คัดเลือกและฝึกหัดมาอย่างดี ผิวสีดำมะเมื่อม ผิดกับม้าของเจ้าทิพที่เป็นเพียงม้าแข็งแรง เหมาะกับการควบขับเดินทาง ตามตัวเป็นสีด่างเทา เจ้าทิพออกจะเสียเปรียบเรื่องม้าอยู่มากนัก เพราะต้องปิดบังเรื่องการฝึกอาวุธ การจะมีม้าประจำกายที่มีลักษณะของม้าศึกย่อมเป็นที่สงสัย แม้มีม้าแล้วการจะนำออกไปฝึกหัดควบบังคับให้เข้ากับจังหวะแทงทวนก็จำกัดนัก
ในสายตาของเจ้าทิพมองไปเห็นสิงขรบนหลังม้าดำที่ย่ำเท้ารุนแรง สลัดยกตัวผงกขึ้นลง เสียงออกจมูกฟึดฟัด ปลายหางก็กวัดแกว่งเป็นวงกว้างคล้ายหางปลาที่พร้อมจะโบกสะบัดในสายน้ำเพื่อพุ่งไปข้างหน้า... พลันทอดถอนใจคิด การต่อสู้กันบนพื้นราบเรามีวิชาราชสีห์ก้าวแปดทิศ ทำให้ทุกก้าวย่างได้เปรียบคู่ต่อสู้แม้จะมีกี่สิบกี่ร้อยคนก็ตาม แต่ครั้งนี้สี่เท้าของอาชาเราคงจะตามหลังจังหวะม้าศึกของสิงขรเป็นแน่
ความรู้สึกหดหู่ถาโถมเข้าใส่ในใจเจ้าทิพ...
เห็นม้าศึกสีดำกระโจนพาร่างของสิงขรทะยานขับตรงเข้ามา เจ้าทิพจึงกระตุ้นม้าพุ่งโจนออกไปเช่นกัน
ม้าสองตัวควบตะบึงเข้าหากันด้วยความเร็ว ต่างเล็งทางวิ่งสู่เบื้องขวาของม้าฝั่งตรงข้าม พู่ประดับทวนลู่ตามแรงปะทะลมอยู่ด้านหลังคมทวนที่พุ่งปลายเข้าหาร่างเบื้องหน้าของอีกฝ่าย
ก่อนที่ม้าจะวิ่งถึงกัน ปลายทวนสองเล่มด้านหน้าก็พุ่งฉวัดปัดป่ายปะทะ ต่างแย่งจังหวะเบี่ยงสะบัดปลายทวนของอีกฝ่ายออกไปจากแนวลำตัวของตน ในขณะที่พยายามตรึงวิถีทวนของตนสู่เป้าหมาย กระทั่งคอม้าล่วงเข้ามาขนานกันก็ยังไม่มีฝ่ายใดชิงจังหวะได้ ม้านั้นวิ่งเฉียดผ่านกัน...
จังหวะนั้นสิงขรงัดด้ามทวนสะบัดเข้าใส่เจ้าทิพที่ขับม้าสวนไป ชายหนุ่มในชุดทหารไร้ศักดิ์จึงยกด้ามทวนขึ้นรับแล้วพุ่งม้าจากไป ก่อนเร่งกระตุกม้าหันกลับแต่ก็ยังช้ากว่าม้าสีดำของสิงขร ที่ม้วนตัววกกลับมารออยู่แล้ว
ม้าศึกปราดเปรียวนัก พุ่งเข้าใส่ม้าสีด่างที่เพิ่งวกกลับตัว ปลายทวนจากมือเจ้าของม้าศึกก็พุ่งแทงมาที่หน้าอก เจ้าทิพแทงทวนสวนแล้วตวัดปลายปัดทวนของอีกฝ่าย เห็นทวนที่ถูกปัดรูดกลับอย่างรวดเร็วก่อนพุ่งแทงเข้ามาอีกคำรบ ชายหนุ่มจึงสะบัดทวนตีไปด้วยแรงก่อนกระตุกม้าฉากมาขณะที่ม้าหันข้างด้านซ้ายให้กัน แล้วยันปลายทวนป้องกันไว้
ทวนของสิงขรอาศัยแรงที่ถูกตีสะบัดพาดหมุนวนรอบลำตัวอย่างรวดเร็ว คล้ายใบพัดยักษ์หมุนอยู่รอบลำตัว ก่อนพุ่งปลายทวนออกจากด้านหลังเข้าหาซอกแขนซ้ายของอีกฝ่ายที่เป็นจุดตาย
“กงจักรนารายณ์” เจ้าทิพคำนึงขึ้นในใจ ด้วยรู้ว่าเป็นท่าจู่โจมที่สองในเพลงนารายณ์อวตารของพระมหาเถระที่อาศัยจังหวะม้าฉากซ้ายออกจากกันแล้วจู่โจมหมุนทวนอ้อมกาย โดยใช้มือขวาส่ง มือซ้ายรับ ก่อนพุ่งแทงทวนจากทิศทางด้านหลัง ขณะที่ฝ่ายตั้งรับยังถือทวนมือขวาอยู่อีกฝั่งม้า ทำให้เสียเปรียบช่วงทวน
ตนนั้นแม้รู้วิธีคลี่คลายแต่จนใจที่ปลายฝีเท้าม้าฉากออกมาไม่ถนัด อีกทั้งหากแก้ไขแต่ไม่อาจตัดตอนการจู่โจมระลอกใหม่ได้ ท่าจู่โจมที่สามที่ตามมาจะยิ่งร้ายกาจและรุนแรงขึ้นไปอีกเพราะสามารถพลิกแพลงเข้าสู่ท่าจู่โจมที่สามของทั้ง ๙ เพลงทวน ซึ่งสิงขรผู้ชำนาญคงเลือกเพลงต่อเนื่องที่ข่มจุดอ่อนของตนมากที่สุด
ชั่ววูบแห่งความคิด เจ้าทิพจึงตั้งสติทิ้งลมหายใจออกไป เข้าสู่วิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติ
ขณะที่ปลายทวนใกล้แทงสัมผัส เจ้าทิพก็เอนกายหงายราบกับหลังม้า ทวนที่แทงมาจึงคร่อมเหนือร่างซึ่งถูกม้าสีด่างเทาพาลอดผ่านไป
ครั้นพ้นแล้วจึงลุกขึ้นมาใช้เท้ากระตุ้นสีข้างม้าให้วกซ้ายย้อนกลับเข้าหาสิงขรทันที เป็นจังหวะที่ม้าศึกสีดำยังไม่ทันหันกลับมาตั้งยัน เจ้าทิพรีบพุ่งม้าจ้วงทวนแทงออกไป
สิงขรหันกายมองเห็นทวนแทงมา จึงสะบัดม้าให้ทะยานหนีออกไปข้างหน้า ประหนึ่งรู้ว่าการวกม้ากลับมามีแต่จะเสียเปรียบ แล้วยกทวนขึ้นเหนือศีรษะหมุนกวาดลงมารอบลำตัวก็พอดีสะบัดปลายทวนของเจ้าทิพออก
ม้าดำของสิงขรอยู่หน้าตั้งใจโจนทะยานหนีออกให้ไกล จึงทิ้งระยะห่างจากม้าสีด่างเทาที่พุ่งเข้าหาในจังหวะแรก... ครั้นเจ้าทิพเห็นอีกฝ่ายควบหนีดังนั้น ได้แต่เร่งม้าติดตามไป
ม้าทั้งสองควบขับตามกัน... สิ่งที่สิงขรคาดไม่ถึงคือฝีเท้าม้าของเจ้าทิพ แม้ไม่ใช่ม้าศึกที่คล่องแคล่วในจังหวะลีลาประสานเพลงทวน แต่ฝีเท้าควบตะบึงนั้นรวดเร็วนักเพราะเป็นม้าเหมาะสำหรับการควบขับเดินทาง เมื่อมาห้อตามหลังม้าศึกของสิงขรจึงประกบชิดเข้าใกล้กว่าเดิมตลอดเวลา
ครั้นเร่งจนใกล้ถึงสะโพกม้าตัวหน้า เจ้าทิพเลือกขับม้าเข้าทางด้านซ้ายของสิงขร ด้วยทวนของคู่ต่อสู้อยู่ด้านขวา พอไล่มาอยู่เยื้องเบื้องหลัง ชายหนุ่มจึงกระตุ้นม้าสีด่างเทาให้ทะลึ่งกระโจนเบี่ยงเข้าใส่พร้อมพุ่งทวนหมายซอกแขนบุตรชายขุนพลใหญ่
ทั้งจังหวะม้าที่โจนเข้าใส่ ปลายคมทวนที่พุ่งออกไป กลับคล้ายอสรพิษพุ่งฉกกัดเหยื่อที่เผลอเปิดอวัยวะรอไว้... ทั้งเจ้าทิพยังใช้วิชาปิดลมปราณเปลี่ยนมิติ ทวนนี้คงแทงสิงขรตกม้าแน่แล้ว
ทวนของเจ้าทิพเร็วราวฟ้าแลบ แต่ทวนของสิงขรกลับเร็วไม่แพ้กัน...
ขณะที่ม้าสีด่างเทาตีเยื้องขึ้นมาทางด้านซ้ายของตน สิงขรก็รีบยกทวนด้วยมือขวาขึ้นแกว่งไกวรออยู่เหนือศีรษะ ครั้นทั้งม้าทั้งปลายทวนพุ่งเข้ามา สิงขรพลันยกมือซ้ายอีกข้างเข้ายึดกุมด้ามทวนแล้วตีสะบัดลงมา งัดปลายทวนของเจ้าทิพออกไป
“วิชาปราณเปลี่ยนมิติ”
เจ้าทิพคำนึงขึ้นเมื่อเห็นความเร็วปานสายฟ้าฟาดจากทวนของสิงขร
ชายหนุ่มแทบไม่อยากเชื่อว่าสิงขรได้บรรลุความเร็วสู่ระดับเปลี่ยนมิติเเล้ว... ในเมื่อขุนพลสิงหลผู้เป็นทั้งบิดาและอาจารย์ประกาศด้วยตนเองว่าบุตรชายฝึกภาวะจิตได้เพียงระดับ ๘ ยังไม่อาจกำหนดเปลี่ยนมิติได้... แล้วไฉนสามารถใช้ความเร็วระดับนี้มาแก้ไขสถานการณ์ได้
ใจแม้ฉุกคิดแต่ปฏิกิริยาของเจ้าทิพต่อเนื่องด้วยท่าจู่โจมที่สองในกระบวนเพลงทวนอสรพิษของพระมหาเถระ เมื่อปลายทวนถูกด้ามทวนตีสะบัดออก จึงตวัดทวนวนไล่ไต่ด้ามทวนของสิงขรขึ้นไป คล้ายอสรพิษร้ายที่เลื้อยวนรอบด้ามทวนเข้าหาข้อมือซ้ายของสิงขร จนบัดนี้คมทวนใกล้จะตวัดบาดข้อมือ
“เร็วมาก..” เจ้าทิพถึงกับอุทานในใจเมื่อเห็นสิงขรปล่อยมือซ้ายออกจากด้ามทวนเหลือเพียงมือขวาที่กุมด้ามไว้ แล้วดีดกายออกจากหลังม้าไปหลบอีกฟากของม้าศึก มือซ้ายดึงรั้งบังเหียน มือขวากุมทวน เท้าขวาเหยียบรั้งบังโกลนม้า จนดึงม้าดำที่ห้ออยู่ชะลอลงทันที
...แม้กระทำในยามปกติยังยาก แต่นี่สิงขรกลับโยกย้ายร่างในยามหลบหลีกเพลงทวนที่ไล่ล่า พร้อมหยุดยั้งม้าในขณะควบตะบึง นับเป็นวิชาขี่ม้าศึกที่ยอดเยี่ยม
“ต้องเป็นวิชาปราณเปลี่ยนมิติแน่... บางทีอาจจะเร็วกว่าเราเสียอีก”
เจ้าทิพคำนึงด้วยความมั่นใจในสิ่งที่ตนกำลังเผชิญ... ขณะม้าสีด่างเทาวิ่งขนานเลยผ่านม้าศึกดำออกไป
เจ้าทิพฉากม้าออกซ้ายเพื่อตั้งจังหวะใหม่ เพลงทวนอสรพิษของพระมหาเถระจึงยุติอยู่เพียงท่าจู่โจมที่สองเท่านั้น ไม่สามารถแปรเปลี่ยนไปสู่ท่าจู่โจมที่สามได้
เมื่อครู่เจ้าทิพใช้เพลงทวนอสรพิษถึงท่าที่สอง หากแม้นพัวพันต่อไป ถึงสิงขรจะแก้ไขได้สำเร็จ ก็ยังต้องเผชิญกับท่าจู่โจมที่สามของเพลงอสรพิษหรืออาจเปลี่ยนข้ามสู่ท่าจู่โจมที่สามของกระบวนเพลงอื่นที่รุนแรงยิ่งกว่า... ครั้งนี้สิงขรใช้ความเร็วสยบกระบวนท่า จนสามารถฉากออกไปจากวังวนการต่อสู้ เหมือนครั้งเจ้าทิพกระทำเพื่อตัดตอนท่าจู่โจมกงจักรนารายณ์อันเป็นท่าจู่โจมที่สองในเพลงนารายณ์อวตาร...
การจู่โจมเมื่ออันตรธานหายไป ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่...
สิงขรพลิกคร่อมขึ้นนั่งตัวตรงบนหลังม้าอีกครั้ง ในขณะที่เจ้าทิพรั้งม้ารออยู่เบื้องหน้า จุดที่ทั้งสองยืนม้านั้นบัดนี้ห่างไกลจากหน้าปะรำที่ประทับมากพอสมควร
เจ้าทิพพลันระลึกได้ในทันที... ไม่มีใครรู้เรื่องที่สิงขรสำเร็จวิชาเปลี่ยนมิติ ครั้งนี้คงจงใจควบม้าออกมาให้ไกล เพื่อปกปิดไม่ให้ใครสังเกตออก...
“เจ้าทิพจงฟังไว้ วันนี้เจ้าจะถูกเนรเทศออกจากเมืองแล้ว... องค์เหนือหัวไม่ทรงประสงค์จะเห็นหน้าเจ้าอีกต่อไป” สิงขรตะโกนลั่นออกมาอย่างมั่นใจ แล้วชี้ทวนควบม้าเข้าหาเจ้าทิพ
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๑๓ ชะตากรรมเพียงลำพัง
บทที่ ๑๓ ชะตากรรมเพียงลำพัง
อาทิตย์คล้อยต่ำ หลบอยู่หลังม่านเมฆ
อากาศยามนี้ของเดือนอ้าย กลับเย็นสบายด้วยสายลมพัด
แต่ผู้คนบนอัฒจันทร์ข้างสนามกลางแปลงต่างร้อนใจใคร่จะได้ชมการประลองรอบต่อไป ตัวอัฒจันทร์ปลูกสร้างยาวตามแนวทิศตะวันออกและตะวันตก หันหน้าไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นลานเปิดโล่ง เหมาะกับการขี่ม้าและไสช้างเข้าต่อสู้กัน
องค์กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จขึ้นปะรำที่ประทับซึ่งจัดเตรียมไว้บริเวณตรงกลางของอัฒจันทร์เป็นที่เรียบร้อย
เบื้องหน้าปะรำที่ประทับปรากฏร่างขุนพลธรณินก้าวออกมาพร้อมกับเจ้าทิพและสิงขร ทั้งหมดคุกเข่าลงกราบถวายบังคม จากนั้นท่านขุนพลได้กราบทูลดังขึ้น
“ขอเดชะ ฝ่าพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชานุญาตดำเนินการประลองในฐานที่สอง คือการแทงทวนบนหลังอาชาระหว่างสิงขรราชองครักษ์ชั้นเอกประจำวังหลวงและเจ้าทิพ พระพุทธเจ้าข้า...”
ทันทีที่ขุนพลธรณินลุกขึ้นจะประกาศลั่นกลองเริ่มการประลอง ก็บังเกิดเรื่องไม่คาดหมาย... เสียงอาลักษณ์หลวงซึ่งถวายงานอยู่หน้าปะรำที่ประทับพลันประกาศขึ้น
“หยุดก่อน... มีพระราชโองการ ถึงเจ้าทิพากร...”
ขุนพลธรณินรีบคุกเข่าลงกับพื้นอีกครา พร้อมกับเจ้าทิพที่ถวายบังคมเพื่อรับสนองพระราชโองการ
“มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ถึงเจ้าทิพากรพระราชบุตรที่เกิดแต่พระสนมจันทรา...
แต่เดิมนั้นไม่ประสงค์ให้เรียนรู้วิชาการรบและการต่อสู้ บัดนี้เจ้าทิพเติบใหญ่พร้อมกับมีวิชาดังกล่าวติดตัว แม้จะกำหนดให้ใช้เฉพาะการติดตามค้นหาองค์ตุมพะทะนานทองกลับสู่เมืองปตานี แต่การนี้เป็นหน้าที่เฉพาะของราชาสิบสองนักษัตร...
ดังนั้นหากเจ้าทิพากรไม่สามารถชิงชัยจนได้ตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรในการประลองคัดเลือกของเดือนสี่ ปีฉลู พุทธศักราช ๑๙๑๖ หรือไม่สามารถผ่านการคัดเลือกเป็นตัวแทนของเมืองปตานีเข้าชิงชัย...
ให้สักไหล่แล้วเนรเทศเจ้าทิพากรออกจากเมืองปตานีในทันที ห้ามกลับเข้าเมืองอีกตลอดไป เพื่อมิให้เป็นภัยแก่บ้านแก่เมืองและอาณาประชาราษฎร์
พระราชลัญจกรประทับ... พระเจ้าฤทธิเทวา เจสุตตรา พระราชาแห่งปตานี”
สิ้นเสียงอาลักษณ์หลวง เจ้าทิพรู้สึกหนาวสะท้านเข้าไปในทรวง... หากตนถูกขับพ้นจากปตานี แม้แต่สถูปพระมารดาก็กลับมาไหว้อีกไม่ได้แล้ว
“รับ.. ด้วยเกล้า พระเจ้า ค่ะ” เจ้าทิพถวายบังคมด้วยน้ำเสียงตีบตันในลำคอ แม้เป็นคำกราบทูลรับสนองสั้นๆ ยังยากแสนเข็ญจะเอ่ยออกมาให้จบคำได้
สมองของตนรู้สึกมึนงง ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพระบิดาจึงจงเกลียดจงชังตนได้ถึงประมาณนี้ แม้ถูกตัดเส้นเอ็นมือให้พิการใช้อาวุธไม่ได้ คงไม่เจ็บปวดทรมานเท่ากับโดนสักไหล่ประจาน เป็นคนโทษถูกเนรเทศขับไล่ ห้ามผู้ใดเข้ามายุ่งเกี่ยวช่วยเหลือ...
น้ำตาอุ่นๆ แทบจะสำลักออกมาจากดวงตา พลันรู้สึกถึงสิ่งของบางอย่างถูกประคองเข้ามาอยู่ในอุ้งมือตน... เป็นพานเชิญพระราชโองการนั่นเอง
ช่วงเวลานั้นตนไม่ทราบว่าได้ใช้กิริยาเยี่ยงไรรับพานทูลเชิญ ก้มหน้าลงมองม้วนผ้าขลิบทองที่วางบนพาน นึกถึงคำประกาศที่เขียนจารึกอยู่ภายในให้รู้สึกเจ็บแปลบใจ ปากสั่นระริก น้ำตาเป็นสายไหลหยดลงบนม้วนผ้าขลิบทองนั้นเอง... ตนได้แต่ก้มหน้าซบกับพานอัญเชิญมิอาจให้ใครเห็นน้ำตาที่หลั่งออกมาได้
เสียงกลองย่ำดังสะท้าน กลบเสียงสะอื้นของตน...
เจ้าทิพเดินก้มหน้าไปยังม้าของตนซึ่งมีทหารนายหนึ่งจูงอยู่ ซบหน้าลงกับขนแผงคอม้า พานอัญเชิญถูกนำออกไป แขนที่หุ้มห่อด้วยผ้าพันแผลถูกวาดปาดมาเช็ดรอยคราบน้ำตา
เสียงฝูงชนมากมายเริ่มโห่ร้อง... พริบตานั้นเจ้าทิพรู้สึกตนช่างโดดเดี่ยวลำพังจริงๆ
--------------------------------------------------
ม้าสองตัวยืนหันหน้าเข้าหากัน เจ้าทิพถือทวนด้วยมือขวาถือบังเหียนม้าด้วยมือซ้าย ยืนม้าอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนสิงขรยืนม้าอยู่ทางทิศตะวันตก ห่างกันประมาณ ๑๐ วา
ม้าของสิงขรเป็นม้าศึกได้คัดเลือกและฝึกหัดมาอย่างดี ผิวสีดำมะเมื่อม ผิดกับม้าของเจ้าทิพที่เป็นเพียงม้าแข็งแรง เหมาะกับการควบขับเดินทาง ตามตัวเป็นสีด่างเทา เจ้าทิพออกจะเสียเปรียบเรื่องม้าอยู่มากนัก เพราะต้องปิดบังเรื่องการฝึกอาวุธ การจะมีม้าประจำกายที่มีลักษณะของม้าศึกย่อมเป็นที่สงสัย แม้มีม้าแล้วการจะนำออกไปฝึกหัดควบบังคับให้เข้ากับจังหวะแทงทวนก็จำกัดนัก
ในสายตาของเจ้าทิพมองไปเห็นสิงขรบนหลังม้าดำที่ย่ำเท้ารุนแรง สลัดยกตัวผงกขึ้นลง เสียงออกจมูกฟึดฟัด ปลายหางก็กวัดแกว่งเป็นวงกว้างคล้ายหางปลาที่พร้อมจะโบกสะบัดในสายน้ำเพื่อพุ่งไปข้างหน้า... พลันทอดถอนใจคิด การต่อสู้กันบนพื้นราบเรามีวิชาราชสีห์ก้าวแปดทิศ ทำให้ทุกก้าวย่างได้เปรียบคู่ต่อสู้แม้จะมีกี่สิบกี่ร้อยคนก็ตาม แต่ครั้งนี้สี่เท้าของอาชาเราคงจะตามหลังจังหวะม้าศึกของสิงขรเป็นแน่
ความรู้สึกหดหู่ถาโถมเข้าใส่ในใจเจ้าทิพ...
เห็นม้าศึกสีดำกระโจนพาร่างของสิงขรทะยานขับตรงเข้ามา เจ้าทิพจึงกระตุ้นม้าพุ่งโจนออกไปเช่นกัน
ม้าสองตัวควบตะบึงเข้าหากันด้วยความเร็ว ต่างเล็งทางวิ่งสู่เบื้องขวาของม้าฝั่งตรงข้าม พู่ประดับทวนลู่ตามแรงปะทะลมอยู่ด้านหลังคมทวนที่พุ่งปลายเข้าหาร่างเบื้องหน้าของอีกฝ่าย
ก่อนที่ม้าจะวิ่งถึงกัน ปลายทวนสองเล่มด้านหน้าก็พุ่งฉวัดปัดป่ายปะทะ ต่างแย่งจังหวะเบี่ยงสะบัดปลายทวนของอีกฝ่ายออกไปจากแนวลำตัวของตน ในขณะที่พยายามตรึงวิถีทวนของตนสู่เป้าหมาย กระทั่งคอม้าล่วงเข้ามาขนานกันก็ยังไม่มีฝ่ายใดชิงจังหวะได้ ม้านั้นวิ่งเฉียดผ่านกัน...
จังหวะนั้นสิงขรงัดด้ามทวนสะบัดเข้าใส่เจ้าทิพที่ขับม้าสวนไป ชายหนุ่มในชุดทหารไร้ศักดิ์จึงยกด้ามทวนขึ้นรับแล้วพุ่งม้าจากไป ก่อนเร่งกระตุกม้าหันกลับแต่ก็ยังช้ากว่าม้าสีดำของสิงขร ที่ม้วนตัววกกลับมารออยู่แล้ว
ม้าศึกปราดเปรียวนัก พุ่งเข้าใส่ม้าสีด่างที่เพิ่งวกกลับตัว ปลายทวนจากมือเจ้าของม้าศึกก็พุ่งแทงมาที่หน้าอก เจ้าทิพแทงทวนสวนแล้วตวัดปลายปัดทวนของอีกฝ่าย เห็นทวนที่ถูกปัดรูดกลับอย่างรวดเร็วก่อนพุ่งแทงเข้ามาอีกคำรบ ชายหนุ่มจึงสะบัดทวนตีไปด้วยแรงก่อนกระตุกม้าฉากมาขณะที่ม้าหันข้างด้านซ้ายให้กัน แล้วยันปลายทวนป้องกันไว้
ทวนของสิงขรอาศัยแรงที่ถูกตีสะบัดพาดหมุนวนรอบลำตัวอย่างรวดเร็ว คล้ายใบพัดยักษ์หมุนอยู่รอบลำตัว ก่อนพุ่งปลายทวนออกจากด้านหลังเข้าหาซอกแขนซ้ายของอีกฝ่ายที่เป็นจุดตาย
“กงจักรนารายณ์” เจ้าทิพคำนึงขึ้นในใจ ด้วยรู้ว่าเป็นท่าจู่โจมที่สองในเพลงนารายณ์อวตารของพระมหาเถระที่อาศัยจังหวะม้าฉากซ้ายออกจากกันแล้วจู่โจมหมุนทวนอ้อมกาย โดยใช้มือขวาส่ง มือซ้ายรับ ก่อนพุ่งแทงทวนจากทิศทางด้านหลัง ขณะที่ฝ่ายตั้งรับยังถือทวนมือขวาอยู่อีกฝั่งม้า ทำให้เสียเปรียบช่วงทวน
ตนนั้นแม้รู้วิธีคลี่คลายแต่จนใจที่ปลายฝีเท้าม้าฉากออกมาไม่ถนัด อีกทั้งหากแก้ไขแต่ไม่อาจตัดตอนการจู่โจมระลอกใหม่ได้ ท่าจู่โจมที่สามที่ตามมาจะยิ่งร้ายกาจและรุนแรงขึ้นไปอีกเพราะสามารถพลิกแพลงเข้าสู่ท่าจู่โจมที่สามของทั้ง ๙ เพลงทวน ซึ่งสิงขรผู้ชำนาญคงเลือกเพลงต่อเนื่องที่ข่มจุดอ่อนของตนมากที่สุด
ชั่ววูบแห่งความคิด เจ้าทิพจึงตั้งสติทิ้งลมหายใจออกไป เข้าสู่วิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติ
ขณะที่ปลายทวนใกล้แทงสัมผัส เจ้าทิพก็เอนกายหงายราบกับหลังม้า ทวนที่แทงมาจึงคร่อมเหนือร่างซึ่งถูกม้าสีด่างเทาพาลอดผ่านไป
ครั้นพ้นแล้วจึงลุกขึ้นมาใช้เท้ากระตุ้นสีข้างม้าให้วกซ้ายย้อนกลับเข้าหาสิงขรทันที เป็นจังหวะที่ม้าศึกสีดำยังไม่ทันหันกลับมาตั้งยัน เจ้าทิพรีบพุ่งม้าจ้วงทวนแทงออกไป
สิงขรหันกายมองเห็นทวนแทงมา จึงสะบัดม้าให้ทะยานหนีออกไปข้างหน้า ประหนึ่งรู้ว่าการวกม้ากลับมามีแต่จะเสียเปรียบ แล้วยกทวนขึ้นเหนือศีรษะหมุนกวาดลงมารอบลำตัวก็พอดีสะบัดปลายทวนของเจ้าทิพออก
ม้าดำของสิงขรอยู่หน้าตั้งใจโจนทะยานหนีออกให้ไกล จึงทิ้งระยะห่างจากม้าสีด่างเทาที่พุ่งเข้าหาในจังหวะแรก... ครั้นเจ้าทิพเห็นอีกฝ่ายควบหนีดังนั้น ได้แต่เร่งม้าติดตามไป
ม้าทั้งสองควบขับตามกัน... สิ่งที่สิงขรคาดไม่ถึงคือฝีเท้าม้าของเจ้าทิพ แม้ไม่ใช่ม้าศึกที่คล่องแคล่วในจังหวะลีลาประสานเพลงทวน แต่ฝีเท้าควบตะบึงนั้นรวดเร็วนักเพราะเป็นม้าเหมาะสำหรับการควบขับเดินทาง เมื่อมาห้อตามหลังม้าศึกของสิงขรจึงประกบชิดเข้าใกล้กว่าเดิมตลอดเวลา
ครั้นเร่งจนใกล้ถึงสะโพกม้าตัวหน้า เจ้าทิพเลือกขับม้าเข้าทางด้านซ้ายของสิงขร ด้วยทวนของคู่ต่อสู้อยู่ด้านขวา พอไล่มาอยู่เยื้องเบื้องหลัง ชายหนุ่มจึงกระตุ้นม้าสีด่างเทาให้ทะลึ่งกระโจนเบี่ยงเข้าใส่พร้อมพุ่งทวนหมายซอกแขนบุตรชายขุนพลใหญ่
ทั้งจังหวะม้าที่โจนเข้าใส่ ปลายคมทวนที่พุ่งออกไป กลับคล้ายอสรพิษพุ่งฉกกัดเหยื่อที่เผลอเปิดอวัยวะรอไว้... ทั้งเจ้าทิพยังใช้วิชาปิดลมปราณเปลี่ยนมิติ ทวนนี้คงแทงสิงขรตกม้าแน่แล้ว
ทวนของเจ้าทิพเร็วราวฟ้าแลบ แต่ทวนของสิงขรกลับเร็วไม่แพ้กัน...
ขณะที่ม้าสีด่างเทาตีเยื้องขึ้นมาทางด้านซ้ายของตน สิงขรก็รีบยกทวนด้วยมือขวาขึ้นแกว่งไกวรออยู่เหนือศีรษะ ครั้นทั้งม้าทั้งปลายทวนพุ่งเข้ามา สิงขรพลันยกมือซ้ายอีกข้างเข้ายึดกุมด้ามทวนแล้วตีสะบัดลงมา งัดปลายทวนของเจ้าทิพออกไป
“วิชาปราณเปลี่ยนมิติ”
เจ้าทิพคำนึงขึ้นเมื่อเห็นความเร็วปานสายฟ้าฟาดจากทวนของสิงขร
ชายหนุ่มแทบไม่อยากเชื่อว่าสิงขรได้บรรลุความเร็วสู่ระดับเปลี่ยนมิติเเล้ว... ในเมื่อขุนพลสิงหลผู้เป็นทั้งบิดาและอาจารย์ประกาศด้วยตนเองว่าบุตรชายฝึกภาวะจิตได้เพียงระดับ ๘ ยังไม่อาจกำหนดเปลี่ยนมิติได้... แล้วไฉนสามารถใช้ความเร็วระดับนี้มาแก้ไขสถานการณ์ได้
ใจแม้ฉุกคิดแต่ปฏิกิริยาของเจ้าทิพต่อเนื่องด้วยท่าจู่โจมที่สองในกระบวนเพลงทวนอสรพิษของพระมหาเถระ เมื่อปลายทวนถูกด้ามทวนตีสะบัดออก จึงตวัดทวนวนไล่ไต่ด้ามทวนของสิงขรขึ้นไป คล้ายอสรพิษร้ายที่เลื้อยวนรอบด้ามทวนเข้าหาข้อมือซ้ายของสิงขร จนบัดนี้คมทวนใกล้จะตวัดบาดข้อมือ
“เร็วมาก..” เจ้าทิพถึงกับอุทานในใจเมื่อเห็นสิงขรปล่อยมือซ้ายออกจากด้ามทวนเหลือเพียงมือขวาที่กุมด้ามไว้ แล้วดีดกายออกจากหลังม้าไปหลบอีกฟากของม้าศึก มือซ้ายดึงรั้งบังเหียน มือขวากุมทวน เท้าขวาเหยียบรั้งบังโกลนม้า จนดึงม้าดำที่ห้ออยู่ชะลอลงทันที
...แม้กระทำในยามปกติยังยาก แต่นี่สิงขรกลับโยกย้ายร่างในยามหลบหลีกเพลงทวนที่ไล่ล่า พร้อมหยุดยั้งม้าในขณะควบตะบึง นับเป็นวิชาขี่ม้าศึกที่ยอดเยี่ยม
“ต้องเป็นวิชาปราณเปลี่ยนมิติแน่... บางทีอาจจะเร็วกว่าเราเสียอีก”
เจ้าทิพคำนึงด้วยความมั่นใจในสิ่งที่ตนกำลังเผชิญ... ขณะม้าสีด่างเทาวิ่งขนานเลยผ่านม้าศึกดำออกไป
เจ้าทิพฉากม้าออกซ้ายเพื่อตั้งจังหวะใหม่ เพลงทวนอสรพิษของพระมหาเถระจึงยุติอยู่เพียงท่าจู่โจมที่สองเท่านั้น ไม่สามารถแปรเปลี่ยนไปสู่ท่าจู่โจมที่สามได้
เมื่อครู่เจ้าทิพใช้เพลงทวนอสรพิษถึงท่าที่สอง หากแม้นพัวพันต่อไป ถึงสิงขรจะแก้ไขได้สำเร็จ ก็ยังต้องเผชิญกับท่าจู่โจมที่สามของเพลงอสรพิษหรืออาจเปลี่ยนข้ามสู่ท่าจู่โจมที่สามของกระบวนเพลงอื่นที่รุนแรงยิ่งกว่า... ครั้งนี้สิงขรใช้ความเร็วสยบกระบวนท่า จนสามารถฉากออกไปจากวังวนการต่อสู้ เหมือนครั้งเจ้าทิพกระทำเพื่อตัดตอนท่าจู่โจมกงจักรนารายณ์อันเป็นท่าจู่โจมที่สองในเพลงนารายณ์อวตาร...
การจู่โจมเมื่ออันตรธานหายไป ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่...
สิงขรพลิกคร่อมขึ้นนั่งตัวตรงบนหลังม้าอีกครั้ง ในขณะที่เจ้าทิพรั้งม้ารออยู่เบื้องหน้า จุดที่ทั้งสองยืนม้านั้นบัดนี้ห่างไกลจากหน้าปะรำที่ประทับมากพอสมควร
เจ้าทิพพลันระลึกได้ในทันที... ไม่มีใครรู้เรื่องที่สิงขรสำเร็จวิชาเปลี่ยนมิติ ครั้งนี้คงจงใจควบม้าออกมาให้ไกล เพื่อปกปิดไม่ให้ใครสังเกตออก...
“เจ้าทิพจงฟังไว้ วันนี้เจ้าจะถูกเนรเทศออกจากเมืองแล้ว... องค์เหนือหัวไม่ทรงประสงค์จะเห็นหน้าเจ้าอีกต่อไป” สิงขรตะโกนลั่นออกมาอย่างมั่นใจ แล้วชี้ทวนควบม้าเข้าหาเจ้าทิพ
(มีต่อ)