[หนังโรงเรื่องที่ 228] Solo: A Star Wars Story - อาจจะเป็นหนัง Star Wars ที่แย่ที่สุด by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 228] Solo: A Star Wars Story - อาจจะเป็นหนัง Star Wars ที่แย่ที่สุด

คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)

(Ron Howard, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง

*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ: เนื้อเรื่องพูดถึงจุดกำเนิดของนักลักลอบขนของผู้ยิ่งใหญ่อย่าง "ฮาน โซโล" (Alden Ehrenreich) เขาไต่เต้าขึ้นมาจากเด็กในสลัมทั่วๆ ไปจนกลายเป็นหนึ่งในพลขับยานบินที่โด่งดังที่สุดด้วยวิธีไหน? เขาพบกับ "ชิวแบคก้า" (Joonas Suotamo) จากสถานการณ์ใด? และเขาเป็นเจ้าของยานอวกาศที่เร็วที่สุดในอวกาศอย่าง "มิลเลนเนียม ฟอลคอน" ได้อย่างไร? ต้องไปติดตามได้ตำนานของฮาน โซโลเรื่องนี้ครับ
.
.

ต้องยอมรับเลยว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนัง Star Wars ที่กระแสเงียบ (กริบ) ที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยเห็นมา คือถ้าไม่ได้ติดตามข่าวอย่างสม่ำเสมอจริงๆ เราก็แทบจะไม่ได้เห็นการโปรโมตหรือสป็อตโฆษณาใดๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เลย ซึ่งผิดวิสัยแฟรนไชส์นี้ที่ชอบเล่นใหญ่เอามากๆ

ซึ่งพอได้ดูหนังจบก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร เพราะถ้าไม่ติดว่ามันได้ใบบุญมาจากชื่อ Star Wars ที่แปะอยู่บนโปสเตอร์ล่ะก็ หนังเรื่องนี้ก็แทบจะเป็นสุญญากาศที่พอจะทำให้ละเลยไปได้เลยจริงๆ
.
.


การดำเนินเรื่อง: หนังพาเราไปหาจุดเริ่มต้นของการเป็นพวกนอกกฎหมาย (Outlaw) ของตัวละคร "ฮาน" ที่เริ่มจากการเป็นแค่เด็กสลัมบนดาวที่แร้นแค้น และต้องจับพลัดจับผลูไปพัวพันกับสถานการณ์อันตรายโคตรๆ และเขาก็ได้ใช้ไหวพริบ ลูกล่อลูกชน และคารมอันลือชื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเองหลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็ได้สร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะ "ฮาน โซโล" ผู้โด่งดังในที่สุด

ซึ่งเรื่องมันก็มีแค่นี้แหละ โจทย์ที่ยากที่สุดก็คือ "จะถ่ายทอดยังไง" ให้หนังมันออกมาเวิร์ก ซึ่งก็น่าเสียดายที่หนังวางโครงเรื่องไว้อ่อนปวกเปียกมาก ด้วยความที่ในหลายๆ สถานการณ์ที่หนังโยนมาให้ตัวเอกต้องเผชิญมันเป็นอะไรที่ "จืดชืดไปหน่อย" คืออยู่ในระดับที่ว่าไม่ต้องเป็นหมอนี่ก็ได้ ใครมาทำแบบนี้ก็คงเวิร์กหมดแหละ

ในขณะที่สิ่งที่คนดูอย่างผู้เขียนคาดไว้ก็คือ "สถานการณ์พิเศษมากๆ " ที่มีแค่ฮาน โซโลเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดไปได้ และที่สำคัญพล็อตพระนางของหนังนี่ไม่น่าซื้อเอามากๆ มันโน้มน้าวเราไม่สำเร็จเลยว่าสองคนนี้จะรักกันจริงๆ และที่แย่ไปกว่านั้นคือหนังแทบจะไม่มีจุดคลายปมสำคัญหลายๆ เรื่องให้เราได้เก็บกับบ้านไปบ้าง ที่ไหนได้ ดันเป็นการขมวดปม (แบบหลวมๆ) ทิ้งไว้ให้เราหงุดหงิดใจเล่นอีก

และในอีกประเด็นหนึ่งคือ "ความล้าสมัย" ในการเล่าเรื่องที่เด่นชัดจนสัมผัสได้ คือเชื่อว่าคนดูทุกคนก็คงเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าหนังที่ทำมาให้ตัวละครที่มีเส้นเรื่องในอนาคตชัดเจนอยู่แล้วเนี่ย (aka.หนัง Begin) มันก็จะมักจะจบด้วยการ "ล้างกระดาน" แทบจะทุกเรื่อง

คือมันก็มีไม่กี่มุกหรอก ไม่ทุกคนตายโหงหมด ก็ต้องแยกย้ายไปคนละมุมจักรวาล (เพราะถ้าเหลือไว้จะทำ Timeline พังหมด) แต่ขอทีเถอะ พลีสสสสส มันไม่ต้องเล่าเรื่องแบบ Old school ขนาดนี้ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะวิกฤต เสี่ยงตาย ลุ้นระทึก หรือแม้กระทั่งโมเม้นต์ "การพลิกล็อคหักหลัง" มันก็โคตรจะเฝือ ใจคอจะเล่นมุกแบบนี้ทุกภาคทุกเรื่องเลยหรือไง

แน่นอนว่าส่วนที่ดีก็ยังมีอยู่ โดยส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกประทับกับฉากการพบกันครั้งแรกระหว่าง "ฮาน vs ชิวแบคก้า" มันเป็นความลงตัวระหว่างจังหวะและสถานการณ์ที่โคตรจะเป็นฮานมากๆ เป็นความรู้สึกแบบว่า เออ มันต้องแบบนี้แหละ ไม่แปลกหรอกที่พวกเอ็งจะเจอกันแบบนี้

และอีกฉากหนึ่งก็คือช่วงเดินทางผ่านหลุมแรงโน้มถ่วง (อยากรู้ว่ามันคืออะไร ไปหาเอาเองในหนัง) ที่งานภาพเนี้ยบและน่าเกรงขามมากๆ และที่สำคัญคือ "เซอไพรส์" ที่หนังใส่เข้ามาในฉากนั้นนี่ก็ชวนตกใจสุดๆ จำได้ติดตาเลยทีเดียว
.
.


ความบันเทิง: ถ้าคาดหวังว่าจะฮากลิ้งหัวเราะคิกคักไปกับความยียวนของฮาน โซโล ก็ต้องขอเบรกใจไว้ตรงนี้ก่อน เพราะมันก็ไม่ได้ขำก๊ากขนาดนั้น

มุกของหนังจะเป็นลักษณะ "ขำเพราะเรารู้เรื่องในอนาคต" มากกว่า มันเป็นจังหวะของการเซอร์วิสแฟนๆ โดยเฉพาะ ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้วก็ไม่เสียหายอะไรเพราะมันคือจุดประสงค์ของหนังเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เอาเป็นว่าเราคาดหวังมากกว่านี้ (Expect something more) ดีกว่า

ตัวละครพิเศษต่างๆ ที่ปรากฏออกมาในจุดเริ่มต้นของฮาน โซโลก็นำเสนอออกมาได้น่าสนใจ คืออย่างที่เล่าไว้ข้างต้นว่า "ไอ้หนุ่มฮาน" ในหนังเรื่องนี้มันไม่มีอะไรเลยนอกจากฝีปากกับใจกล้า ดังนั้นศิษย์ดีก็ต้องมีอาจารย์ ซึ่งอาจารย์ทั้งสองคนนั้นก็มี "ความเฮงซวย" เป็นเอกลักษณ์ทั้งคู่ (เป็นคำชม) ดังนั้นเราก็จะเริ่มสนุกขึ้น ที่ได้เห็นตัวเอกค่อยๆ ถูกหล่อหลอมจากภาวะแวดล้อมให้กลายเป็นตัวละครที่เรารู้จักได้

"การเรียกร้องสิทธิ์" กลายเป็นอีกหนึ่งธีมรองของหนังเรื่องนี้ โดยในเรื่องนี้จะมีอยู่ตัวละครหนึ่งที่มาในบุคลิกของ "นักเคลื่อนไหว" (Activist) มากๆ
ซึ่งก็เป็นการนำเสนอที่น่าสนใจดี ว่า ณ จุดๆ หนึ่งที่เผ่าพันธุ์ในจักรวาลมันมีนับล้านแปด มันก็ยังมีการ "เหยียดเชื้อชาติ" (Racism) อยู่ ก็อาจจะเป็นการดีที่หนังเลือกเอาประเด็นที่ร่วมสมัยมาพูด แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความที่มันเป็นแค่บทตัวประกอบ มันก็เลยไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ากิมมิกเล็กๆ น้อยๆ ก็เท่านั้น
.
.

ตัวละคร: ส่วนตัวรู้สึกว่าพ่อหนุ่ม Alden Ehrenreich ที่มารับบทนำนั้นยังสอบไม่ผ่าน คือนอกจากเค้าโครงหน้าที่จะหล่อแบบคลาสสิคโอลด์สคูลแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกได้เลยว่าหมอนี่คือ "ฮาน โซโล" จริงๆ นะ อาจจะเป็นเพราะบารมีของปู่ Harrison Ford มันเจิดจ้าเกินไปก็ได้ ไม่ก็ปัญหาอาจจะอยู่ที่แอคติ้งของตาคนนี้เอง ต้องไปตัดสินกันดู

และกลายเป็นว่า Emilia Clarke ที่มารับบทเป็น "คีร่า" รักแรกและปมใจสำคัญของฮานคือส่วนที่ดีที่สุดในหนัง คือบอกตามตรงว่าเซอไพรส์นิดหน่อยเพราะไม่ค่อยได้ตามดูตัวอย่างกับข่าวอะไรมากมายเลยตกใจพอสมควร

และการแสดงของเธอก็ดูเหมือนจะอัพเกรดไปอีกขั้น ทั้งสายตาที่ชวนให้รู้สึกห่างเหิน ท่าทีที่ดูลึกลับน่าค้นหา และสำเนียงบริทิชที่ลงตัวกับตัวละครนี้สุดๆ ช่วยให้หนังในองค์สุดท้ายสามารถดำเนินไปได้ด้วยดี ต้องขอชื่นชมจริงๆ

.
.
Solo: A Star Wars Story เป็นหนังเสริมตำนานสตาร์วอร์สที่ทำออกมาได้ไม่สมศักดิ์ศรีสักเท่าไร ด้วยความที่พล็อตอ่อน วิธีเดินเรื่องชักช้าล้าสมัย ทำให้มันกลายเป็นความผิดหวังที่กองทับอยู่บนวัตถุดิบดีๆ ที่ชื่อว่า "Han Solo"

จริงอยู่ที่มันกลายเป็นส่วนเติมเต็มตัวละครในภายภาคหน้าได้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วมันน่าจะเป็น "หนัง Star Wars ที่แย่ที่สุด" เท่าที่มีมาในแฟรนชายส์เลยครับ.

#ตั๋วหนังมันแพง

✏️คิดเห็นต่างประการใด มีความคิดเห็นที่อัดอั้นตันใจ หรือถูกใจรีวิว
ก็สามารถมาแสดงความคิดเห็นและกดไลค์ + แชร์ เพื่อสนับสนุนเพจได้นะครับ✏️
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่