ปตท.ยอมเฉือนค่าการตลาดช่วยผู้บริโภคช่วงราคาน้ำมันขาขึ้น
ปตท.ยอมลดค่าการตลาดช่วยผู้บริโภคช่วงราคาน้ำมันขาขึ้น โดยยังคงแนวทางที่จะชะลอการปรับขึ้นราคาเอาไว้ช้ากว่าคู่แข่ง และจะปรับลดราคาลงมาเร็วกว่าคู่แข่งในช่วงราคาน้ำมันขาลง
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ว่า มาจากปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศที่มีความกังวลว่าสหรัฐอเมริกาจะกลับมาแทรกแซงอิหร่านซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ และจะทำให้ซัพพลายน้ำมันหายไปจากตลาด
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันตลาดโลกโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบดูไบที่โรงกลั่นของไทยใช้อ้างอิงนั้น ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 70 กว่าเหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลต่อราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ต้องปรับขึ้นตาม
โดยโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศนั้นประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ส่วนใหญ่เป็นส่วนของราคาเนื้อน้ำมันที่ต้องปรับขึ้นหรือลงตามราคาน้ำมันตลาดโลก ซึ่งโรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันต้องปรับตามกลไกราคาลงทุน ส่วนที่ 2 คือภาษีและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐว่าจะบริหารการจัดเก็บอย่างไร และส่วนที่ 3 เป็นส่วนของค่าการตลาดผู้ค้าและสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับโดยเฉลี่ยประมาณ 1.60-1.80 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตาม ในช่วงราคาน้ำมันขาขึ้น ปตท.จะยังคงแนวทางการชะลอการปรับขึ้นราคาช้ากว่าคู่แข่ง โดยยอมที่จะได้รับค่าการตลาดที่ลดลง ในขณะที่ช่วงราคาน้ำมันขาลงก็พยายามที่จะปรับลดราคาลงให้เร็ว เพื่อช่วยลดภาระให้แก่ผู้บริโภค แต่การช่วยเหลือในส่วนนี้ ยอมรับว่าคงจะทำไม่ได้มากนัก เพราะปกติค่าการตลาดที่ผู้ค้าน้ำมันได้รับไม่ได้สูงอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ
นายเทวินทร์ ยังกล่าวด้วยว่า ประเทศเพื่อนบ้านที่จำหน่ายราคาน้ำมันได้ในราคาถูกกว่าไทย เพราะมีรายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเก็บภาษี หรือเก็บในอัตราที่น้อยมาก ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลาว ฟิลิปปินสฺ์ จึงจำเป็นต้องมีการจัดเก็บภาษี และมีราคาน้ำมันที่สูงกว่า
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Cener-ENC) รายงานว่า การปรับขึ้นราคาน้ำมันของ ปตท. เมื่อปี 2560 พบว่ามีการปรับราคาขายปลีก 42 ครั้ง โดยเป็นการปรับขึ้น 21 ครั้ง และปรับลง 21 ครั้ง ซึ่งราคาน้ำมัน ปตท. ต่ำกว่าผู้ค้าต่างชาติถึง 20 วัน โดยในกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล์นั้น ปตท. ปรับราคาขึ้นหลังผู้ค้าต่างชาติถึง 10 ครั้ง คิดเป็นจำนวนวันที่ราคาน้ำมัน ปตท. ต่ำกว่าทั้งสิ้น 13 วัน หรือคิดเป็นเงินกว่า 60.4 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มน้ำมันดีเซล ปตท. ปรับราคาขึ้นหลังผู้ค้าต่างชาติถึง 11 ครั้ง คิดเป็นจำนวนวันที่ราคาน้ำมัน ปตท. ต่ำกว่าทั้งสิ้น 19 วัน หรือคิดเป็นเงินกว่า 123.2 ล้านบาท ทั้งนี้ หากเฉลี่ยการปรับราคาน้ำมันทั้งกลุ่มแก๊สโซฮอล์และดีเซล พบว่า ปตท. ปรับขึ้นราคาน้ำมันหลังผู้ค้ารายอื่นถึง 12 ครั้ง คิดเป็นเงินที่รับภาระเพื่อคนไทยรวมกว่า 183.6 ล้านบาท
http://www.energynewscenter.com/index.php/news/detail/1314
ข่าวนี้ confirm ยังครับ (PTT)
ปตท.ยอมลดค่าการตลาดช่วยผู้บริโภคช่วงราคาน้ำมันขาขึ้น โดยยังคงแนวทางที่จะชะลอการปรับขึ้นราคาเอาไว้ช้ากว่าคู่แข่ง และจะปรับลดราคาลงมาเร็วกว่าคู่แข่งในช่วงราคาน้ำมันขาลง
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ว่า มาจากปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศที่มีความกังวลว่าสหรัฐอเมริกาจะกลับมาแทรกแซงอิหร่านซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ และจะทำให้ซัพพลายน้ำมันหายไปจากตลาด
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันตลาดโลกโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบดูไบที่โรงกลั่นของไทยใช้อ้างอิงนั้น ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 70 กว่าเหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลต่อราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ต้องปรับขึ้นตาม
โดยโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศนั้นประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ส่วนใหญ่เป็นส่วนของราคาเนื้อน้ำมันที่ต้องปรับขึ้นหรือลงตามราคาน้ำมันตลาดโลก ซึ่งโรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันต้องปรับตามกลไกราคาลงทุน ส่วนที่ 2 คือภาษีและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐว่าจะบริหารการจัดเก็บอย่างไร และส่วนที่ 3 เป็นส่วนของค่าการตลาดผู้ค้าและสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับโดยเฉลี่ยประมาณ 1.60-1.80 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตาม ในช่วงราคาน้ำมันขาขึ้น ปตท.จะยังคงแนวทางการชะลอการปรับขึ้นราคาช้ากว่าคู่แข่ง โดยยอมที่จะได้รับค่าการตลาดที่ลดลง ในขณะที่ช่วงราคาน้ำมันขาลงก็พยายามที่จะปรับลดราคาลงให้เร็ว เพื่อช่วยลดภาระให้แก่ผู้บริโภค แต่การช่วยเหลือในส่วนนี้ ยอมรับว่าคงจะทำไม่ได้มากนัก เพราะปกติค่าการตลาดที่ผู้ค้าน้ำมันได้รับไม่ได้สูงอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ
นายเทวินทร์ ยังกล่าวด้วยว่า ประเทศเพื่อนบ้านที่จำหน่ายราคาน้ำมันได้ในราคาถูกกว่าไทย เพราะมีรายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเก็บภาษี หรือเก็บในอัตราที่น้อยมาก ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลาว ฟิลิปปินสฺ์ จึงจำเป็นต้องมีการจัดเก็บภาษี และมีราคาน้ำมันที่สูงกว่า
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Cener-ENC) รายงานว่า การปรับขึ้นราคาน้ำมันของ ปตท. เมื่อปี 2560 พบว่ามีการปรับราคาขายปลีก 42 ครั้ง โดยเป็นการปรับขึ้น 21 ครั้ง และปรับลง 21 ครั้ง ซึ่งราคาน้ำมัน ปตท. ต่ำกว่าผู้ค้าต่างชาติถึง 20 วัน โดยในกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล์นั้น ปตท. ปรับราคาขึ้นหลังผู้ค้าต่างชาติถึง 10 ครั้ง คิดเป็นจำนวนวันที่ราคาน้ำมัน ปตท. ต่ำกว่าทั้งสิ้น 13 วัน หรือคิดเป็นเงินกว่า 60.4 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มน้ำมันดีเซล ปตท. ปรับราคาขึ้นหลังผู้ค้าต่างชาติถึง 11 ครั้ง คิดเป็นจำนวนวันที่ราคาน้ำมัน ปตท. ต่ำกว่าทั้งสิ้น 19 วัน หรือคิดเป็นเงินกว่า 123.2 ล้านบาท ทั้งนี้ หากเฉลี่ยการปรับราคาน้ำมันทั้งกลุ่มแก๊สโซฮอล์และดีเซล พบว่า ปตท. ปรับขึ้นราคาน้ำมันหลังผู้ค้ารายอื่นถึง 12 ครั้ง คิดเป็นเงินที่รับภาระเพื่อคนไทยรวมกว่า 183.6 ล้านบาท
http://www.energynewscenter.com/index.php/news/detail/1314